“วันนี้มาตรวจอะไรจ๊ะ” คำทักทายจากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลชลประทานที่เอ่ยถามออกมาขณะที่ผมพาคุณแม่เดินผ่านโต๊ะประชาสัมพันธ์ เพื่อมาตรวจร่างกายตามที่หมอนัดไว้ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่านี่เราอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐหรือของเอกชนกันแน่ หรือเป็นเพราะมาตรฐาน HA ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หลังจากที่พาคุณแม่ไปนั่งรอยังหน้าห้องตรวจเลือด จึงได้เดินย้อนกลับมาเพื่อมาสังเกตดูเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อสักครู่นี้ผมไม่ได้หูฝาด ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 ท่านให้บริการแก่ทุกคนด้วยไมตรีจิต ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาก็ไพเราะเสนาะหู เมื่อพิเคราะห์ดูสักครู่ก็เห็นว่าทั้ง 3 ท่านดูจะมีวัยวุฒิมากพอสมควร ทำให้สงสัยต่อไปว่าหรือโรงพยาบาลเขาเปลี่ยนเอาพวกท่าน ส.ว. (สูงวัย) มาทำหน้าที่แทนพวก ส.ส. (สาว ๆ) เพราะดูว่าน่าจะมีความอดทนต่อการให้บริการและใจดีมากกว่า เพื่อขจัดข้อสงสัยที่เกิดขึ้น จึงได้เข้าไปทักทายและพูดคุยก็ได้ความว่าท่านทั้ง 3 เป็นอาสาสมัครของโรงพยาบาล
(จากซ้ายไปขวา)คุณป้าอุบล สัตตวัตรกุล, คุณป้าสำราญ ปีกรม, คุณป้าวีณา แม่นสอน และคุณป้าสุณีย์ พันธุมจินดา (ยืน)
โดยเรื่องมีอยู่ว่า คุณป้าผู้เอื้ออารีย์ทั้ง 3 ท่านเป็นสมาชิกของชมรมผู้สูงอายุของโรงพยาบาลชลประทานมาหลายปี และเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา คุณหมอพล หิรัญศิริ (ขออภัยหากสะกดผิด) ได้ย้ายจากโรงพยาบาลพระนั่งเกล้ามาอยู่ที่นี่และได้นำแนวคิดจากโรงพยาบาลเดิมในการให้พวก ส.ว.ทั้งหลายได้มีกิจกรรมทำตามความสามารถของตน ด้วยความสมัครใจ จึงเกิดเป็นอาสาสมัครโรงพยาบาลหรือที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า “อสรพ.” โดยช่วยทำหน้าที่คอยช่วยเหลืองานด้านต่าง ๆ ของโรงพยาบาลอาทิ การประชาสัมพันธ์แนะนำขั้นตอนต่าง ๆ ในการขอรับบริการ การช่วยพับผ้าก๊อต การช่วยในแผนกโภชนาการ และที่ประทับใจผมมากที่สุดคือ การแนะนำการบริหารร่างกายขณะรอพบแพทย์ ของคุณป้าอีกท่านหนึ่งทางด้านหน้าห้องตรวจเพราะนอกจากจะเป็นการดีต่อสุขภาพกายแล้วยังเป็นการช่วยลดความกระวนกระวายใจต่อการที่จะต้องรอคิวพบแพทย์ ทำให้ส่งผลดีต่อสุขภาพใจอีกด้วย
"สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องลงมือทำ" คำเชิญชวนให้ออกกายบริหารของคุณป้าสุนีย์ (อายุเพียงแค่ 70 ปีเท่านั้นเอง)
คุณป้าอุบล ( 71 ปีนะเรื่องเล็ก) กำลังให้คำแนะนำอย่างเอื้ออารีย์
คุณป้าทั้ง 4 ท่านที่มาเป็น“อสรพ.”นั้นท่านมาด้วยใจ มาด้วยจิตวิญญาณาของผู้ให้เพราะนอกจากจะไม่ได้ค่าตอบแทนแล้วยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเองในการเดินทางเพื่อมาให้บริการผู้อื่นอีกด้วย ต่อข้อถามที่ว่าเหตุใดถึงต้องมา ก็ได้รับคำตอบหลากหลายว่า “ไม่อยากเป็นคนแก่ที่ไม่มีประโยชน์รอคอยวันตายโดยไม่ได้ทำประโยชน์”(ฟังแล้วน่าขนลุกไหมครับท่าน) “ฝนตกป้าก็มา ลงทุนนั่งแท็กซี่มาเพราะเป็นห่วงคนไข้” (คุณหมอ-คุณพยาบาลคงจะอึ้งถ้าได้ยิน) “มาแล้วสบายใจ ไม่เจ็บไม่ไข้ไม่ต้องกินยา อยากให้มีคนสนับสนุนคนแก่ให้มีกิจกรรมทำ เพื่อให้เกิดความรู้สึกความมีคุณค่าในตนเอง (ผมว่าคมกว่ามีดหมอ) เป็นการป้องกันก่อนเกิดโรค ช่วยตรงนี้ดีกว่ามาช่วยรักษาโรค” (พรรคการเมืองน่านำไปเป็นนโยบายหาเสียงแข่งกับ 30 บาทรักษาทุกโรค) เป็นยังไงครับท่านเสียงสะท้อนจากกลุ่มบานไม่รู้โรย น่าสรรเสริญจริง ๆ ใช่ไหมครับ แบบอย่างของคนดีที่มีมานานในสังคมไทยแต่ไม่มีใครเอามาเป็นข่าว ไม่มีสื่อไหนเอามาให้เราบริโภค เพราะมันไม่ตื่นเต้นเร้าใจ มันไม่สร้างความคลุมเครือ มันไม่สร้างความแตกแยกในสังคม ข่าวดีอย่างนี้ยังมีอีกมากมายและหาได้ไม่ยาก เชื่อว่าทุกท่านคงจะเจอข่าวดีอย่างนี้กันแทบทุกวัน ช่วยกันเอาข่าวดีอย่างนี้มาเผยแพร่กันนะครับ และผมยังแอบรู้มาว่า กลุ่มคนที่มีจิตอาสาประเภทนี้ยังมีอยู่อีกหลายโรงพยาบาล หลายท่านในชุมชนเสมือนแห่งนี้มีความเกี่ยวข้องผูกพันกับโรงพยาบาลหลายแห่งช่วยเผยแพร่ให้ทราบด้วยนะครับ แพร่เชื้อข่าวดีให้ระบาดไปทั่วทั้งประเทศ เอาให้ไข้หวัดนกระบาดไม่ออกเลยนะครับ หากมีเวลาผมจะไปซุ่มดูที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าว่า “อสรพ.” เขาเป็นอย่างไรแล้วจะนำมาบอกกล่าวเล่าเป็นข่าวดีให้ทราบกันอีกทีครับกระผม สำหรับวันนี้ขอไปนั่งอิ่มใจกับข่าวดีทีได้ประสบมาในวันนี้นับเป็นครั้งแรกที่กลับจากโรงพยาบาลด้วยความปิติสุข แม้จะต้องใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมงกว่าคุณแม่จะเสร็จก็มิได้มีความหงุดหงิดใจเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีความเห็น