เรื่องเล่าจากบ้านแม่ตาด :
น้องเพียงพอ ตอนอายุได้ 2 วัน
(๘) ลูกรักของพ่อ
เมื่อตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน ภรรยาของผมได้ทำเรื่องลาคลอด และเดินทางขึ้นไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่(รพ.สวนดอก) เพราะอยู่ใกล้บ้านเกิด แม่และญาติพี่น้องจะได้ช่วยดูแลได้สะดวก
พอครบ 9 เดือน หมอนัดกำหนดคลอดในวันที่ 21 พ.ค.2548 ผมเดินทางจากกรุงเทพฯ แล้วพาภรรยาไปหาหมอตามนัด โดยหมอบอกว่าคงต้องรออีก 2-3 วัน ถึงจะครบกำหนดคลอดจริงๆ หลังจากหมอตรวจเสร็จแล้ว ผมก็พาภรรยากลับไปพักที่บ้าน และคอยประคบประหงมเอาใจใส่เธออย่างดี
วันที่ 24 พ.ค.2548 ....ภรรยาของผมรู้สึกปวดท้องเล็กน้อย และลูกในครรภ์ก็เริ่มดิ้นแรงขึ้น ผมเลยพาไปหาหมออีกครั้ง พอหมอตรวจแล้ว ก็ให้กลับไปพักที่บ้านอีก แล้วให้รอดูอาการดีๆ ถ้าหากมีอาการปวดท้องขึ้นอีก คราวนี้รับรองว่าถึงเวลาคลอดจริงอย่างแน่นอน
ช่วงนั้น ผมลองคิดอะไรเล่นๆ ไปเรื่อยเปื่อย อีกไม่กี่วันก็จะครบรอบ 3 ปีของการแต่งงานแล้วด้วย
เอ! หรือว่าลูกสาวของผมคนนี้เขาอยากจะเกิดในวันครบรอบการแต่งงานของพ่อกับแม่หรือเปล่า?
ผมลองนำข้อสันนิษฐานนี้ไปเล่าให้ภรรยาฟัง ซึ่งเธอก็บอกว่าคงไม่ใช่อย่างนั้นหรอก มันคงไม่บังเอิญมากขนาดนั้นหรอกกระมัง
แม้ว่าภรรยาของผมจะไม่เชื่อเรื่องนี้ หากแต่ผมกลับค่อนข้างมีความเชื่อมั่นอย่างมากว่าลูกสาวคนนี้จะต้องคลอดในวันที่ 27 พ.ค.2548 ซึ่งเป็นวันครบรอบการแต่งงานของผมกับภรรยาอย่างแน่นอน เพราะว่าผมสามารถรับรู้สัญญาณอะไรบางอย่างได้
หลังจากที่นั่งลุ้นนอนลุ้นและรอคอยกันมานาน ในที่สุดเมื่อถึงเวลาตี 5 ของวันที่ 27 พ.ค.2548 ภรรยาของผมก็รู้สึกปวดท้องอย่างแรง ผมเลยรีบพาเธอไปพบหมอที่ รพ.สวนดอกทันที
เมื่อหมอตรวจเรียบร้อยแล้ว ก็บอกให้ทราบว่าลูกสาวของผมจะคลอดในวันนี้อย่างแน่นอน จากนั้นทีมพยาบาลก็จัดแจงนำภรรยาของผมเข้าไปที่ห้องคลอด โดยมีผมนั่งรออย่างตื่นเต้นสุดขีดอยู่ด้านนอก
ในชีวิตของผม เวลาผมดูการแข่งขันกีฬาต่างๆ ผมเคยลุ้นและเอาใจช่วยนักกีฬามาตลอด เพียงแต่เป็นการลุ้นแบบพอประมาณเท่านั้นเอง
แตกต่างจากการลุ้นและเอาใจช่วยตอนภรรยาคลอดลูก ซึ่งเป็นการลุ้นแบบสุดๆ ไปเลย
ผมนั่งและเดินไม่เป็นสุขเลยจริงๆ มีความรู้สึกตื่นเต้นตลอด อยากเห็นหน้าลูกสาวว่าจะน่ารักขนาดไหนหนอ? และอยากให้ภรรยาปลอดภัยทุกอย่าง
บางครั้งก็รู้สึกงงๆ ว่า เฮ้ย! นี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? ฉันจะเป็นพ่อคนแล้วเหรอเนี่ย? ตื่นเต้นจนบอกไม่ถูกเลยจริงๆ
ประมาณ 5 โมงเย็นของวันนั้น พยาบาลออกมาถามผมว่าอยากจะเข้าไปดูและถ่ายวีดีโอตอนลูกสาวคลอดไหม? ผมบอกไม่ถูกเลย ใจหนึ่งอยากเข้าไป แต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกกลัวเวลาเห็นเลือด สุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจที่จะไม่เข้าไป ขอรออยู่ด้านนอกจะดีกว่า
เวลา 18.20 น. ของวันที่ 27 พ.ค.2548 น้องเพียงพอได้คลอดออกมาลืมตาดูโลก ท่ามกลางความปลื้มใจและสุขใจอย่างที่สุดของผมและภรรยา
โดยตอนคลอดนั้น น้องเพียงพอหนัก 3,820 กรัม ตอนที่ผมไปพบน้องเพียงพอครั้งแรกในห้องเด็กอ่อน ผมรู้สึกดีใจและตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ เป็นช่วงเวลาที่พิเศษและมีความสุขมากจริงๆ ผมรู้สึกตื่นเต้นและใจสั่นไปหมด ดีใจและปลื้มใจจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาให้ได้เลยทีเดียว
ภรรยาของผมใช้เวลาพักฟื้นอยู่ที่ รพ.สวนดอก เป็นเวลา 5 วัน จากนั้นหมอก็ให้กลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ โดยมีผมและญาติๆ คอยดูแลเอาใจใส่อย่างดีที่สุด
ผมมีโอกาสได้อยู่ดูแลภรรยาและลูกน้อยประมาณ 10 วัน จากนั้นก็ต้องเดินทางกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ ต่อ ประมาณ 2 สัปดาห์ถึงจะมีโอกาสได้เดินทางขึ้นมาเยี่ยมอีกครั้ง
เมื่อครบกำหนดลาคลอด 3 เดือนแล้ว ภรรยาผมก็นำลูกน้อยเดินทางลงไปอยู่ที่จังหวัดสระแก้วอีกครั้ง เพื่อทำหน้าที่สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว โดยแม่ยายของผมได้เดินทางไปช่วยเลี้ยงหลานให้ด้วย ซึ่งช่วงนั้นผมมีโอกาสได้เดินทางไปเยี่ยมและอยู่ดูแลลูกสาวทุกอาทิตย์เลย
(๙) นกป่าคืนถิ่น
ภายหลังจากภรรยาของผมใช้เวลาทำงานใช้ทุนอยู่ที่มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว ครบ 4 ปี เธอก็ได้ขึ้นไปสมัครงานใหม่ที่จังหวัดเชียงใหม่ พอเธอสอบเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ได้แล้ว เธอก็ลาออกจากมหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว แล้วย้ายกลับไปอยู่ที่อำเภอสันกำแพงบ้านเกิด และได้เข้าไปทำหน้าที่สอนหนังสืออยู่ที่ภาควิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
ช่วงนั้น ผมต้องขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เดือนละ 2 ครั้ง เพื่อมาเยี่ยมภรรยาและลูกสาว ซึ่งการเดินทางในแต่ละครั้งนั้น หมดค่าใช้จ่ายไปมากพอสมควร จนผมแทบจะไม่มีเงินเก็บเหลืออยู่เลย
บางช่วง....ผมมีงานค่อนข้างเยอะ ประมาณ 2 เดือนถึงจะได้ขึ้นมาเยี่ยมลูกสาวที่เชียงใหม่สักครั้งหนึ่ง ซึ่งเวลามาถึงบ้าน น้องเพียงพอเธอก็จะจำหน้าไม่ค่อยได้ นึกว่าผมเป็นคนแปลกหน้า เวลาผมเข้าใกล้เธอ เธอก็จะตกใจกลัวและร้องไห้กระจองอแง จนผมรู้สึกหดหู่และสะเทือนใจเป็นอย่างมาก
ผมคิดตรึกตรองอยู่ในใจเป็นเวลานานว่า ชีวิตของผมควรจะไปทางไหนดี? ระหว่างงานกับครอบครัว ผมควรจะเลือกอะไรดี? อะไรคือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดในชีวิต?
ตอนที่ผมทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ นั้น แม้ว่าเงินเดือนและรายได้จะเยอะก็จริง หากแต่ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนก็มากมายมหาศาล จนผมแทบจะไม่มีเงินเก็บเหลืออยู่เลย ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทุกประเภท และพยายามประหยัดอย่างที่สุดแล้ว
เมื่อทุกอย่างบีบคั้นอย่างหนัก ในที่สุดผมก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าผมจะขอลาออกจากงานที่ผมทำอยู่ และขอกลับขึ้นไปอยู่เชียงใหม่กับภรรยาและลูกน้อย เพื่อร่วมกันสร้างครอบครัวให้มีความสุขและอบอุ่นตามที่หัวใจของผมปรารถนาเสมอมา แม้ว่ามันอาจจะทำให้ผมมีรายได้น้อยลงกว่าเดิมมาก หากแต่ว่าความสุขและความอบอุ่นนั้นคงจะมากกว่าที่เป็นอยู่อย่างมากมาย
วันที่ผมยื่นหนังสือลาออก หัวหน้างานของผม ซึ่งรัก ห่วงใย และคอยให้คำแนะนำกับผมอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ทักท้วงแต่อย่างใด เพราะท่านเข้าใจดีถึงความรู้สึกลึกๆ ในใจของผม ในขณะที่เพื่อนร่วมงานเองต่างก็รู้สึกใจหายกับการตัดสินใจของผม ต่างก็อวยพรให้ผมโชคดีและมีความสุขกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เชียงใหม่
วันที่ 31 ธ.ค.2549 เป็นวันสุดท้ายที่ผมเดินทางออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าขึ้นมาอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งนับตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงบัดนี้ เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว ที่ผมไม่เคยเดินทางเข้าไปที่กรุงเทพมหานครอีกเลย
(๑๐) 10 ปี การแต่งงาน และวันเกิดของลูกสาวคนโต
วันพรุ่งนี้(27 พ.ค.2555) จะเป็นวันครบรอบ 10 ปี การแต่งงานและการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันของผมและภรรยา ในขณะเดียวกันก็เป็นวันเกิดครบรอบ 7 ปี ของน้องเพียงพอลูกสาวคนโตของผมด้วย
หนึ่งทศวรรษแห่งการแต่งงานและการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันของผมกับภรรยา นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและความทรงจำที่ยิ่งใหญ่และไม่มีวันสิ้นสุด
ผมกับภรรยาใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความรัก ความเข้าใจ ผูกพัน ห่วงใยกัน ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ภักดี และเชื่อใจกันตลอดเวลา ไม่เคยทะเลาะ ไม่เคยหวดระแวง และไม่เคยมีความหึงหวงใดๆ เป็นความรักที่ตั้งอยู่บนฐานของความเข้าใจกันอย่างแท้จริง
กล่าวกันว่า...."ช่วงเวลา" ของคนเรานั้น สั้น-ยาวไม่เท่ากัน
ในยามที่เรากำลังมีความสุขหรือสุนกสนานอยู่นั้น เวลาจะผ่านพ้นและหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่ในยามที่เรากำลังทุกข์ เศร้า เหงา ตรม หรือหม่นหมองใจนั้น เวลากลับมีความยาวนาน และค่อยๆ ก้าวเดินไปอย่างช้าๆ
การแต่งงานของผมกับภรรยา ดูเหมือนว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วมาก เผลอแป๊บเดียวเอง กลับครบรอบ 10 ปี หรือหนึ่งทศวรรษไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ เพราะว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขนั่นเอง
ในขณะเดียวกัน น้องเพียงพอเองก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเด็กแบเบาะในวันนั้น บัดนี้เธอได้เติบใหญ่เป็นสาวน้อยในวัย 7 ขวบ ผู้สุดแสนน่ารักไปเรียบร้อยแล้วด้วยเช่นกัน
(๑๑) ความโชคดีของผม
ในชีวิตของผมนั้น ที่ผ่านมา หาใช่ว่าจะพบเจอแต่ความโชคร้ายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่หลายๆ อย่างผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีความโชคดีกว่าคนอื่น และเป็นสิ่งที่ผมควรจะรู้สึกภาคภูมิใจ....มิใช่หรือ!
ผมโชคดี.......ที่ผมมีโอกาสได้พบกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเปิดโอกาสให้ผมได้พัฒนาตนเองขึ้นในหลายด้าน
ผมโชคดี.......ที่มีโอกาสได้เดินทางไปใช้ชีวิตตามที่ใจปรารถนาในหลายๆ แห่ง
ผมโชคดี......ที่มีโอกาสได้พบเจอกัลยาณมิตรหรือเพื่อนที่แสนดี ครูอาจารย์ที่มีเมตตาและแสนดี หลายๆ ท่าน
ผมโชคดี......ที่พบว่ามีหลายๆ คนที่รัก และห่วงใยผมตลอดเวลา
ผมโชคดีและภูมิใจ.....ที่ผมได้แต่งงานกับคนที่ผมรักเขาและเขาก็รักผม โดยที่เขาไม่เคยรังเกียจเลยว่าผมเป็นใคร มาจากไหน ซึ่งต่อมาเขาก็ยังทำหน้าที่ของการเป็นภรรยาที่ดีได้อย่างสมบูรณ์แบบ และทำให้ผมมีครอบครัวที่อบอุ่น
ผมโชคดี......ที่มีแม่ยายที่สุดแสนจะใจดี ที่เข้าใจคุณค่าของความรัก และไม่ได้ตีค่าความรักเป็นมูลค่าหรือทรัพย์สินเงินตรา
ผมโชคดี.....ที่มีลูกสาวที่สุดแสนจะน่ารัก ทั้ง 2 คน ซึ่งเป็นดุจดั่งแก้วตาดวงใจของผมและครอบครัว
ผมโชคดี.....ที่ผมเดินทางมาถึงตรงนี้ได้ และเมื่อตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าพบว่าตัวเองยังมีชีวิตและยังคงมีลมหายใจอยู่
ฯลฯ
(๑๒) คำมั่นสัญญา
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมสัญญากับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า........ผมจะเป็นลูกที่ดีของแม่ ทำทุกอย่างให้แม่ได้มีความสุขมากที่สุด
ผมสัญญาว่า......ผมจะเป็นสามีที่ดีของภรรยา เป็นคนที่รักเธอ ห่วงใย และจะเอาใจใส่ดูแลเธอย่างดีที่สุด....จนกว่าผมจะสิ้นลมหายใจ
ผมสัญญาว่า.....ผมจะเป็นพ่อที่ดีของลูกๆ เป็นพ่อที่รักลูกอย่างสุดหัวใจ ผมจะดูแลเอาใจใส่อย่างดีที่สุด เพื่อให้เขามีความอบอุ่น จะส่งเสริมในทุกวิถีทางเพื่อให้เขาเป็นคนดี และเป็นที่รักของทุก ๆคน
ผมสัญญาว่า.....ผมจะเป็นลูกศิษย์ที่ดีของครูอาจารย์ที่ผมเคารพรัก โดยจะเดินตามคำสอนของท่านทุกอย่าง
ผมสัญญาว่า.....ผมจะเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับทุกๆ คน และผมจะระลึกถึงพวกเขาอยู่เสมอในทุก ๆเวลา
ผมสัญญาว่า.....ผมจะเป็นคนดีของสังคม จะอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อทำงานช่วยเหลือหมู่บ้านและชุมชนที่ผมอยู่ให้มีความน่าอยู่มากยิ่งๆ ขึ้น เท่าที่จะสามารถทำได้
(๑๓) บทส่งท้าย
เมื่อผมเขียนมาถึงตรงนี้..... ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งอยู่ใน Time Machine ที่กำลังเดินทางย้อนเวลากลับไปค้นหาความทรงจำแห่งอดีตกาลที่ผ่านพ้นมา
บนเส้นทางที่ผมย้อนกลับไปทบทวนและค้นหานั้น ผมได้พบทั้งความสุข ความทรงจำที่ดีๆ ความงดงาม ความสวยงาม พบโลกแห่งความฝัน ทุ่งหญ้าที่เขียวขจี ดอกไม้หลากสีสันที่กำลังเบ่งบานงดงาม ท้องฟ้าที่สดใส มิตรภาพ และผู้คนที่หลากหลาย......บางช่วงก็อาจจะเงียบเหงา โศกเศร้า โชคร้าย เจ็บปวดและทุกข์ทนไปบ้าง......แต่นั่นก็เป็นภาพแห่งอดีตที่ผมได้ข้ามพ้นมาแล้ว
สุดท้าย....ผมขอนำข้อความสุดท้ายจากบันทึกเก่าๆ เรื่อง “ที่รัก....อย่าร้องไห้” มาบอกกล่าวกับทุกๆ คนอีกครั้งว่า....
“.......ในยามที่เราเหนื่อยล้า อ่อนแอ หรือมีความทุกข์ สถานที่แห่งแรกที่เราคิดถึงและอยากจะใช้เวลาอยู่ที่นั่นให้มากและนานที่สุด ก็คือ “บ้าน” หรือ “ครอบครัว” ของเราเอง
“บ้าน” หรือ “ครอบครัว” จะมีความสุขและอบอุ่นหรือไม่นั้น ก็ย่อมขึ้นอยู่กับตัวของผู้ที่อยู่อาศัยเองว่าต้องการจะให้เป็นไปอย่างไร
หากเราทำตนให้เป็น “เทพบุตร” หรือ “เทพธิดา” อยู่ตลอดเวลา
“บ้าน” หรือ “ครอบครัว” ของเรา ก็จะกลายเป็น “วิมาน”
และ โลกที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็คือ “สรวงสวรรค์”…….”
คุณปู่ประมวล(ท่านอาจารย์ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์) กับคุณย่าสมปอง เพ็งจันทร์ มาเยี่ยมหลานสาวที่ รพ.สวนดอก(พ.ค.2548)
น้องเพียงพอตอน 6 เดือน
น้องเพียงพอ ตอน 4 เดือน
น้องเพียงพอ ตอน 2 เดือน
น้องเพียงพอ ตอน 6 เดือน
น้องเพียงพอ ตอน 3 ขวบ
น้องเพียงพอ ตอน 4 ขวบ
น้องเพียงพอ ตอน 5 ขวบ
น้องเพียงพอ ตอน 7 ขวบ
เป็นตัวแทนแสดงความขอบคุณครู ตอนเรียนจบชั้นอนุบาล 3
คุณแม่กับลูกสาว
ถ่ายรูปร่วมกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เพลง "ฉันดีใจที่มีเธอ"
ศิลปิน
"บอย
โกสิยพงษ์"
ร้องโดย
"วาระ
มีชูธน"
ตามติด... ติดตาม... ชื่นชม...
"คู่ขวัญ...สรรค์สร้าง
ครอบครัว...ตัวอย่าง" ค่ะ :)
ขอให้มีความสุขตลอดไปค่ะ
ตามอ่านครบสี่ตอนอย่างชื่นชมครับ :-)
เรียน อาจารย์พี่ครับ
-อวยพรล่วงหน้าอีก 1 วัน...สุขสันต์วันครบรอบการแต่งงานนะครับ...และสุขสันต์วันเกิดน้องเพียงพอด้วยครับ
-พี่เก็บบันทึกการคลอดของน้องเพียงพอได้ละเอียด...โตขึ้นถ้าน้องมาอ่านคงต้องขอบคุณบันทึกประวัติศาสตร์นี้ครับ
-ถ้ามีมีน้องอีก...ตอนเขาให้พ่อลาคลอดได้ 1 เดือน แล้วนะครับ
-ขอให้คำมั่นสัญญาเป็นจริงทุกข้อนะครับ
มีความสุขและอบอวลด้วยความรักเมื่อได้อ่านบันทึกตั้งแต่ตอนที่ 1 จนครบ 4 ตอนครับ
สวัสดีครับ คุณ Tawandin
ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับกำลังใจที่มอบให้ และกรุณาติดตามอ่านจนจบ
สวัสดีครับ คุณครู krusorn
*ผมรู้สึกดีใจและปลื้มใจจังเลยครับ ที่ได้ทราบว่างานเขียนของผมชิ้นนี้ได้ทำให้ผู้อ่านหลายๆ ท่านมีความสุขและเบิกบานใจตามไปด้วย
** หากลูกชายของคุณครูจะทำสัญญาอย่างที่ผมทำบ้าง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากเลยทีเดียวนะครับ
*** ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่กรุณาติดตามอ่านต่อจนจบ
สวัสดีครับ คุณ นงนาท สนธิสุวรรณ
ขอบคุณมากๆ เลยครับ สำหรับกำลังใจและดอกไม้สวยๆ ที่มอบให้
สวัสดีครับ อาจารย์ ดร. ธวัชชัย ปิยะวัฒน์
ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่อาจารย์กรุณาติดตามอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ
ขอบคุณมากจริงๆ ครับ
สวัสดีครับ คุณหมออดิเรก(ทิมดาบ)
* ขอบคุณมากๆ เลยครับ สำหรับคำอวยพรอันแสนประเสริฐ เนื่องในวาระครบรอบ 10 ปี การแต่งงาน และวันครอบรอบวันเกิดของน้องเพียงพอ
** ตอนนี้น้องเพียงพออ่านหนังสือได้เองแล้วนะครับ ว่างๆ จะให้เขานั่งอ่านเรื่องราวของตัวเอง คงจะทำให้เขาเกิดความรู้สึกภูมิใจไม่น้อยที่ได้เกิดมาเป็นลูกสาวของผม 555
*** ขอบคุณมากๆ ครับ ที่คุณหมอกรุณาติดตามอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ....หวังไว้ว่า สักวันหนึ่ง(ในไม่ช้านี้) ผมคงจะมีโอกาสได้อ่านบันทึกดีๆ และคล้ายๆ กันนี้ของคุณหมอบ้างนะครับ
เราล้วนเติบโตมาจากอดีต อดีต เป็นพลังของวันนี้ชัดเจน ซึ่งบันทึกนี้ ก็ยืนยันเช่นนั้น
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อาจารย์ แผ่นดิน
* เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับกับความเห็นที่อาจารย์ได้กล่าวมาว่า "เราล้วนเติบโตมาจากอดีต อดีต เป็นพลังของวันนี้ชัดเจน"
** ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและนำข้อคิดดีๆ มาฝาก
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านบันทึกนี้ค่ะ
เป็นบันทึกที่อ่านแล้วมีความสุขมากๆ
เต็มไปด้วยรอยยิ้มค่ะ น่าประทับใจจริงๆ
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้นะคะ^
ไม่ได้เข้ามานาน ระลึกถึงเสมอค่ะ
สวัสดีจ๊ะ น้องต้นเฟิร์น
* ดูเหมือนน้องต้นเฟิร์นจะหายหน้าหายตาไปนานเลยนะครับ....ดีใจและยินดีต้อนรับการกลับมาอีกครั้งนะครับ
** ขอบคุณมากๆ ครับ ที่แวะเข้ามาอ่านบันทึกนี้ และรู้สึกดีใจที่บันทึกนี้ทำให้น้องต้นเฟิร์นมีความสุขและรู้สึกประทับใจ
*** ขอให้น้องต้นเฟิร์นมีความสุข และสนุกกับการเรียนตลอดเวลานะครับ
เชื่อว่า สักวัน คงได้ต้อนรับครอบครัว "ศรีดารัตน์ " ที่ป่าติ้ว นะคะ
สวัสดีครับ คุณพี่ ♥อุ้มบุญ♥
* ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับคำอวยพรอันประเสริฐทั้งหมดที่มอบให้กับผมและครอบครัว
** แม้ว่าผมจะคอยเดินตามรอยท่านอาจารย์ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ แต่ก็ยังห่างไกลจากท่านอยู่ประมาณ 700 กม. นะครับ 555
*** โอกาสหน้ารับรองจะแวะเข้าไปแอ่วที่ รพ.ป่าติ้ว แน่นอนครับ....โปรดเตรียมข้าวเหนียวและส้มตำปลาแดกรอไว้ต้อนรับได้เลยครับ 555
ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆที่สร้างรอยยิ้มให้เมื่อได้อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ ดีใจที่สังคมของเรามีพลังดีๆจากครอบครัวนี้มาเติมเต็มอีกครอบครัว และเชื่อว่าครอบครัวนี้จะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้กับอีกหลายๆครอบครัวนะคะ ขอให้พลังแห่งความสุขที่พวกเราคนอ่านได้รับจากบันทึกชุดนี้ ส่งผลให้ครอบครัวคุณอักขณิช มีความสุขกับชีวิตและมีพลังในการทำความดีเพื่อโลกนี้ตลอดไปนะคะ
สวัสดีครับ คุณโอ๋-อโณ
* ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่กรุณาติดตามอ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบ
** หากบันทึกของผมเรื่องนี้จะมีความดีงามอยู่บ้าง ผมก็ขออุทิศความดีงามทั้งหมดเหล่านั้นให้กับครอบครัวของเพื่อนๆ ชาว gtk ทุกครอบครัวนะครับ
*** ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับคำอวยพรอันประเสริฐที่กรุณามอบให้กับผมและครอบครัว
**** ขอให้คุณโอ๋-อโณและครอบครัว มีความสุข สุขภาพแข็งแรง และเบิกบานกายใจอยู่ตลอดเวลานะครับ
ขอบคุณบันทึกดี เต็มไปด้วยความอบอุ่นของชีวิตครอบครัวค่ะ
ในคืนวันที่ห่างไกลบ้าน ยังดีใจที่ได้คุย สอบถามทุกข์สุขกับครอบครัวเกือบทุกคืนหรือเว้นบ้างเมื่อมีภารกิจ
เข้าใจและเต็มสุขไปด้วย
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
สวัสดีครับ อาจารย์ ภูสุภา
* เราจะรู้สึกคิดถึงและรักเมืองไทยมากที่สุด ก็ตอนที่ไปอยู่ต่างประเทศนานๆ แบบนี้แหละนะครับ แต่โชคดีที่สมัยปัจจุบันระบบการสื่อสารต่างๆ มีความทันสมัยและรวดเร็วมาก เลยทำให้มีช่องทางในการติดต่อกับคนทางนี้ได้หลายด้าน ทำให้คลายความคิดถึงบ้านเกิดลงได้เยอะเลยทีเดียว
** ขอเอาใจช่วยให้อาจารย์เรียนจบเร็วๆ นะครับ.....เมืองไทยยังรอคอยการกลับมาเสมอครับ