ในบางครั้งบันทึกต่างๆที่ได้อ่านแล้ว สร้างความรู้สึกสนุกสนานไปตามถ้อยคำของผู้เขียน แต่บันทึกต่างๆเหล่านั้น ก็ไม่ได้สะท้อนความรู้สึกในใจผู้เขียนจริงๆว่าเป็นอย่างไร.......บางส่วนลึกๆนั้นยังคงถูกปิดบัง หรือเพียงเศษส่วนเดียวในความรู้สึกของเขานั้นถูกเปิดเผย หรือบางส่วนที่อยากจะสื่อสารเปิดเผยแต่กลับถูกปิดกั้น....เพราะต้องถูกตีกรอบด้วยข้อจำกัดต่างๆบน “เครื่องมือ” ที่ใช้สื่อสาร
เป็นการยากที่จะตอบเพราะการคบและพบปะกันผ่านแผ่นจอบันทึกนั้น เราตีความจากตัวอักษรที่ได้เห็น...... แล้วเราก็ใช้ ...”ใจ”..และ ”ประสบการณ์ส่วนตัว”...ของเราไปนึก และทึกทักแทน........บางครั้งก็ “โดนใจ” หรือ “ตรงใจ” ผู้เขียน แต่บางครั้งก็ไม่.....:(
หลายครั้ง.....สิ่งที่เราอยากจะสื่อสาร...... หลายคนยังไม่เข้าใจ.....................
หลายครั้ง.....สิ่งที่เราอยากจะสื่อสาร...... หลายคนกลับมองข้ามไป.....................
และที่สำคัญ
หลายครั้ง.....สิ่งที่เราอยากจะสื่อสาร......โดยใช้เอาไว้อ้างว่า...” เพียงเพื่อประโยชน์เฉพาะตนในกาลต่อไป ”............แต่ลึกๆในใจ...ขอเพียงให้มี “ใครบางคน” มาเห็น...หยิบประโยชน์เก็บไปไว้ใช้....หรือเพียงแค่ให้ “มีใครบางคน ” มาทำความเข้าใจ.....แค่นั้นเราก็ภูมิใจ..............(อันนี้รวมผมด้วย..คนอื่นไม่รู้....หุหุ!!)
หรือทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น......บางท่านบอก.......” ข้าพเจ้า ไม่ได้สนใจ ” สุขมีก็เขียน....... ทุกข์มีก็บอก........ ถ้ามีสุขอีกทีก็มาเฮอาเขียนบอก...... หรือถ้ามีทุกข์วนเวียนมาอีกครั้งก็คว้าเมฆ คว้าฝน ใส่อารมณ์ ปน MV เคาะแป้น keyboard แล้วป่นๆกันไป.......................
$%@(*)(*()&@()@_!)(&!$^!_()@&!()@$&!)($&@!_)($&@!_$)(&_()&_)(&_()&_(&@#!@$$^*
บันทึกหลายบันทึกที่ผมเขียนนั้นมีจุดมุ่งหมาย........ แม้ไม่สะท้อนความรู้สึกจริงๆที่อยู่ในใจ แต่ก็อยากให้สัมผัสถึงความจริงใจและตั้งใจที่จะปักป้าย “ทาง” ที่ผมเห็น...... ถึงแม้จะเพิ่งเริ่มก้าว.....แต่ผมก็มั่นใจว่าสุดสายปลายทางนั้น....คือคำตอบของปัญหาทุกเรื่องที่ผม หรือ ทุกท่าน ต้องเผชิญ..........................
แม้จะมีป้ายบอกทางที่ชัดเจนเพียงไหน อ่านก็แล้วใช่ว่าจะไม่เข้าใจ....... “หลัก” นี้เราก็รู้ “หลัก” นั้นเราก็เข้าใจ แต่ทำไมเราเดินผ่านทางนี้ไป....... แล้วก็บอกกับตัวเองว่า....... “ยังไม่ถึงเวลา.....เอาไปมีเวลาก่อน” หรือ “...นี่ไง ฉันก็ปฏิบัติอยู่นี้ไง แค่นี้ก็พอแล้ว.... “
หลวงพ่อชากล่าวว่า (โดยผมขอแปลงคำสอนหลวงพ่อ ตามความเข้าใจของผม ณ วันนี้ )
“เมื่อเราไมรู้จักพอ เราก็ไม่รู้จักแก่ ........เมื่อไม่รู้จักแก่ มันก็มีแต่ความไม่พอ......”
“ เมื่อเราไม่ยอมรับ หรือ ไม่ตระหนักถึง ว่าเรามี “ความแก่” รอเราอยู่....... “ผม(ดิฉัน) ยังไม่แก่เลยครับ(ค่ะ) เอาไว้ก่อน ยังอีกไกล.....” ....... เราก็จะไม่มีคำว่า “พอ” เมื่อไม่รู้จักคำว่า “พอ” หรือ “เพียงพอ” อยากได้ อยากมี ไม่สุดสิ้น.........”
ผมไม่ใช่เพิ่งเริ่มจะเข้าใจ แต่เข้าใจมานานแล้วว่า .......ครูบาอาจารย์ท่านสู้ ท่านพยายาม แค่ไหนกว่าจะดึงคนแค่ไม่กี่คนให้มาเพียงเพื่อจะ...........”สัมผัสกับหลักธรรมที่แท้จริง” ท่านเพียงชี้ทางให้เราเดิน......ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง.......
ทุกข์...หรือหลายต่อหลายเรื่องเราก็ว่าเรา รู้.......”เหตุ” แห่งทุกข์...... บางครั้งเราก็ว่าเรา ”ดับ” มันได้...... แต่เหตุใด “มัน” ยังวนเวียนตามเราอย่างเรื่อยๆไป....???
เรื่องบางเรื่องเราก็ใช้หลักธรรมแก้ไขได้ทัน แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับหลักนั้นให้มั่น ไม่หลุดลอย
ทำอย่างไร!!!?? ในเมื่อกระแสของความไม่พอ กระแสของความอยาก ....มันคอยลากเราให้หลุดจาก “หลักธรรม” ที่เราพยายามยึดไว้
***คำตอบ นั้นจะเกิดขึ้นในใจท่านเอง เมื่อท่าน ..เห็น.. ว่า “เราถึงเวลาแล้วที่จะ.....<ให้ท่านตอบของท่านเอง>....” ***
**********************************************************************************
ง่วง พอ ดี ..... สาธุค่ะ
***คำตอบ นั้นจะเกิดขึ้นในใจท่านเอง เมื่อท่าน ..เห็น.. ว่า “เราถึงเวลาแล้วที่จะ.....(ละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วถ้าไม่เข้าใจ ทำไงนี้ท่าน วิชญธรรม ... อ๊ะล้อเล่น )
เราถึงเวลาแล้วที่จะปฏิบัติธรรม
คนเราส่วนใหญ่ จะวิ่งหาเทียน ไฟฉาย หรือตะเกียงก็ต่อเมื่อไฟดับ
เช่นใจเรา เราคงไม่คิดจะหาแสงสว่างในใจเมื่อเรา ไม่รู้สึกมืดมน
แล้วเราต้องรอให้ใจเรามืดมนก่อน แล้วค่อยวิ่งหาหรือไร หากวันนี้เรา ยึดธรรมะ ปฎิบัติธรรม ให้ใจเราสว่าง แล้ว ก็ยากที่จะมีอะไรมาดับให้ใจเราให้มืดได้
ขอบคุณค่ะท่านวิชญธรรม บันทึกเตือนใจ
อ๊ะ .... เข้าใจผิดเปล่านี่ อิ อิ
555 เอาบทไหนดี โรแมนติก หรือ หวานซึ้งล่ะท่าน
(ตอนแรกว่าจะปิดชมรมแล้ววว!! -<>)
อ้าว..กำลังจะยื่นใบสมัคร ค่ะ
"ทุกข์...หรือหลายต่อหลายเรื่องเราก็ว่าเรา รู้.......”เหตุ” แห่งทุกข์...... บางครั้งเราก็ว่าเรา ”ดับ” มันได้...... แต่เหตุใด “มัน” ยังวนเวียนตามเราอย่างเรื่อยๆไป....???"
ขออนุญาตแจมในจุดนี้นะคะ
ทุกข์เป็นผลต่อเนื่องที่ยาวมาจากนามรูปตามสายปฏิจจสมุปบาท พอเรารู้ว่าเพราะเรื่องอะไรทำให้เราเป็นทุกข์ได้ เราหาสาเหตุทุกแง่มุกมุม จนวางใจเป็นกลางกับเรื่องนั้นๆได้ ก็หมดทุกข์ เพราะจิตเป็นกลางในเรื่องนั้นแล้ว (วิปัสสนุเปกขา)
แต่ เพราะยังไม่พ้นนามรูป เมื่อใดที่กระทบกับรูปอันเป็นอารมณ์แรงๆ อุเบกขาที่อ่อนแรงกว่าก็ต้านไม่อยู่ จึงทุกข์เพราะเรื่องคล้ายๆเรื่องเดิมได้อีก
จึงต้องพยายามพิจารณาให้ถึงสังขาร (สังขารุเปกขา)
ไม่พ้นจากทุกข์คงไม่เป็นไรมังคะ
ขอให้ทุกข์น้อยลงเรื่อยๆ ก็คงพอนะคะ
ขอขอบพระคุณพี่ณัฐรดา มากครับ ที่มาให้ความรู้เพิ่มเติม....:):)
ผมจึงต้องรีบไปทำการบ้านเรื่อง “สังขารุเปกขา”
ohhh!!! เขียนมากเดี๋ยว “สาวกธรรม” เราจะวิ่งหนีไปหมด...... ฮิฮิ
เหมือนอย่างที่พี่แนะละครับ.....
“ไม่พ้นจากทุกข์คงไม่เป็นไรมังคะ ขอให้ทุกข์น้อยลงเรื่อยๆ ก็คงพอนะคะ”
แต่เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของบันทึกนี้ขอแค่
.....ผู้มีจิตศรัทราทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ที่หลงมาให้ดอกไม้ไว้ จงตั้งใจปฏิบัติธรรมด้วยเทอญ.......................สาธุ........:):) (แล้วจะส่งหน่วยติดตามเป็นรายๆไปนะครับ.......<ล้อเล่นนะคร้าบบบ> )
อืมมมม......เริ่มสงสัยว่าใครต่อใครแวะมาบันทึกนี้ทีไร......บอกขอไปนอน.... ทุกที อันนี้ควรพืจารณาอย่างไรดีครับ......:):)
สำหรับตัวเองนะคะ เพราะเป็นแล้วเห็นทุกข์จึงมาทางธรรม ชีวิตที่เราเคยมั่นใจว่าเราแน่ หรือ "เอาอยู่" ถึงเวลาที่มันกระแทกเราแบบไม่ให้ตั้งตัว มันสั่นคลอนความมั่นใจในตัวเองจนต้องหาคำตอบว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไรจึงจะมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี(อัตตาสุดๆ)
บุญคงยังมีที่ทำให้มาเดินทางนี้แล้วมองเห็นแสงสว่างที่ปลายทาง ได้ขัดเกลาตนเองอยู่เรื่อยๆค่ะ
พอได้พบหนทาง เห็นคำตอบบางอย่างที่ทำให้เป็นสุขได้ง่ายแม้วันนี้ปัญหาก็ยังมีมากมาย แต่มันไม่ทุกข์เหมือนเดิม คิดว่า โอ้ ธรรมะมีคุณประโยชน์ล้ำลึกอย่างนี้ ทำไมผู้ใหญ่ไม่สอน ไม่แนะทางเดินนี้ให้เราฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็กๆหนอ ...
อ. ยุวนุช
เมื่อยังไม่ถูก “สภาวะ” ไม่ถูก “เวลา” เราก็ยังคงไม่รู้ ไม่เห็น “ธรรม” อยู่ดีครับ
เช่น เมื่อหลายปีก่อนใช่ว่าผมจะมาสนใจการปฏิบัติธรรม แค่เปลี่ยนน้ำพระที่บ้านยังยากเลยครับ.... วันๆก็ ดูหนัง ฟังเพลงไป หาที่เที่ยว ที่กิน....... ระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา เวลา เกือบ 24 ชั่วโมง ตัวและใจอยู่กับลูก ...ไม่เห็นหรอกครับ "ทุกข์" จริงๆหน้าตาอย่างไร........
ผมมีพี่ๆของผมทั้งทำเป็นตัวอย่าง แนะนำ เชิญชวน อัญเชิญ..ชวน หาCD เทป หนังสือ ธรรมะให้ (ผมทำหาย เกลี้ยง!!) ผมไม่เคยสนใจ ใส่ใจ.........(ผมว่าพวกเขาชวนผม ไม่ต่ำกว่า 10 -15 ปี เลยนะครับ .....ถ้าไม่ใช่พี่น้องกัน ใครจะทนขนาดนี้ 555)
พอมาถึงตอนนี้ผมก็เที่ยวไปว่าคนโน้นที นี้ที ว่าทำไมไม่มาปฏิบัติธรรมซะที ขอแค่มาเหยียบวัดก็ยังดี.... ผมได้หลากหลายคำตอบกลับมา.....
รู้สำนึกเลยว่า ทีตัวเอง มีทั้ง สภาวะแวดล้อมที่ช่วยให้เข้าใจธรรมะได้ง่ายกว่าคนอื่น ......เราเองกว่าจะมาเห็นประโยชน์ของการปฏิบัติ...... ไม่ใช่เรื่องที่จะชักชวน จูงใจกันง่ายๆครับ (กลับบ้านคราวนี้ ผมคงโดนถามว่าทำไมมาโม้ อยู่ที่นี่ ไม่ฝึกจิตฝึกใจตัวเองให้ดีก่อน :(:( (แต่พี่ๆผมเข้าใจสภาวะจิตใจผมขณะนี้ดี คงไม่โดนดุมาก หุหุ) )
ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าเราคิดดี แรงดึงดูด ของ ขั้ว “ดี” ก็จะดึงดูด ขั้ว “ดี” เข้าหากันครับ ถ้าจิตใจลึกๆ เราต้องการเข้าถึง “ธรรม” ขั้ว “ธรรม” ก็จะพาเราไปถึง “สภาวะ” นั้นเอง
ถึงผมจะกองหนังสือสุดยอดธรรมะ อ่านแล้วบรรลุเลยไว้ตรงหน้าคนใดคนหนึ่ง ถ้าเราไม่ “เห็น” มันก็เท่านั้นครับ......(เหมือนเรื่อง ไก่กับเพชร)
แต่ทุกคนไม่ใช่จะเห็นทุกข์ ก่อนแล้วถึงจะเห็นธรรม นะครับ ครอบครัวที่มี “สภาวะ” ดี มีความสุข ลูกหลานเขาน้อมเข้ารับ “หลักธรรม” และเข้าใจสัจธรรมเป็นอย่างดี....... กลุ่มนี้จิตใจเขาดีมากๆ ก็มีไม่น้อยนะครับ (สมัยก่อนผมก็ไม่เข้าใจ คนกลุ่มนี้เหมือนกัน เขาดีจนน่าใจหายว่าจะอยู่ในสังคมที่โหดร้ายนี้อย่างไร พวกเขาอยู่ได้เพราะเขามีหลักธรรมยึดไว่อย่างดี )