สรุปการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจ เพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๐ พ.ศ. .... ณ ห้องประชุมป๋วย อึ้งภากรณ์ ชั้น ๗ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง วันจันทร์ที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕
เริ่มประชุม: ๑๔.๐๐ น. ความเป็นมา สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
ตามข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.)
ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. .... ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว
เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการเสนอร่างกฎหมาย
แต่เนื่องจากระยะเวลาในการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวได้ผ่านมานานแล้ว
ดังนั้น
เพื่อให้ร่างกฎหมายดังกล่าวสามารถใช้ได้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจของภาคธุรกิจอย่างแท้จริง
สศค.จึงให้มีการประชุมหารือร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของร่างกฎหมายดังกล่าวอีกครั้งก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
รูปแบบการประชุม
การประชุมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจฯ
ในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมทั้งหน่วยงานจากภาครัฐ ภาคเอกชน
และสมาคมผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ ประมาณ ๘๐ คน โดยช่วงแรก รองผู้อำนวยการ
สศค.ได้กล่าวเปิดการประชุมและแจ้งวัตถุประสงค์ของการเชิญประชุม
และผู้แทน
ก.ล.ต.ได้ดำเนินการกล่าวสรุปข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับธุรกรรมแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
(securitization) เรื่องข้อมูลเชิงปริมาณ ปัญหาอุปสรรค แนวโน้มในอนาคต
และสรุปหลักการ เหตุผลและสาระสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าว และช่วงหลัง
เป็นการระดมความเห็นและสรุปความเห็นของที่ประชุมเพื่อให้ได้ข้อมูล
ซึ่ง สศค.และ
ก.ล.ต.จะนำไปพิจารณาดำเนินการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัตินี้ต่อไปตามลำดับ
สรุปการประชุม
เหตุผลในการแก้ไขพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจนั้นเนื่องจากปัญหาและอุปสรรคในการทำธุรกรรมแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
(securitization) ได้แก่ ปัญหาบทบัญญัติไม่ชัดเจน ปฏิบัติได้ยาก
ขาดบทบัญญัติรองรับการทำธุรกรรมในบางลักษณะ
จึงนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวโดยมีหลักการแก้ไขกฎหมาย
เพื่อให้นิติบุคคลเฉพาะกิจมีอำนาจรับทรัพย์สินไว้เป็นหลักประกันเพื่อประโยชน์ในการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
(Special Purpose Vehicle: SPV)
และเพิ่มเติมให้สามารถจัดตั้งในรูปแบบทรัสต์ได้
อันจะทำให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินการ
รวมทั้งสอดคล้องและเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาธุรกรรมแปลงทรัพย์สินเป็นหลักทรัพย์
ประเด็นสำคัญที่มีการแก้ไขพระราชกำหนด ๑. รองรับการทำ securitization
ในรูปแบบต่างๆได้มากขึ้น ๒.
แก้ไขเพิ่มเติมบทยกเว้นเรื่องการเพิกถอนการฉ้อฉลสำหรับกรณีการโอนทรัพย์สินจากผู้จำหน่ายสินทรัพย์
(Originator) ไปยัง SPV ที่มีค่าตอบแทนต่ำ แต่เป็นไปเพื่อ credit
enhancement ๓. ยกเลิกการกำหนดให้ SPV
สามารถเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความ/เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
กรณีที่ทรัพย์สินเป็นสิทธิเรียกร้องที่เป็นคดีความในศาล
๔. กำหนดให้ SPV
สามารถเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความ/เจ้าหนี้ตามคำพิพากษากรณีที่สินทรัพย์เป็นสิทธิเรียกร้องที่เป็นคดีความในศาล
๕. กำหนดให้ Originator
สามารถเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความ/เจ้าหนี้ตามคำพิพาษา
กรณีที่มีทรัพย์สินที่โอนกลับคืนเป็นสิทธิเรียกร้องที่เป็นคดีในศาล/อยู่ระหว่างบังคับคดี
๖. กำหนดให้คณะกรรมการ
ก.ล.ต.สามารถกำหนดวิธีการบอกกล่าวการโอนนอกจากวิธีการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
กรณีที่มีการเปลี่ยนตัว Servicing Agent ๗. เพิ่มเติมให้ SPV
ที่สถานะความเป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจสิ้นสุดลงเพราะได้มีการชำระหนี้ครบถ้วนแล้วยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ตามพระราชกำหนด
กรณีที่ต้องโอนทรัพย์สินกลับคืน Originator ๘.
ยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอน underlying asset ๙. เพิ่มการกำกับดูแลการทำ
re-securitization ประเด็นข้อจำกัดของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
พระราชบัญญัติล้มละลายซึ่งกำหนดให้การโอนทรัพย์สินที่ดำเนินการภายในระยะเวลา
๑ ปีก่อนล้มละลายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นการโอนโดยมีเจตนาฉ้อฉล
บทบัญญัติเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องและการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซึ่งไม่รองรับการ securitize asset บางประเภท เช่น Future Receivable
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ยังไม่ชัดเจนเนื่องจากยังไม่ถือเป็น”ทรัพย์สิน”
รวมไปถึงเรื่อง NPL
ที่อยู่ระหว่างการฟ้องคดีเพื่อสร้างหลักให้โอนหนี้ที่เป็นคดีความกันได้
ดังนั้น
การแก้ไขพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อลดอุปสรรคด้านกฎหมาย
ลดต้นทุนของธุรกรรม วางหลักพิเศษเกี่ยวกับ bankruptcy remoteness
และรองรับสิทธิพิเศษของ bond holder ในการนี้ โดยภาพรวม
ที่ประชุมทั้งหน่วยงานจากภาครัฐและภาคเอกชนเห็นด้วยกับในแนวทางในการแก้ไขพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจโดยเสนอให้เพิ่มความแน่นอนชัดเจนและรัดกุมยิ่งขึ้นตามประเด็นอภิปราย
ประเด็นอภิปราย ความจำเป็นในการแก้ไขกฎหมาย
ผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม (นายสมบัติ พฤฒิพงศภัค)
เนื่องจากกฎหมายพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจนั้นมีที่มาในการออกกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปีพ.ศ.
๒๕๔๐
แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาเป็นระยะเวลานานแล้วธุรกรรมบางอย่างหรือปัญหาและอุปสรรคในทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริงนั้นหากแก้ไขกฎหมายส่วนนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้หรือไม่
และมีความจำเป็นหรือไม่ ผู้แทนสภาพัฒนาเศรษฐกิจและความั่นคงแห่งชาติ
เห็นด้วยกับการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ อย่างไรก็ตาม
ได้เน้นย้ำว่าควรให้รัดกุมและครอบคลุมมากขึ้น
ผู้แทนสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย
การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวไม่มีผลต่อการแก้ไขปัญหาและลดอุปสรรคในส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัย
และภาคเอกชนต้องการความแน่นอนและความมั่งคงทางการเงิน และการ
Securitization
ต้องพิจารณาด้วยว่าธนาคารต้องการดำเนินการดังกล่าวหรือไม่
หากธนาคารไม่ยอมรับก็ไม่มีความจำเป็น
คำนิยาม ผู้แทนสมาคมตราสารหนี้ไทย นิยามคำว่า “สินทรัพย์”ตามมาตรา ๓
หากกำหนดคำนิยามเช่นนี้
“รถยนต์”ซึ่งเป็นหลักประกันย่อมไม่อยู่นิยามคำว่าสินทรัพย์
อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาในทางปฏิบัติ
ความรับผิดทางอาญาของกรรมการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลซึ่งต้องรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคล
ผู้แทนสำนักงานกิจการยุติธรรม มาตรา ๓๕ และมาตรา ๓๗
ตอนท้ายที่มีการเพิ่มบทบัญญัติ
“เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น”
เป็นการสันนิษฐานความผิดของกรรมการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลซึ่งต้องรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคล
ซึ่งเป็นผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญาโดยอาศัยสถานะของนิติบุคคลเป็นเงื่อนไขโดยไม่ปรากฏว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยได้กระทำการหรือมีเจตนาประการใดเกี่ยวกับความผิดนั้น
ซึ่งขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญซึ่งสันนิษฐานว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาเป็นผู้บริสุทธิ์
(Presumption of Innocence) ทั้งนี้
ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยไว้ด้วยแล้วตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่
๑๒/๒๕๕๕
ปิดประชุม: ๑๕.๔๕ น.
อัจฉรีย์ ศุภวรรธนะกุล: สรุป/รายงาน อัครพงษ์ เวชยานนท์: ผู้ชี้แจง