เท่าที่สอนมาพบว่า มีผู้เรียนบางคน สามารถอธิบายที่มาที่ไปของคำที่แปลงรูปจากวิสรรชนีย์ (ะ) มาสู่ไม้หันอากาศ ( - ˜ ) ได้ เช่น
ด.ญ. ฟาอีซะ บองอ บอกเพื่อน ๆ ว่า “ ตอนแรกเริ่มอ่านคำ ฉัน ว่า ฉ หันอากาศ น ฉัน อ่านยากมาก เหนื่อย มันขัด ๆ ลิ้น ฟังแล้วเสียงที่ออกมาไม่ตรงกับคำที่อ่านจริง แต่ภายหลังรู้ว่าจริง ๆ แล้ว คำ ๆ นี้มาจาก ฉะ + ะ + น = ฉัน เวลาอ่านสะกดคำออกเสียงว่า ฉ อะ น ฉัน รู้สึกสบายใจขึ้น เวลาอ่านสะกดคำ ไม่เหนื่อยไม่เข็ดลิ้น และเห็นว่าตัวสระอะ หรือวิสรรชนีย์นั้น ถ้าเขียนคงรูปวิสรรชนีย์ได้จะลำบากในการเขียน อีกทั้งเปลืองเนื้อที่ด้วย เวลาอ่านก็อ่านยาก เช่น “ฉะน น้ะน ชอบ ฝะนทุกคืน บางทีกลางวะนก็นอนฝะน” เพราะอย่างนี้เขาจึงหยิบวิสรรชนีย์ไปวางไว้ข้างบนอักษรนำแล้วเขียนตัวสะกดตาม เช่น แต่พอจะเขียนคำว่า กน ก็ยากอีกเพราะสระกับวรรณยุกต์ซ้อนกัน 3 ชั้น เผลอ ๆ เขียนรีบ ๆ ก็จะเป็น ไปได้ เขาจึงคิดแปลงรูป ะ (วิสรรชนีย์) เป็น - ˜ (ไม้หันอากาศ) แทน ทำให้ง่ายต่อการเขียน แต่ก็เข้าใจได้ว่า “ ไม้หันอากาศก็คือ วิสรรชนีย์แปลงรูปนั่นเอง”
ด.ช. บาฮารี หะยีมานุ บอกเพื่อน ๆ ว่า “ ที่ ฟาอีซะ พูดมานั้นถูกต้องดีแล้ว แต่ขอเพิ่มเติมตามความเข้าใจอีกนิดว่า จากการเขียน ฉะน อย่างนั้น มันเปลืองเนื้อที่ ต้องยก ะ ขึ้นไปไว้บน ฉ เขียนเป็น ฉน พอเขียนอย่างนั้นมันเกะกะ มันไม่สวย ยิ่งถ้าเขียนคำว่า สน นน ขน ชน หรือคำอื่น ๆ ที่มีเสียงและรูปวรรณยุกต์โทด้วยแล้วจะดูรุงรังมาก เขาจึงหั่นวิสรรชนีย์กลางอากาศออกไปหนึ่งตัวเหลือแค่ - ˜เท่านั้น ดังนั้นคำว่า ไม้หันอากาศ น่าจะมาจากคำว่า หั่นกลางอากาศ นั่นเอง และไม้หันอากาศก็คือวิสรรชนีย์นั่นแหละ”
ทั้ง ฟาอีซะ และ บาฮารี เป็นเด็กกลุ่มเรียนเก่ง เขาจึงคิดและจำสิ่งที่เขาเรียนรู้มาเชื่อมโยงเป็นเรื่องราว เล่า ให้เพื่อน ๆ ฟังได้ โดยพูดให้ฟังและเขียนคำประกอบคำบรรยายให้เห็นภาพได้อย่างดีแต่มะซอพลี ซึ่งเป็นเด็กอยู่ในกลุ่มเรียนค่อนข้างอ่อนได้ผ่านการเล่าให้ฟังจากครู จากเพื่อน มะซอพลีซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มก็ออกมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังได้ว่า “ฉัน นั้น แต่เดิมเขียนว่า ฉะน อ่านว่า ฉัน เวลาอ่าน ฉอ อะ นอ ฉัน ถ้าเขียนอย่างคำอ่านนั้นมันยาว และยาก เขาจึงยก ะ ไปวางไว้บนหัว ฉ ฉ บ่นว่าหนักเพราะ ะ มันซ้อนกัน 2 ตัว คือ ฉ วิสรรชนีย์ หรือ ะ เห็นใจ ฉ จึงแปลงร่างลงให้เป็น - ˜ ตั้งแต่นั้นมา ฉัน จึงเขียนอย่างนี้ คำอื่น ๆ เช่น กอ อะ นอ กัน วอ อะ นอ วัน ดอ อะ งอ ดัง พอ อะ งอ พัง ก็แปลงร่างด้วย นั่นคือ ไม้หันอากาศก็คือวิสรรชนีย์แปลงร่างนั่นเอง”
จะเห็นได้ว่า ผู้เรียนทั้ง 3 คน เล่าเรื่องวิสรรชนีย์แปลงรูป ด้วยเรื่องเล่าที่ต่างกัน แต่ปลายทาง เดียวกัน นั่นคือต้องการให้เพื่อนรู้ว่า ไม้หันอากาศมาจากวิสรรชนีย์แปลงรูป
ตรงนี้จะเห็นได้ว่า ระดับการซึมซับตัวรู้ของผู้เรียนต่างกัน เรื่องเล่าจากครูผู้สอนที่เล่าให้ผู้เรียนฟังต่างกัน แม้จะเรียนเรื่องเดียวกัน แต่เมื่อนำสอน เด็กต่างกลุ่มระดับการเรียน ลีลา การถ่ายทอดของผู้สอนก็ย่อมต่างกัน แต่เนื้อหาหรือสาระของเรื่องยังคงเดิม
สาระของการจัดการเรียนการสอนเรื่องนี้ ครูผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนจับหลักของเรื่องแล้วสรุปเป็นความเข้าใจของตนเองได้ด้วยตนเอง จะเห็นได้ว่า ไม้หันอากาศก็คือวิสรรชนีย์ที่แปลงรูป” แต่ วิธีการ เข้าถึงเรื่องนั้นต่างกัน การจัดการเรียนการสอนอย่างนี้แหละที่เรียกว่า จัดการศึกษาแบบสนองความแตกต่างของผู้เรียน ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาหรือจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สนองเงื่อนไขของผู้เรียน ( Responsive Teaching Models ) นี่คือการจัดการเรียนรู้แบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ในกรณีที่กล่าวว่า “ผู้เรียนพัฒนาผู้สอน” นั้น ในการสอนเรื่องนี้ (วิสรรชนีย์) ปรากฏผลชัดเจนคือ ซุลฟา กับซุลกิบพลี และ มะปาตะ เด็กทั้ง 3 คนนี้เรียนช้ามาก ๆ เวลาสอนอ่าน ฉอ อะ นอ ฉัน ทั้ง 3 คนอ่านยาก ลิ้นแข็ง ๆ เสียงที่เปล่งออกมาแข็ง ๆ ตะกุกตะกัก สอนเสร็จลืม เป็นอยู่อย่างนี้หลายวัน จึงลองคิดวิธีสอนขึ้นมา เพื่อทดลองสอนเด็กน้อยทั้ง 3 คน ดังนี้
แนะให้ดูว่า อะ + น อ่านว่า อัน ดังนั้น ฉอ + อะ + นอ อ่านใหม่ว่า ฉอ อัน ฉัน สังเกตดู เด็กทั้ง 3 คนอ่านได้ ลิ้นไม่แข็งนัก พอฝึกให้อ่าน วอ-อัน วัน ทอ – อัน ทัน ปอ-อัน ปัน ดูเด็ก ๆ อ่านคล่องขึ้น เมื่อให้อ่านคำอื่น ๆ เขาก็พอจะอ่านได้ วันต่อมา เรียกมาอ่าน เริ่มอ่านนำคำแรก ทั้ง 3 คนก็อ่านได้ คำอื่น ๆ ขัน จัน มัน สัน ตัน เขาอ่านกันเองได้ จึงสรุปว่า นี่เป็นวิธีสอนเฉพาะเด็กกลุ่มนี้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในชั้นเรียนหนึ่ง ๆ หรือห้องเรียนห้องหนึ่ง ๆ มักจะมีผู้เรียนต่างระดับกันทั้งกลุ่มเรียนเก่ง เรียนปานกลาง กลุ่มเรียนอ่อน และกลุ่มเรียนอ่อนมาก เพราะฉะนั้น เรื่องราวสอนหนึ่งเรื่องจะสอนด้วยวิธีสอนวิธีเดียวทั้งชั้นไม่ได้ ต้องหาวิธีการสอนให้ตรงกับจริตผู้เรียนรายกลุ่มให้ได้
สำหรับการคิดวิธีสอน ดังที่กล่าวมานี้ ขอคุณครูอย่ากลัวว่าผิด ว่าใช้ไม่ได้เพราะเราคิดเอง เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจงจำไว้เถอะว่า “เรื่องเด็กในห้องเรียนเราใครจะรู้ดีเท่าเรา ใครจะมาเชี่ยวชาญเกินเรา” ลองคิดดู เรานำวิธีการคนอื่นมาสอนนานแล้ว ลองสอนด้วยวิธีการที่เราคิดได้เองบ้างจะดีไหม
เริ่มต้นทำด้วยตนเองจนอยู่ตัว เราก็จะเป็นผู้เชี่ยวชาญของตัวเราเอง
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น