ในการเรียนรู้เรื่องการเจริญเติบโตของพืช แน่นอนว่าเด็กๆ จะต้องลงมือปลูกพืชกัน แต่เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องที่อยู่ของเมล็ดด้วย คุณครูแคท – คัทลียา รัตนวงศ์ กับ คุณครูต้อง - นฤตยา ถาวรพรหม จึงคิดกันว่าโจทย์จะต้องเริ่มจากการให้เด็กๆ นำเมล็ดพืชมาจากบ้านคนละอย่างน้อย ๒ เมล็ดโดยห้ามซื้อมา
หลังจากที่จดการบ้านขึ้นบนกระดาน เซน ๒/๓ พูดขึ้นมาว่า “อ๋อ หนูรู้แล้ว หนูก็กินแตงโม แล้วก็เก็บเมล็ดนั้นมา ง่ายนิดเดียว” จากเงื่อนไขง่ายๆ ที่ครูตั้งไว้นี้ ทำให้เด็กได้ค้นพบด้วยตัวเองว่า เมล็ดพืชบางชนิดนั้นอยู่ในผล และบางชนิดก็อยู่ในดอก
ในห้องเรียนเด็กๆ จะทำความรู้จักกับเมล็ดพืชที่พวกเขานำมาด้วยการสังเกตอย่างละเอียด พร้อมทั้งวาดรูปร่างของเมล็ดที่สังเกตได้ และเมื่อสังเกตลักษณะภายนอกแล้ว ครูก็จะผ่าเมล็ดให้ได้สังเกตลักษณะภายในของเมล็ดชนิดต่างๆ ด้วย บางเมล็ดมีต้นอ่อนสีเขียวเล็กๆ ซ่อนอยู่ข้างในด้วย ซึ่งทำให้พวกเขาเข้าใจได้ว่าต่อไปส่วนสีเขียวที่เห็นนั่นแหละที่จะโตขึ้นมาเป็น “เพื่อนสีเขียว”
อีกเมล็ดที่เหลือเด็กๆ จะได้นำลงไปปลูกลงในกระถางที่เขาตกแต่งเอาไว้แล้วอย่างสวยงาม เพื่อจะได้รู้ว่าเพื่อนสีเขียวของเมล็ดเหล่านั้นจะมีรูปร่างอย่างไร นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้เรื่องของการเจริญเติบโตของพืช และยังได้ฝึกความรับผิดชอบในการดูแลต้นอ่อนของพืชด้วย
เมื่อแรงบันดาลใจจากห้องเรียน บวกรวมเข้ากับความอยากรู้อยากเห็นว่าพืชของตนจะมีรูปร่างอย่างไรส่งผลให้เด็กๆ เฝ้าดูต้นไม้ในกระถางของตนเองและของเพื่อนๆ อย่างจดจ่อผ่านไป ๓-๔ วัน ต้นไม้ในกระถางของบางคนเริ่มงอกออกมา ทำให้เพื่อนคนอื่นๆ พากันตื่นเต้นไปด้วย
จินนี่ ทำการทดลองตามความเข้าใจของตนเองว่า การรดน้ำด้วยน้ำเย็นจะทำให้พืชงอกออกมาและโตเร็วกว่าของเพื่อนๆ
ข้าวใหม่ สังเกตเห็นบางกระถางที่ยังไม่ได้รดน้ำก็รดให้เพื่อนด้วย และเมื่อเห็นของเพื่อนโตก็ยิ่งดีใจ
กุ๊ดจี่ ไม่สนใจจะปลูกต้นไม้เลยจนครูต้องตามหาเจ้าของว่าใครวางกระถางทิ้งไว้ จึงทราบว่าเป็นของกุ๊ดจี่ แต่พอได้ลงมือปลูกแล้วกุ๊ดจี่ก็ดูแลมันอย่างดี แล้ววันหนึ่ง กุ๊ดจี่ก็เดินมาบอกครูแคทว่า “ครูแคท หนูมีข่าวดีมาบอก ต้นไม้หนูงอกแล้วค่ะ” แล้วยังพาครูแคทไปดูด้วย
เด็ก ๆ ได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติว่าการที่ว่าพืชจะอยู่รอดหรือตายไปนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง ส่วนเด็กบางคนที่พบกับความล้มเหลว เมื่อเรานำเรื่องนี้กลับมาแลกเปลี่ยนกันในชั้นเรียนเขาก็จะได้เรียนรู้ว่าเมื่อขาดความเอาใจใส่ ผลจะเป็นอย่างไร และเขาก็ได้เรียนรู้จากความสำเร็จของเพื่อน ๆ ด้วยว่า แล้วเขาจะแก้ไขความผิดพลาดนี้อย่างไรหากมีโอกาสได้ปลูกพืชอีกครั้ง
เมื่อพ้นจากชั่วโมงเรียนไปแล้ว เด็กๆ ก็ยังมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างไม่เป็นทางการ เรื่องต้นไม้ของพวกเขา ทั้งในช่วงเวลาพักทานอาหารว่าง และตอนพักทานอาหารกลางวัน
จากการทำกิจกรรมนี้ครูได้พบว่าเพียงครูสร้างแรงบันดาลใจ และหยิบยกเอาความสำเร็จที่มีขึ้นให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ ครูก็จะไม่ต้องสร้างเครื่องมือ และกลไกต่างๆ มาควบคุมผลลัพธ์ เช่น การทำตารางบันทึกว่าแต่ละวันใครมารดน้ำต้นไม้บ้าง หรือจัดให้มีหัวหน้ากลุ่มมาดูแลต้นไม้ เป็นต้น
ซึ่งเบื้องหลังความคิดก็คือการพยายามจับผิด และการควบคุม ซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดจากแรงพลังที่เป็นลบ แต่การเริ่มต้นด้วยฉันทะและแรงบันดาลใจ เกิดจากแรงพลังที่เป็นบวก ด้วยการนำเอาความสำเร็จที่เกิดขึ้นจริงมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้
.......................................................
ข้อค้นพบของครูแคท ทำให้ดิฉันนึกไปถึงกระบวนทัศน์ของการมองหาข้อบกพร่องเพื่อนำไปสู่การแก้ไข กับ พลังของความชื่นชมยินดี ที่ผลักดันให้เกิดการสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต http://www.gotoknow.org/blogs/posts/43188 พูดถึงศิลปะและ AI ไปด้วยกัน ที่เคยบันทึกเอาไว้เมื่อ ๖ ปีก่อน เมื่อครั้งยังเป็นอินเทอร์นอยู่ที่ สคส. ซึ่งเป็นตอนที่เพิ่งได้รู้จักกับ AI – Appreciative Inquiry ภาคทฤษฎีเป็นครั้งแรก จากบทความเรื่อง From Deficit Discourse to Vocabularies of Hope : The Power of Appreciation ของ James D. Ludema
๖ ปีผ่านไป มีคุณครูหลายคนในโรงเรียนเพลินพัฒนาสามารถหยิบเอา AI มาใช้เป็นพลังขับเคลื่อนการเรียนรู้ทั้งของครูและเด็กได้อย่างน่าชื่นใจ
การสร้างให้เกิดการพัฒนา การสร้างแรงจูง ==> เด็กนักเรียน มีความสุข + เกิดการพัฒนา ทั้งกระบวนการ การเรียนการสอนนะคะ
ขอบคุณมาก สำหรับบทความดีดีนี้นะคะ
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านบันทึกนี้
ขอมาเรียนรู้ด้วยคนนะคะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ