ค่ำคืนที่ผ่านมา ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๕ เช้ามืดผมเริ่มตื่นจากการหลับไหล ทั้งที่ตาก็ยังหลับอยู่แต่ภาพในความคิดคำนึงนั้นช่างแจ่มชัดอะไรเช่นนั้น ผมนึกอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะครับ เรื่องหนึ่งที่นึกถึงก็คือการศึกษาของยุคนี้ พร้อมๆ กับนึกไปพร้อมๆ กับบันทึกของคุณปริมนะ เรื่องราวของอาจารย์ประมวล น่ะครับ
ทำไมล่ะ ? ด้วยว่าบันทึกนั้นทำให้ผมนึกถึงว่า หากเราอยากจะเข้าใจความต้องการสูงสุดของมนุษย์ หรือที่สุดของชีวิตผู้คนนี่ เราจะต้องลงทุนค้นหากันมากมายเฉกเช่นอย่างอาจารย์ประมวลทำ กระนั้นเหรอ แล้วมันมีประโยชน์จริงๆ เหรอ อันนี้เป็นคำถามในใจ
เมื่อนึกถึงยุคที่ล้ำสมัยอย่างในวันนี้กับชีวิตผู้คนที่สับสน สะดวก สบาย อะไรก็ออน์ไลน์ไปหมด
ไร้สายไปหมด โลกทั้งโลกเล็กมาก คล้ายๆ กับว่าเราอยู่ใกล้กันมากทั้งๆที่เราอยู่กันคนละฟากโลก จะด้วยอินเตอร์เน็ตหรือเฟสบุ๊กก็ตาม
เมื่อพิจารณาให้ถี่ เรากลับมองเห็นการแก้ปัญหาที่เรียบง่าย ได้เหมือนกันนะ
ในขณะครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นผมเห็นว่า ความเรียบง่ายกับการสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์นั้นสำคัญ เป็นจุดที่สว่างไสว เป็นทางออกของสังคม รวมทั้งด้านการศึกษาด้วย
ตรงนี้กลายเป็นหลักยึด หลักชัยในความเชื่อของผม ซึ่งเชื่อว่าทำให้เดิน ประคองตน ประคองสังคมของไทย ผ่านพ้นยุคนี้ไปได้อย่างสง่างาม
ผมมั่นใจแบบนี้
ผมย้อนกลับไปอ่านบันทึกของคุณปริมอีกครั้งหนึ่งเพื่อนำมาเขียนบันทึกนี้ให้สมบูรณ์ คุณปริมได้เล่าถึง หนังสือเรื่อง การเดินทางสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้ ของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ถ่ายทอดผ่านบันทึก เรื่อง ย่างก้าวสู่การเปลี่ยนผ่าน ของคุณปริม นี่เป็นเรื่องราวต้นทางของผมนะ
เป็นเรื่องราวของการค้นหามนุษยธรรม ของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ซึ่งท่านใช้การเดินทางด้วยการเดินเท้าเพื่อกลับบ้านจากเชียงใหม่ถึงเกาะสมุย โดยไม่ใช้เงินติดตัวเลย ท่านใช้การเดินเพื่อลบความรู้สึกด้านลบที่เกิดขึ้นในใจอันได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลง
การออกเดินทางกลับเกาะสมุยของอาจารย์เกิดขึ้นหลังจากที่ท่านลาออกจากราชการ
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านของช่วงชีวิตคนเรา การเดินของท่านอาจารย์ก็ยังได้เข้าถึง
“ ก้าวแห่งจาคะ เต็มไปด้วยความเบิกบานที่ได้แบ่งปันแม้ในยามที่ไม่แทบจะไม่มีอะไรติดตัวเลย ให้ไม่ว่าจะเพียงเล็กน้อยเท่าใดที่มี การแบ่งปันสิ่งที่ได้รับมาให้คนที่ต้องการมากกว่าเรา
ก้าวแห่งเมตตา เป็นก้าวย่างที่จิตใจผ่องใสเบิกบานที่ได้ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น แม้ผู้อื่นที่ว่านั้นจะเป็นเพียงหมาขี้เรื้อนที่มาอาศัยไออุ่นจากร่างกายในยามดึกก็ตาม
ก้าวแห่งปัญญา เป็นก้าวย่างที่จิตใจผ่องใสเบิกบานที่ได้ตระหนักรู้ถึงชีวิตที่กำลังก้าวสู่ความตายอยู่ทุกช่วงขณะ การทำตัวให้ตายเสียก่อนตายตามคำสอนของท่านพุทธทาส และในยามที่เจ็บป่วยก็ได้ปฏิบัติธรรมดังที่หลวงปู่ดูล อตุโล สอนเอาไว้ว่า "ที่เราปฏิบัติมาทังหมดนี้ก็เพื่อจะนำมาใช้ในขณะนี้ จงปล่อยวางอย่ายึดมั่นถือมั่น" อาจารย์ประมวลสรุปไว้ว่า ความหมายของจาคะ เมตตา และปัญญานี่เองคือมนุษยธรรม ธรรมที่ทำให้ความเป็นมนุษย์เรานั้นงดงามและสมบูรณ์ ”[1]
ทั้งหมดนี้ สร้างความประทับใจแก่ผมอย่างมาก หากเราสามารถที่จะบ่มเพาะเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้เด็กๆ รวมทั้งผู้ปกครองสามารถเข้าใจ พื้นฐานตรงนี้ได้ แบบแจ่มชัด
โดยเฉพาะ หากเด็กของเราซึ่งสามารถปิติเมื่อแบ่งปันให้กันและกันในวันที่เราแทบไม่มีอะไรติดตัวเลย แบ่งปันให้ความสุขแก่คนอื่นได้โดยไม่มองว่าจะได้อะไรตอบแทน รวมทั้งมีความพร้อม รู้เท่าทันความจริงของชีวิตทุกขณะจิตแม้ว่าความตายจะมาเยือน
หากสามารถทำได้ สังคมของเราจะมีการเกื้อหนุนกันด้วยรอยยิ้ม พลอยยินดีเมื่อเห็นคนอื่นมีสุข และเราไม่ตระหนกตกใจเมื่อความแปรปรวนอันน่ากลัว ผ่านเข้ามาหาพวกเรา
การพัฒนาด้านต่างๆ ของประเทศเรา คงสามารถเจริญก้าวหน้าไปได้อย่างราบรื่น เติบโตอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งเพื่อนๆ ในเวทีโลกก็น่าจะรักเราเนื่องจากเราเป็นคนคบได้ สังคมไทยในอนาคตคงทันสมัยมากๆ จากภูมิปัญญาของบ้านเรา นะครับ
อ้างอิง [1]ย่างก้าวสู่การเปลี่ยนผ่าน
http://www.gotoknow.org/blogs/posts/494707
วิธีคิด ที่ดี ทำตัวตาย ==> เสียด่อนตาย
มีวิธีคิดที่คีนะคะ ขอบคุณมาก สำหรับบทความดีดีนี้นะค
สวัสดีครับอาจารย์ ผมก็อ่านแบบเอามาปรับใช้ ไม่ได้ค้นจนถึงแก่น นะครับ ขอบคุณสำหรับกำลังใจ นะครับ :)
จริงๆ การเขียนต้องทำอย่างลึก แต่ผมคงไปไม่ถึง เพราะใจร้อน ก็ว่ากันแค่เปลือก คุณค่าของบันทึกก็แค่เป็นเกลียวเล็กๆ ของการพัฒนานะครับ ต่อไปจะพยายามเติมให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
สวัสดีค่ะคุณเพชร
มาชื่นชมการวิเคราะห์และความพยายามนำสิ่งที่ได้อ่านไปปรับใช้ในครอบครัวค่ะ เป็นความโชคดีของครอบครัวคุณเพชรที่มีหัวหน้าครอบครัวที่ใส่ใจและคิดหาหนทางพัฒนาเพิ่มความมั่นคงทั้งทางด้านความรู้ และจิตวิญญาณให้ลูกๆ
ประสบการณ์จากผู้รู้และผู้ปฏิบัติมาก่อนจะช่วยร่นเวลาการทดลอง การหาความรู้ให้เราไม่ต้องไปซ้ำรอยเดิม หากนำไปปฏิบัติก็จะเกิดผลเร็วขึ้นค่ะ
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ได้เขียนคำนำไว้ในหนังสือที่อ้างถึงว่า...
"อาจารย์ประมวลเป็นได้อย่างมากแค่แบบอย่างและผู้ให้กำลังใจ ถึงที่สุดแล้วการเดินทางเพื่อค้นหาความเป็นมนุษย์ที่แท้เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ทุกคนต้องทำด้วยตนเอง เส้นทางนั้นมีอยู่แล้ว จุดหมายก็รออยู่แล้ว ยังขาดแต่ผู้เดินเท่านั้น"
ขอให้สมดังตั้งใจค่ะ