ครูเพื่อศิษย์ส่งเสริมให้ศิษย์สนุกกับการเรียน : 6. จากทฤษฎีสู่ปฏิบัติ
บันทึกชุดนี้ ได้จากการถอดความ ตีความ และสะท้อนความคิด จากการอ่านหนังสือ Student Engagement Techniques : A Handbook for College Faculty เขียนโดย ศาสตราจารย์ Elizabeth F. Barkley ในตอนที่ ๖ นี้ ได้จากบทที่ ๖ ชื่อ From Theory to Practice Teachers Talk About Student Engagement
ในบทนี้มีกรณีตัวอย่างจากครูรวม ๗ คน หรือ ๗ แบบ ผมจะนำมาลงบันทึกตอนละคน หรือตอนละแบบ โดย ศ. เอลิซาเบธ แนะนำว่า ระหว่างอ่านเรื่องราวของครูแต่ละคน ให้ตั้งคำถามไปด้วยว่า กรณีตัวอย่างนั้นๆ บอกอะไรเกี่ยวกับทฤษฎีที่ได้เขียนไว้แล้วในบทก่อนๆ ดังนี้
ทำให้นักเรียนสนใจด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์ : กรณีอาจารย์ จูดี้ เบเกอร์
อาจารย์ จูดี้ เบเกอร์ สอนสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เป็นคนขี้อายและเก็บตัว ไม่ใช่คนคล่องแคล่วในการออกสังคม แต่ก็สามารถริเริ่มหรือสร้างสรรค์การเรียนรู่ที่ทำให้เกิด student engagement ได้อย่างดี
ครูจูดี้ บอกว่าตนมีเคล็ดลับอยู่ที่ (๑) ลงมือทำด้วยตนเอง (๒) ตระหนักว่าเงื่อนไขในสังคมเปลี่ยนไปแบบตรงกันข้าม สมัยที่ตนเองเรียน เนื้อหาสาระความรู้ได้จากครู หาจากแหล่งอื่นยาก แต่เวลานี้ เนื้อหาสาระวิชาหาได้แค่ใช้นิ้วกดปุ่ม นักเรียนไม่ต้องไปโรงเรียน หรือห้องสมุด (๓) สิ่งที่โรงเรียนมีค่าต่อนักเรียนไม่ใช่ตัวความรู้อีกต่อไป แต่เป็นคุณค่าของการฝึกเลือกและตรวจสอบความน่าเชื่อถือของความรู้ แล้วนำไปฝึกฝนการประยุกต์ใช้ความรู้
ช่วยให้นักเรียนเป็นเจ้าของวิชาเรียน
ครูจูดี้อ้างถึง Set 49 : Student-Generated Rubrics ในหนังสือเล่มนี้ โดยให้ นศ. ของตนมีส่วนกำหนดหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนรู้ และการสอบ ขึ้นใช้ในชั้นเรียน รวมทั้งร่วมกันกำหนดพฤติกรรมที่พึงประสงค์/ไม่พึงประสงค์ ในชั้นเรียน หากจำเป็น แต่ไม่ใช่กำหนดหลักสูตรเองทั้งหมด เพราะนักเรียนยังกำหนดเองไม่ได้ ครูจูดี้จะเอาแผนวัตถุประสงค์และกิจกรรมการเรียนรู้ให้ นศ. ออกความเห็น และร่วมกันกำหนดวันสอบ
นักเรียนจะได้รับ “เมนูกิจกรรมการเรียนรู้” ให้ช่วยกันเลือกและทำพันธสัญญาร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การให้เกรดของวิชานั้น กิจกรรมเหล่านี้ได้แก่ การเดินทางไปศึกษาภาคสนาม การวิจัย การเขียนเรียงความ การเขียนบันทึกสะท้อนความคิด (reflective journal) การสัมภาษณ์ผู้ประกอบวิชาชีพด้านนั้น เป็นต้น
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูจูดี้และนักเรียนร่วมกันริเริ่มสร้างสรรค์ และให้ผลดีต่อการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง เรียกว่า “discussion-forum monitoring” โดยสร้าง online discussion ขึ้นมา ให้นักเรียนต้องเข้าไปร่วมอภิปราย
กิจกรรมดังกล่าวต้องการ discussion moderator ทำหน้าที่ดูแล (๑) ว่าไม่มีการนำข้อความที่ไม่เหมาะสมออกเผยแพร่ (๒) การอภิปรายพุ่งเป้าอยู่ที่ประเด็น (๓) เก็บข้อมูลว่าใครร่วมกิจกรรมบ้าง และ (๔) ตั้งคำถามกระตุ้นการอภิปรายประเด็นที่ลึกยิ่งขึ้น ซึ่งครูทำไม่ไหว เพราะใช้เวลามาก จึงเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มอบหมายให้นักเรียนผลัดเวรกันทำหน้าที่คนละ ๑ สัปดาห์ และทำหน้าที่สังเคราะห์รายงานส่งครู
กิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าวทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ลึกกว่าปกติทั่วไป คือได้ทักษะในการอำนวยความสะดวกต่อการอภิปรายกลุ่มแบบ online และได้ฝึกทักษะการคิดแบบที่เรียกว่า higher-order thinking skills
ในการมอบหมายงานให้นักเรียนทำนี้ ครูกับ นศ. ทำข้อตกลงคล้ายๆ PA (Performance Agreement) ที่ใช้ในที่ทำงานในสมัยปัจจุบัน คือถ้าสัญญาว่าจะทำงานยาก และทำสำเร็จ ก็จะได้เกรดสูง นักเรียนบางคนตั้งเป้าสูงเกินกำลัง เมื่อทำไปได้ระยะหนึ่งก็ตระหนักว่าคงจะทำไม่ได้ตามข้อตกลงเดิม ครูจูดี้จะยอมเจรจาใหม่ได้ด้วย
ทำความเข้าใจพื้นความรู้ของนักเรียน
เพื่อให้ความท้าทายในการเรียนรู้เหมาะสม ครูและนักเรียน/นศ. ต้องรู้ว่านักเรียน/นศ. แต่ละคนมีพื้นความรู้เดิมเป็นอย่างไร ครูจูดี้ ใช้เครื่องมือ SET 16 : Team Concept Maps ในหนังสือเล่มนี้ เป็นกิจกรรมแรกในชั้นเรียน โดยแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ให้ทำ mapping ความรู้ (เรียกว่า cognitive map) เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่นเรื่อง “สุขภาพของผู้หญิง” ครูจะได้ตื่นตาตื่นใจกับพื้นความรู้และความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างหลากหลาย ของ นร./นศ. ในการแสดงออกว่าตนเข้าใจเรื่องสุขภาพของผู้หญิงอย่างไรบ้าง แล้วให้ตัวแทนของกลุ่มออกมาอธิบายแผนผังของกลุ่มแก่เพื่อนร่วมห้องเรียน
แล้วครูจูดี้ บอกชั้นเรียนว่าตนได้เห็นอะไรจากกิจกรรม mapping ความรู้นี้ และวิชาที่กำลังเรียนจะเชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่ นศ. มีอยู่แล้วอย่างไร ในตอนจบครูจูดี้อาจให้นักเรียนจัดกลุ่มร่วมกันเขียน mapping ความรู้ที่ได้เรียนรู้ในคาบเรียนนี้
สร้างความสนใจของนักเรียน ต่อสิ่งที่ครูสอน
ครูจูดี้เล่าเรื่องนักเรียนในวิชา Program Evaluation ที่มาเรียนอย่างไม่สนใจ เพราะอาจคิดว่ารู้แล้ว คิดว่าเป็นเรื่องตัวเลข หรือเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับชีวิตอนาคตของตน ครูจูดี้ใช้ SET 2 : Artefacts เป็นเครื่องมือสร้าง student engagement เพื่อช่วยให้ นศ. เข้าใจคุณค่าของวิชานี้ โดยแจกของ ๓ อย่าง ให้นักเรียนบอกว่าทั้ง ๓ สิ่งนั้นมีความเหมือนกันอย่างไร แล้วชวนตีความความเหมือนในมิติต่างๆ กัน เช่น ด้านราคา คุณภาพ การใช้งาน ซึ่งจะนำไปสู่การทำความเข้าใจเรื่องเกณฑ์ของการประเมิน เป้าหมายของการเรียนคือ การฝึกคิดให้ลึกขึ้น สำหรับใช้กำหนดเกณฑ์ของการประเมิน
ช่วยให้นักเรียนตระหนักว่า ตนเองมีส่วนเพิ่มเติมสร้างสรรค์ความรู้ส่วนรวมของชั้นเรียน
ครูจูดี้ต้องการยืนยันให้ นศ. แต่ละคนมั่นใจว่าตนเองมีพื้นหรือต้นทุนความรู้อยู่แล้วส่วนหนึ่ง เช่นในชั้นเรียนเรื่อง “สุขภาพของผู้หญิง” ครูจูดี้จะถามว่า ใครเคยมีลูกแล้วบ้าง ทุกชั้นเรียนจะมี ๕ - ๖ คน ครูจะบอกว่า “เธอคือ expert” และจัดให้ทำหน้าที่ expert ใน SET 5 : Stations โดยให้ไปยืนทำหน้าที่ “ผู้มีประสบการณ์” แยกเป็นสถานีที่ ๑, ที่ ๒ … ให้ นศ. จับกลุ่มแยกย้ายกันไปสัมภาษณ์เพื่อเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์โดยมีคำถามตัวอย่างให้ หลังจากนั้นให้แต่ละกลุ่มรายงานต่อชั้นเรียน เป้าหมายของการเรียนรู้แบบนี้คือ ช่วยให้ นศ. ได้ตระหนักว่าคนเรา ที่เคยผ่านประสบการณ์เดียวกัน อาจมีคำตอบต่อคำถามเดียวกันแตกต่างกัน
โดยแนวทางทำนองนี้ ครูจูดี้เคยให้ นศ. ร่วมกันเขียนตำรา จากการค้น อินเทอร์เน็ต และจากการสัมภาษณ์ผู้มีประสบการณ์ แทนที่จะให้เรียนจากตำราที่มีหลายส่วนล้าสมัย และพบว่าตำราของ นศ. มีคุณภาพสูงมาก
ช่วยให้ นศ. พัฒนาความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (empathy) และความเข้าใจเชิงวัฒนธรรม
เนื่องจากครูจูดี้สอน นศ. สายวิทยาศาสตร์สุขภาพ การพัฒนาความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมีความสำคัญต่อวิชาชีพนี้ ครูจูดี้สอนให้ นศ. เห็นอกเห็นใจผู้อื่นโดยให้แต่ละคนเขียนรายการกิจกรรมที่ตนถนัด (ชอบทำ) กับกิจกรรมที่ตนไม่ถนัด (ไม่อยากทำ) แล้วให้เลือกจากรายการที่ไม่ถนัด ๑ อย่าง แล้วให้ทำต่อหน้าชั้น ให้เพื่อนๆ สังเกตความรู้สึกของเพื่อน เพื่อให้ นศ. ได้เข้าใจว่า กิจกรรมง่ายๆ สำหรับตน อาจเป็นเรื่องฝืนใจหรือลำบากใจยิ่งสำหรับคนอื่นก็ได้
นศ. สายวิทยาศาสตร์สุขภาพมักเป็นคนหนุ่มคนสาว และแสดงความรำคาญที่ผู้ป่วยสูงอายุกรอกแบบฟอร์มไม่ครบถ้วนหรือผิดๆ ถูกๆ ครูจูดี้บอกให้ นศ. เอาแขนข้างถนัดแช่น้ำแข็ง ในขณะที่ใช้มือข้างไม่ถนัดกรอกแบบฟอร์ม เพื่อจะได้เข้าใจว่าคนแก่หรือกำลังมีความเจ็บปวดมีความยากลำบากในการกรอกแบบฟอร์มอย่างไร แล้วให้ นศ. เขียนรายงานความรู้สึกของตนในขณะนั้น และข้อเรียนรู้เรื่องความเห็นอกเห็นใจคนอื่น การเรียนรู้บทเรียนนี้ทำได้ต่อทั้ง นศ. ปกติ และ นศ. ในหลักสูตร online
ส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ครูจูดี้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้าน ฮอร์โมน มาบรรยายให้ นศ. ฟังเรื่อง hormone therapy เมื่อผู้เชี่ยวชาญพูดจบและออกจากห้องไป ครูจูดี้ตั้งคำถามให้ นศ. แต่ละคนตอบว่าหากตนเป็นผู้ป่วย จะใช้ฮอร์โมนหรือไม่ และให้บอกเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจเช่นนั้น ตามปกติผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนจะพูดโน้มน้าวให้เหตุผลจน นศ. เชื่อในประโยชน์ของมัน
หลังจากนั้นครูจูดี้ก็จะให้ข้อมูลและปัจจัยด้านลบในแต่ละข้อที่ นศ. ใช้ตัดสินใจใช้ฮอร์โมน แล้วจึงให้ นศ. ตัดสินใจใหม่ และให้เหตุผลใหม่
นอกจากทำให้ นศ. ได้ความรู้ที่ครบถ้วนรอบด้านเกี่ยวกับการรักษาด้วยฮอร์โมนแล้ว นศ. ยังได้เรียนทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งสำหรับการดำรงชีวิตในโลกสมัยนี้ นั่นคือ ต้องไม่ด่วนเชื่อข้อมูลจากแหล่งเดียว ไม่ว่าแหล่งนั้นจะน่าเชื่อถือเพียงใดก็ตาม
สอน metacognitive skills
metacognitive skills คือทักษะในการทำความเข้าใจกลไกการเรียนรู้ของตนและของผู้อื่น ทักษะนี้เรียนรู้ได้โดยการทำ reflection หรือ AAR (After Action Review) กับตนเอง โดยครูกำหนดให้ นศ. เขียน “บันทึกการเรียนรู้” (Learning Log)
ทั้งหมดนี้คือทีเด็ดวิธีสร้างความสนใจเรียนของศิษย์ โดยครูจูดี้ ที่เน้นให้ศิษย์เป็นผู้ลงมือทำ ในตอนต่อไปจะเป็นทีเด็ดของครู นาตาเลีย
วิจารณ์ พานิช
๒๒ ก.ย. ๕๕
metacognitive skills
metacognitive skills คือทักษะในการทำความเข้าใจกลไกการเรียนรู้ของตนและของผู้อื่น ทักษะนี้เรียนรู้ได้โดยการทำ reflection หรือ AAR (After Action Review) กับตนเอง โดยครูกำหนดให้ นศ. เขียน “บันทึกการเรียนรู้” (Learning Log)