ครอบครัวที่ 1 ; พ่อ แม่ นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารรอลูกมากินข้าวพร้อมกัน ลูกกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านส่งซองจากโรงเรียนให้แม่ 'เป็นประกาศผลสอบของโรงเรียน'
พออ่านผลสอบปรากฎว่าสอบได้ที่ 2 ทุกคนในบ้านเครียดหมดเลยครับ "ไอ้ ลูกไม่รักดี พ่อ แม่ อุส่าห์เอาใจทุกอย่างซื้อหนังสือให้ พาไปเรียนพิเศษ พาไปกวดวิชาที่ดังๆ ทำไมยังโง่ยังงี้ แค่สอบให้ได้ที่ 1 แค่นี้ทำไมทำไม่ได้" นั่งด่าลูก!! ข้าวปลาไม่ต้องกิน บรรยากาศในโต๊ะอาหารเครียดมาก..
ครอบครัวที่ 2 ; ข้างบ้านเป็นชั่วคราวของคนงานก่อสร้าง พอเปิดซองผลการสอบของลูก เฮกันลั่นบ้านเลยครับ ปรบมือดีใจหัวเราะกันสนั่นหวั่นไหว..
"ลูกคุณสอบได้ที่ 1 หรือครับ ถึงได้ดีใจกันขนาดนี้?"
"เปล่าหรอกครับ"
"อ้าว! แล้วได้ที่เท่าไรล่ะ?"
"ได้ที่ 29 ครับ"
"สอบได้ที่ 29 ทำไมถึงต้องดีใจกันขนาดนี้ล่ะ!!"
"อ๋อ..ปกติมันสอบได้ที่ 30 ครับ.."
ความแตกต่างทางด้านความคิด นี่คือคนที่คิดเป็นกับคนที่คิดไม่เป็น
คนหนึ่งทั้งชั้นเขาแพ้แค่คนเดียว เครียดแทบตาย! ส่วนอีกคนทั้งชั้นเขาชนะแค่คนเดียว ดีใจกันทั้งบ้าน
ตอนท้ายเรื่องนี้ นพ.พงษ์ศักดิ์ ท่านยังได้เปรียบเปรยครอบครัวทั้ง 2 ว่า
ครอบครัวที่ 1 'คิดในแง่ลบ'
คิดเรื่องแพ้ แพ้คนเดียว แต่ชนะ 28 คน เครียด
ครอบครัวที่ 2 'คิดในแง่บวก'
คิดเรื่องชนะ ชนะแค่คนเดียว แต่แพ้ 28 คน มีความสุข
จะเห็นได้ว่า การเลี้ยงดูของพ่อแม่ จะเป็นเหตุสำคัญที่จะทำให้เด็กเล็กๆ ที่ไร้เดียงสาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ลักษณะใดก็ได้
คุณ แม่นั่งรอลูกสาววัยรุ่นซึ่งไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อน ด้วยความหงุดหงิด กระวนกระวายใจ เป็นห่วงว่าลูกจะเป็นอันตรายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เดินวนเวียนมองดูประตูบ้านตลอดเวลา
พอเที่ยงคืนลูกเปิดประตูบ้านเข้ามา คุณแม่พอเจอหน้าลูกสาวที่กลับมาจากเที่ยวก็พูดด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวใส่ ทันทีว่า “นี่เอ็งรู้ไหม? ทำไมเพิ่งกลับเอามาป่านนี้! แล้วใครมาส่ง? นี่เพิ่งจะเที่ยงคืนเองรีบกลับมาทำไม? ทำไมไม่กลับมาตอนเช้าเลยล่ะ! ตกลงเอ็งจะเรียนหรือจะมีสามีกันแน่?”
คุณแม่รอลูกด้วยความรักและความห่วงใย ลูกไม่กลับบ้าน แม่เหมือนใจจะขาด
แต่คำพูดที่แม่พูดออกไป ไม่สามารถสื่อสารให้ลูกสาวรับรู้ได้เลยว่า ‘คุณแม่รักและห่วงใยลูกสาว?’
ซึ่งคำพูดที่แม่สื่อออกไปนั้น กลับทำให้ลูกสาวเข้าใจผิดตรงกันข้าม
ด้วย ความโมโห! ลูกสาวจึงตอบสวนไปว่า “เรียนไปมีสามีไป มีอะไรรึเปล่า! สนุกดีออก” พูดเสร็จก็ปิดประตูใส่หน้าแม่ดังปัง ทั้งสองคนแม่ลูกแทบไม่เหลือความสุขอยู่เลย ไม่ต้องนอนกันทั้งคู่ มีปัญหากันทั้งคืน เพราะทั้งสองไม่ได้สื่อสารให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบว่า ‘เรารัก เราปรารถนา และห่วงใย’
ลองเปลี่ยนวิธีการพูกสื่อสารกับลูกดูใหม่ครับ
สื่อสาร ให้ตรงกับที่ใจเราคิด ให้ตรงกับความรู้สึกที่มีต่อเขา ดูว่าผลจะแตกต่างกันอย่างไร? พอลูกสาวกลับมาถึงบ้าน ถ้าคุณแม่วิ่งเข้าไปกอด แล้วพูดว่า “กลับมาแล้วหรือลูก แม่ห่วงแทบแย่ หนาวไหม? รีบขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาทานข้าวนะลูก แม่ทำอาหารโปรดไว้ให้ทาน เร็วๆ นะลูกนะ แม่รอ คราวหน้าถ้าลูกจะกลับดึกก็โทรบอกแม่ด้วยนะ แม่จะได้ไม่ห่วงและนอนหลับ”
พอคนฟังจะรู้สึกดีและรับรู้ถึงความรัก ความห่วงใยลูก
ลูกก็จะตอบว่า “กราบขอโทษคุณแม่ค่ะ ที่หนูทำให้แม่ไม่สบายใจ ต่อไปหนูจะไม่กลับดึกอีกแล้ว หนูรักแม่”
แล้วหอมแก้มกันฟอดใหญ่ ก่อนจะวิ่งไปอาบน้ำ
ครอบครัวของเพื่อนรักของผมคนหนึ่งเป็นครอบครัวที่มีพ่อแม่รับราชการระดับสูง ซึ่งพ่อกับแม่ตั้งความคาดหวังกับลูกคนโต(พี่ชายของเพื่อผม)ไว้อย่างเลิศลอย และเด็กชายก็พยายามจะทำทุกอย่างให้พ่อแม่ไม่ให้ผิดหวังในตัวเขา แต่ปรากฏว่า ในครั้งหนึ่งเพียงแค่เขาสอบได้เกรดเฉลี่ยอับดับที่ 2 ในระดับชั้น เด็กชายผู้ไม่เคยทำความผิดหวังให้ใครก็รับกับสภาพพ่ายแพ้นี้ไม่ได้(เขาแพ้ เพียง 1 คน แต่เขาชนะเพื่อนๆในระดับชั้นทั้ง 9 ห้อง อีกตั้ง 1,300 กว่าคน) และเมื่อเด็กชายกลับบ้านในวันทราบเกรดเฉลี่ยวันนั้น เขาก็ตัดสินใจเก็บตัวเงียบในห้องเรื่อยๆ มา
การตั้งความหวังสูงเลิศลอยให้แก่ลูก จึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนต้องระวังให้มาก เพราะถ้ามันไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงแล้ว คนที่ทุกข์ที่สุดก็คือตัวพ่อแม่นั่นเอง