วิชญธรรม
ผศ. ดร. สิริวิชญ์ เตชะเจษฎารังษี

สติ เมื่อ หลุด .... ก็ เจอ ต. (ตำ)


สืบเนื่องจากบันทึก.......  สติ เมื่อ หลุด ....(ตอน 1)

........หลังจากผมก่อเรื่อง “สติ เมื่อ หลุด” ในตอนเช้าแล้วนั้น อาการปวดหลังยังคงมีอยู่มาก บิดตัวไม่ได้มาก แต่ก็ยังดีที่อาการที่เกิดนั้นมาจาก ถ้าไม่ใช่กล้ามเนื้อแผ่นหลังซีกขวา ก็เป็นแค่เส้นเอ็นหลังซีกขวา แต่คงไม่ใช่ปัญหาเรื่องกระดูกสันหลัง (งานนี้วินิจฉัยโรคเอง ไม่ต้องถึงขั้นปรมาจารย์-อาจารย์หมอ ลงมาตรวจ )

........วันนั้นทั้งวันผมช่วยอะไรใครไม่ได้มาก ผมพยายามมองหางานทำ ที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวมาก ...........นี่เลย .....ผมไปนั่งขราวกันตกสแตนเลส ราวกันตกสแตนเลส ที่เพิ่งติดตั้งเสร็จไปบางส่วน แต่เนื่องจากเป็นท่อสแตนเลสที่มีคนบริจาคไว้นานแล้ว แล้วทางวัดก็เอาไปเก็บไว้ เมื่อมีโอกาสนำมาใช้ประโยชน์....  ท่อสแตนเลสจึงสกปรก มีทั้งเศษปูน เศษสี ที่แห้งติดแน่ที่ผิวท่อ แล้วก็มีญาติโยมผู้หวังดีเก็บก้อนหินเล็กๆ แถวนั่น มาช่วยขัดท่อไปบ้างแล้ว ผลปรากฏว่า การเอาหินไปขัดท่อสแตนเลสยิ่งทำให้ผิวของท่อสแตนเลสเสียหายเป็นรอยขูดขีด และยิ่งทำให้คราบสีซึมลงไปในเนื้อท่อ งานนี้ผมก็ต้องมา.....ภาวนา...ใช้เศษใบเลื่อยเหล็กที่หัก ค่อยๆเขี่ยเอา ปูน สี ที่แข็งติดท่อ และเศษสีที่ซึมลงไปในเนี้อท่อ....................ผมนั่งขัดท่อไป พระ-เณรก็ทำงานของท่านไป  .....ก็หมดไปอีกหนึ่งวัน

........วันถัดมา อาการผมเริ่มดีขึ้น วันนี้ตั้งแต่เช้าหลวงปู่เริ่มเปิดแนวรบใหม่ คือสร้างกุฏิเล็กๆ ข้างๆ ”ถ้ำ” ริมน้ำ

(“ถ้ำ” ภาษาคนแถวนี้ ไม่ใช่ถ้ำอย่างเราๆนึกถึงนะครับ เป็นเพียงชะง่อนหินที่ยื่นออกมาพอที่จะบังแดดได้บ้าง ดูรูปคงจะเห็นภาพนะครับ หรือดูภาพจะเห็นรูปดี.....ผู้เขียนเริ่มสับสน....หุหุ) 

........ผมถูกตามไป “พิจารณา กะปิ” ต้นไม้ ต้นหนาม (ผมไม่รู้ชื่อจริงอะไร) ต้นหญ้า เถาวัลย์ ออกจากบริเวณที่พระจะทำงาน

 (ครูบา พระ เณรที่นี่เขา จะใช้คำย่อๆอีกว่า “ไปกะปิ” หรือ “กะปิ” ซึ่งความหมาย สนุกๆท่านหาอ่านได้ที่ บล็อคง่ายๆ ของนายอังคาร เรื่อง กัปปิยัง – การประเคนอาหารไม่สุกพวกพืชผักหรือผลไม้ พระสงฆ์ตัดต้นไม้ ขุดดิน ไม่ได้ตามวินัยฯ)

........ผมช่วยแบกเสาไม้มาตั้งเพื่อทำเสารับหลังคาสังกะสี หลังจากงาน “กัปปิ” ตัดถางต้นไม้เล็กที่ขึ้นแถวนั้นเสร็จ  มีการแบกหินมาวางบนชะง่อนเพื่อป้องกันน้ำฝนไหลย้อนกลับ แล้วรั่วลงมา เราช่วยงานกันทั้งวัน คราวนี้ผมช่วยได้ไม่เต็มที่เช่นเคย ถึงช่วงบ่ายก็ต่างแยกย้ายกันไปพัก

........จำได้ว่าตกเย็นหน่อย ผมเดินลงไปดูสถานที่ทำงานอีกรอบ ได้ก็พบว่าหลวงปู่ทำงานอยู่กับ “พระเตี้ย” และลุงชาวบ้านท่านหนึ่ง กำลังพยายามปรับหน้าดินให้เสมอกัน และขุดเอาหินออกเพื่อที่จะขยายพื้นที่กุฏิไปด้านหลัง ไม่มีใครอื่นอยู่ช่วยงาน.....  “พระเตี้ย” จำเป็นต้องจับจอบเกลี่ยหน้าดิน  ซึ่งถ้ามีผ้าขาวอยู่ก็ต้องเป็นงานที่ผ้าขาวเข้าช่วย แต่ขณะนั้นผมคิดว่าจะยืนดู ครูบาเตี้ย หรือหลวงปู่ ทำงานอย่างนั้นคงไม่เหมาะ ในใจคิดว่าเอาล่ะวะ.......ตัวเราก็ไม่ใช่ของเรา หลังเราก็ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา การปวดหลังกับขุดดิน ถ้าทำงานอย่างระวังก็คงไม่เป็นอะไร อีกอย่างมีผมมาช่วย ทำหน้าที่ขุดดิน ปรับดิน ก็จะช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น เย็นวันนั้นเราปรับหน้าดิน อัดดินให้แน่นจนเสร็จ.......แยกย้ายกันกลับเพื่อพัก อาบน้ำ  รอทำวัตรเย็น ..........

........อีกเช้าวันถัดมา ผมไม่แน่ใจว่าญาติโยมนิมนต์หลวงปู่ไปไหนตั้งแต่เช้า ดูเหมือนรู้ใจกัน ผมและ“พระเตี้ย” ต่างก็มาที่กุฏิที่กำลังสร้างใหม่ เพื่อขนหินมาวางเสริมให้แนวขอบสูงขึ้น ซึ่งหลวงปู่ได้เปรยๆไว้ว่าต้องการยกแนวหินให้สูงขึ้นใกล้ๆกับแนวพื้นต่างระดับ เราทำงานจนคิดว่าเสร็จ....ก็ต่างแยกย้ายกันไป ช่วงบ่ายหลวงปู่กลับมาก็เรียกระดมทันที เพื่อทำหลังคา งานนี้ข้าพเจ้าช่วยไม่ได้จริงเพราะตั้งตีไม้แบบทำหลังคา ตีแผ่นสังกะสี .........งานนี้ได้ยีนจับบันไดช่วยเขาบ้าง ตอนนั้นฝนเริ่มจะตก ต่างคน ต่างรีบ พยายามทำหลังคาให้เสร็จก่อนฝนตกหนัก (มีชาวบ้านมาช่วยเพิ่มอีกสอง ท่าทางชำนาญงานมาก.....)

........ช่วงนั้นผมก็หันไปเห็นกิ่งไม้ที่เราตัดออก เพื่อที่จะเปิดพื้นที่ไว้สำหรับวางปลายไม้อีกด้านให้ไปค้ำกับชะง่อนหิน  เป็นกิ่งใหญ่พอประมาณ เส้นผ่านศูนย์กลางเทียบประมาณเล็กกว่า ขวดน้ำ 1.5 ลิตร เล็กน้อย ยาวประมาณ 3-4 เมตร พร้อมใบยังเต็มต้น ด้วยความรีบร้อนเช่นกัน ผมก็ได้รีบลากท่อนไม้ซึ่งตอนนั้นนอนขวางทางอยู่ออกจากพื้นที่ทำงานโดยเร็ว เป่าหมายก็คือ ลากไปโยนลงข้างๆก่อไผ่หนาม ด้วยความรีบร้อนไม่ทันได้พิจารณาว่าที่พื้นใบไผ่ที่เราย้ำอยู่นั้นบางกิ่งมันมาหนาม ผลปรากฏว่า

........เมื่อ “สติ” หลุด ผมก็ไปเหยียบเอาหนามไผ่ทะลุรองเท้าฟองน้ำ “นันยาง” (ระบุยี่ห้อไว้เผื่อมีประโยชน์....หึหึ) ทะลุต่อขึ้นมาปักกลางอุ้งเท้าผมพอดีเป๊ะเลย..... งานนี้ผมรีบดีงกิ่งไผ่ที่ปักติดเท้าผมขึ้นมาออก งานนี้ความปวดที่อุ้งเท้าก็มาเยือน ผมต้องรีบเดินขากระเผลก หลบผู้คนไม่บอกใคร  (จะบอกได้ไงครับพี่น้อง......เสียอะไรก็ไม่เท่าเสีย “ฟอร์ม”  ครับ.....พี่น้องครับ.....ผมก็ยังพก “ อัตตา ” อยู่เต็มกระเป๋าผมอยู่ดี........หุหุ)

........ผมเดินกลับไปหายาเหลืองมาทา ตอนนั้นอุ้งเท้าเริ่มบวมเป็นลูกไข่เลย (ตอนผมย้ำเท้าลงไปนั้น ลงน้ำหนักซะเต็มที่เลย ขนาด“นันยาง” ยังเอาไม่อยู่เลย ลองนึกสภาพดูนะครับ....พี่น้อง )   ผมล้มตัวลงนอน......แล้วก็หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้เรื่อง.......(หลับมันตรงพื้นศาลาวัดนั้นเลย....ครับพี่น้อง  แขกไปใครมา เดินผ่าน......ไม่ได้สนใจเลย.......) พอรู้สึกตัวตื่น.......

ครูบาอีกท่านที่กำลังเดินผ่านก็พูดแซวเสียงมาแต่ไกลเลย ......” ตื่นแล้วบ่ “ด็อกเตอร์”????”   (ผมคิดว่าผมหลับไป....พักใหญ่เหมือนกัน)      

 

ผมตอบไป “ตื่นแล้วครับ หลวงพี่.......”  ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ....................คิดในใจว่ามาวัดคราวนี้ ทำเรื่องไม่เว้นแต่ละวันเลยเรา....... “ฟอร์ม”  ไม่เหลือ และ ก็ไม่เหลือ “ฟอร์ม”  อีกต่อไป.............

************************************************** 

 รูปกุฏิใหม่ที่กำลังสร้าง

 

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #สติ#อัตตา
หมายเลขบันทึก: 499948เขียนเมื่อ 24 สิงหาคม 2012 23:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 ตุลาคม 2013 15:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

“สติ”  หลุด ... ได้ ... ถ้าเหยียบเอาหนามไผ่ทะลุรองเท้า... เป็นใคร สติก็ หลุด .... ไม่..หลุด...ก็เยี่ยมที่สุดนะคะ .... สำคัญอยู่ที่ "หลุด...แล้ว จะดึงกลับมา โดยเร็ว ได้อย่างไรนะคะ"

ขอบคุณมากนะคะ  กับบทความดีดี...ให้มีสตินะคะ

  • 555555555
  • ชลัญว่าอีตอนเหยียบหนามไผ่น่ะ สติไม่หลุดหรอก 
  • แต่อีตอนหลับนี่ดิ 
  • นึกภาพ 
  • ดร.นอนน้ำลายไหลยืด เอามือแคะขี้มูก หรือ เกาตูด หรือเปล่าไม่รู้
  • เสีย  เสีย  เสีย อิ อิ 

อ่านสำนวนการเขียนของอาจารย์แล้วคิดถึงคุณวาณิช จรุงกิจอนันต์นะคะ

คุณหมอเปื้น Blank เห็นด้วยกับที่ว่า

สำคัญอยู่ที่"หลุด...แล้ว จะดึงกลับมา โดยเร็ว ได้อย่างไรนะคะ"

 

คุณพยาบาล ชลัญธร Blank ครับ  ให้นึกภาพ

" ดร.นอนน้ำลายไหลยืด เอามือแคะขี้มูก หรือ เกาตูด หรือเปล่าไม่รู้  "

  • นอนน้ำลายไหลยืด นี้อาจเป็นได้  หลับสนิทก็ยืดดด ยาดดด ได้
  • เอามือแคะขี้มูก   นี้ก็พอไหว 
  • แต่ เกาตูด !!!! อันนี้ ดิฉันรับไม่ได้...ค่ะ คุณพยาบาล .....5555

 

 

อ. โอ๋ เรียนตามตรง ผมไม่ใช่ผู้ที่รักการอ่านเลย สังเกตจากความแข็งแรงของภาษาไทยในบันทึกของข้าพเจ้าได้ เมื่อได้เจอชื่อคุณวาณิช จรุงกิจอนันต์ ก็ได้ขอให้ อา "กู๋.gle" ช่วย

อื่ม.....สงสัยต้องศึกษาประวัติคุณวาณิช จรุงกิจอนันต์  บ้างเสียแล้ว

(ไอ้แค่หนังสือธรรมะ ยังไม่ยอมศึกษาเลย.....ยังจะบอกว่าจะไปศึกษาประวัติคุณวาณิช จรุงกิจอนันต์.........   มีเสียงกระซิบในหูอีกข้าง   5555)

555 กลับมาขำ ขอโทษท่าน ดร. รักดอกจึงหยอกแรงงงงงส์ 555

อ.วิชญธรรม คะ คุณวาณิช ท่านเป็นนักเขียนที่เขียนเรื่องยากๆให้เข้าใจได้ง่าย ดูเหมือนอ่านสนุกแต่มักจะมีอะไรลึกๆให้เราได้คิดค่ะ คืออ่านเอาสนุกก็สนุก แต่ถ้าคิดดีๆจะมีอะไรที่เราสื่อสารได้อย่างลึกซึ้งค่ะ ว่าแล้วก็เลยได้ดู"กราฟชีวิต"ของท่านในวันสุดท้ายของชีวิต ได้"ขนลุก"อีกแล้วค่ะ

อ. โอ๋ Blank ผู้ใจดี ....... ระยะหลังๆ ผมคิดว่า ผมเริ่มเขียนเรื่องง่ายๆให้เป็นเรื่องยากซะสิ เท่าไงดีครับ ..........

-----ผม download "กราฟชีวิต"ของท่านในวันสุดท้ายของชีวิต น่าสนใจมากครับ แต่ยังไม่เข้าใจกรณี case: อ.ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม  เทียบกับกราฟที่แสดง peak ทุกเรื่อง แต่ตรงข้ามกันคงอาจเป็นอีกหนึ่งกรณีที่ต้องระวัง??.....

----- เลยขออนุญาติติดตามบันทึกของอาจารย์ที่ผ่านมา.....ohhhohhh!!!! เยอะมาก!!! ข้าน้อยขอคารวะเลยครับ..... (อายมากผมบังอาจไปเทียบรุ่น....หุหุ)

ขอบคุณจากใจครับ....

  • อาจารย์ปฏิบัติแบบนำอาการเจ็บจริง ๆ มาพิจารณาและยังเห็นอัตตาตัวเองได้อีก สติอาจารย์กลับมาเมื่อพลาดไปแล้วก็ถือว่าอาจารย์ยังไม่หลุดไปจากการปฏิบัติเลยนะคะ น่ายกย่องมากค่ะ ได้ร่วมเรียนรู้กับอาจารย์ไปด้วย และนึกถึงตอนที่ตนเองสติหลุดและต้องเจ็บตัว ก็จะตื่นตอนเจ็บตัวนั่นแหละค่ะ อาจจะช้าไป ไม่ทันการ แต่ก็นำมาเป็นบทเรียนให้ทบทวน
  • แม้กระทั่งในชีวิตประจำวัน ขณะทำครัวแล้วโดนมีดบาด ก็รู้เลยว่าตอนนั้นเรามีเรื่องครุ่นคิด ใจไม่อยู่กับตัว ขาดแม้กระทั่งสมาธิ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสติเลย หลัง ๆ มานี่ นาน ๆ ทีเจ็บตัวที ก็ได้ทบทวนในชีวิตประจำวันไปด้วยค่ะ ว่าหลุดอีกแล้วนะคะ...
  • การรู้ตามหลังการพลาดพลั้งเผลอ อาจจะตื่นง่ายกว่า ซึม เฉย ทั้งวันก็เป็นได้ค่ะ (เข้าใจเองอย่างนั้นนะคะ ฟังธรรมอาจารย์ปราโมทย์และลองสังเกตตัวเองดูค่ะ)
  • สถานที่ที่ปฏิบัติธรรม ที่เป็นธรรมชาติจริง ๆ ค่ะ อาจมีหนาม มีเถาวัลย์ มีงู ฯลฯ ขาดสติเมื่อไหร่ อันตรายทีเดียวนะคะ
  • นึกถึงจีจ้าเลยค่ะอาจารย์... เล่นจริง เจ็บจริง
  • ฝึกแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยนะคะเนี่ย
  • สาธุค่ะ

อ.Blank คะ พี่โอ๋เขียนมาตั้ง 5-6 ปีแล้วค่ะ เดี๋ยวอาจารย์เขียนแบบนี้ไปอีกไม่กี่ปีก็จะกลับมาทึ่งตัวเองได้เหมือนกันค่ะ สำหรับกราฟชีวิตเป็นเพียงตัวแสดงให้เห็นจังหวะของชีวิตในแต่ละวันน่ะค่ะ ตรงที่ตัดศูนย์คือจุดวิกฤต จะเห็นว่าส่วนใหญ่ทุกท่านจะเสียชีวิตในวันที่เส้น physical (สีแดง) อยู่ที่จุดวิกฤต ส่วนอ.ไพบูลย์นั้นวันที่ท่านสิ้น มีแต่เส้น Emotional (สีฟ้า) ที่อยู่ในส่วนต่ำสุด นอกนั้นอยู่ที่ peak ก็น่าจะหมายถึงท่านน่าจะไปในวันที่ท่านสบายๆนะคะ 

สำหรับพี่โอ๋ส่วนมากดูให้ลูกๆเวลาเขาต้องเดินทางไปไหนๆหรือทำอะไรที่ต้องใช้กำลังกาย เพราะจะได้รู้สภาพตัวเองก่อนไป แล้วก็ได้ประโยชน์นะคะ เพราะเขาก็รู้ตัวก่อนแล้วว่าช่วงนั้นเขาเป็นยังไง แข็งแรงหรืออ่อนแอ ประมาณตนได้ มีสติรู้จักระวังตัว หนักก็เป็นเบาค่ะ อาจารย์ลองย้อนดูกราฟตัวเองวันที่โดนตะปูตำดูสิคะว่าวันนั้นกราฟทั้งสามเส้นเป็นอย่างไรบ้าง อย่าลืมบอกกันบ้างนะคะ พี่โอ่ก็ชักอยากรู้แล้ว

กลับมาดูอีกทีความเห็นหายไปแล้วค่ะ เขียนใหม่อาจไม่เหมือนเดิม ฝากรอยไว้ก่อนแล้วจะมาใหม่ค่ะ

......ใจจดใจจ่อรอ อ่าน.... นะครับ

Blank อ. โอ๋ ปกติผมไปวัดไม่เคยจำวันได้ชัดเจน ผมคิดว่าเหตุเกิดน่าจะเป็นตอนช่วงวันหยุดยาวต้นเดือนสิงหาคม  แต่กราฟออกมาน่าสนใจมากครับ

คือช่วงนั้นไม่มี "ปัญญา" เลย........ต (ตำ) 555

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท