การสอนภาษาไทย มองให้ดี มองให้ลึกแล้วจะเห็นว่าใช่จะเป็นเรื่องง่าย เพราะภาษาไทยนั้นแท้จริงแล้ว ยากตรงที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่ในตัวของภาษาไทยเอง คำแต่ละคำที่ผู้เรียนจะต้องรู้ว่า “มาจากไหน มาได้อย่างไร” เช่น คำว่า ฉัน ถ้ามองเผิน ๆ ก็ไม่มีความซับซ้อนแต่อย่างใด แต่เมื่อผู้เรียนต้องตอบข้อสอบแบบวิเคราะห์คำ ความยากจะเข้ามาทันที ถ้าผู้เรียนไม่รู้ที่มาของคำจำพวกนี้
ความจริงแล้วนั้น ผู้เรียนหลายคนรู้ว่า ฉันคำนี้ รูปคำเดิมมาจาก ฉ+ ะ + น แต่พอถามว่าแล้วเป็น ฉัน ได้อย่างไร หรือฉัน กับ สั้น ต่างกันตรงไหน เหมือนกันตรงไหน ทำไมจึงเป็นแบบนั้นตรงนี้จะมีผู้เรียนน้อยคนที่ตอบได้ “ทำไมจึงเป็นอย่างนี้” นี่คือเรื่องที่ชวนให้คิด
เมื่อคิดว่า “ทำไมจึงเป็นอย่างนี้” ก็ทำให้ต้องย้อนคิดกลับไปถึงคำว่า สระลดรูป สระแปลงรูป หรือ สระเปลี่ยนรูป ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านมาแล้ว แต่ทว่าผู้เรียนเกิดความรู้ในเรื่องนี้แล้วหรือยัง คือ
1. ผู้เรียน มองเห็นภาพ สระที่ลดรูป หรือสระที่แปลงรูปนั้นได้มาก - น้อยเพียงใด
2. ผู้เรียนสามารถ อธิบายความเป็นมาเป็นไปของสระเหล่านั้นได้กระจ่างชัดมาก-น้อยเพียงใด
3. ผู้เรียนสามารถ ยกตัวอย่าง คำเหล่านั้นมาประกอบคำอธิบาย ได้มาก-น้อยเพียงใด
4. ผู้เรียนสามารถแจกแจง ความเหมือนความต่างกันของสระลดรูป สระแปลงรูปได้ชัดเจนมาก –น้อยเพียงใด
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ครูผู้สอนจะต้องเพียรค้นหาคำตอบจากผู้เรียน เพราะคำตอบที่ได้มานั้นแหละ คือการวัดผลประเมินผลที่มาจากความเป็นจริง เพราะวัดและประเมินจากสภาพความเป็นจริง ผลที่ปรากฏจึงย่อมจะสะท้อนความจริงของสภาพความรู้ของผู้เรียนและสภาพการสอนของผู้สอนด้วย นี่คือข้อมูลป้อนกลับที่เป็นวัฏฏะของคำว่า“ผู้สอนพัฒนาผู้เรียน ผู้เรียนพัฒนาผู้สอน”
ถ้าผู้สอนสามารถสอนโดยการแสดงให้ผู้เรียนมองเห็นภาพของคำ ที่ผู้เรียนเรียนรู้ได้จนสามารถตอบคำถามดังกล่าวข้างต้นทั้ง 4 ข้อได้จริง ๆ เชื่อแน่ว่าคำเหล่านั้นจะ ฝัง(แน่นอยู่ใน)ใจผู้เรียน (Unduring Understanding )ได้นานแสนนาน ยิ่งถ้าหากผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนนำคำเหล่านั้นเขียนเป็นเรื่องราวเล่าสู่กันฟังในรูปแบบการเล่าเรื่องและเขียนเป็นหนังสือเล่มเล็กแบบตำราเรียนเขียนด้วยเด็ก ได้แล้ว ผู้เรียนก็จะเกิดความรู้ชนิด“ฝังลึกอยู่ในใจผู้เรียน” ( Deep knowledge ) นั่นคือ ความรู้นั้นจะ ฝังใจผู้เรียนอยู่ตลอดเวลา เมื่อเวลาเห็นคำเขาจะรำลึกภาพที่มาของคำนั้นได้อย่างดี การเรียนอย่างนี้ใช่ไหมที่เรียกว่าการเรียนรู้ที่เกิดจากข้างในใจของผู้เรียน แต่ปัญหามีอยู่ว่าแล้วจะสอนอย่างไรให้ความรู้สามารถเดินเข้าไปฝังลึกอยู่ในใจของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง ตรงนี้สิคือความยากอีกอย่างหนึ่งที่ครูผู้สอนมักจะพบอยู่บ่อย ๆ
ลองไหมลองสนุกกับการสอน ลองเล่นกับการสอน สอนแบบเล่นๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนแบบเล่น ๆ แล้วการเล่นนั้นส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้นมา
เคยคิดกิจกรรมสนุก ๆ ง่าย ๆ นำสอนโดยสมมติว่า.... เรา(หมายถึงผู้เรียน) ไปเที่ยวที่เกาะโบราณกัน บนเกาะนั้นเวลาสื่อสารนิยมใช้การเขียนแทนการพูด เพราะเสียงจะรบกวนสัตว์ที่บนเกาะ ซึ่งมีสัตว์แปลก ๆ อาศัยอยู่มาก (สัตว์แปลก ๆ จะนำสอนช่วงศิลปศึกษา)
เมื่อผู้เรียนไปถึงเกาะอันดับแรกก็ได้รับเอกสารจากผู้คอยต้อนรับ คนละ1 ฉบับ มีใจความว่า
จโอะดหมายถึงผู้พะก
ฉะน ในนามของชาวเกาะยินดีต้อนระบ ผู้มาย่ยม ขอให้อยู่กะนอย่างสบาย ทุกวะนเราจะดตรยม อาหารวะน ละ 3 เวลา ที่อาคารดโอะง หมากพร้าว เมื่อท่านล่เอะน น้ำทะเลหรือท่ยว ชโอะม ป่าเขาแล้ว ชเออญ ไปร่วมระบ ประทานอาหารได้ ถ้าท่านพโอะบ หเอะน งูหรือ สะตว์ต่าง ๆ ขออย่าได้ทำร้าย สะตว์ เหล่า น้ะน มะนจะไม่ทำร้ายใครก่อนลเออย พยง ขแอะง ใจ ดเออน ผ่านไปฉเออย ๆ ก้เอาะ ปลอดภะย ชเออญ ท่ยวให้สบายใจ ถเออด
การพะกนอนน้ะนได้จะดให้พะก บ้าน 1 หละง อยู่กะน 2คโอะน หมอนหนุนอาจจะขแอะงแต่นอนไปจะชินเอง
สำหรับกิจกรรมในการเรียนรู้ครั้งนี้มีง่าย ๆ ดังนี้
1. เมื่อผู้เรียนแต่ละกลุ่มรับเอกสารแล้ว นั่งอ่านเป็นกลุ่ม ๆพร้อมถอดรหัสคำเหล่านั้นเขียนให้เป็นภาษารูปปัจจุบัน นำเสนอให้เพื่อนต่างกลุ่มรับรู้ด้วย
2. การถอดรหัสคำนั้นถ้ากลุ่มใดสามารถอธิบายแจกแจงที่มาที่ไปของคำ ๆ นั้นได้ละเอียดชัดเจน มีการยกตัวอย่างคำอื่น ๆ มาประกอบคำอธิบายด้วยจะมีคะแนนเพิ่มขึ้น
สำหรับจดหมายนั้นพอถอดรหัสแล้วจะได้ความดังนี้
จดหมายถึงผู้พัก
ฉัน ในนามของชาวเกาะยินดีต้อนรับ ผู้มาเยี่ยม ขอให้อยู่กันอย่างสบาย ทุกวันเราจัดเตรียม อาหารวันละ 3 เวลาที่อาคารดงหมากพร้าว เมื่อท่านเล่นน้ำทะเลหรือ เที่ยว ชมป่าเขาแล้ว เชิญ ไปร่วมรับประทานอาหารได้ ถ้าท่านพบ เห็น งูหรือ สัตว์ต่างๆ ขออย่าได้ทำร้าย สัตว์ เหล่านั้น มันจะไม่ทำร้ายใครก่อนเลย เพียง แข็ง ใจ เดิน ผ่านไปเฉย ๆ ก็ ปลอดภัย เชิญ เที่ยวให้สบายใจ เถิด
การพักนอนนั้นได้จัดให้พัก บ้าน 1 หลัง อยู่กัน 2คน หมอนหนุนอาจจะแข็งแต่นอนไปจะชินเอง
เมื่อถอดรหัสคำออกมาเขียนเป็นเอกสารธรรมดาได้แล้ว ผู้เรียนจะต้องนำคำเหล่านั้นมาผลัดกันอธิบายแจกแจงให้เพื่อนร่วมเรียนรู้ เข้าใจ
ตรงนี้จะเห็นได้ว่า ถ้าผู้เรียนคนใดคล่องในการถอดรหัสคำได้ แสดงว่าผู้เรียนคนนั้น สามารถอ่านคำนั้นได้ และเข้าใจเกี่ยวกับคำ ๆ นั้น แต่ทั้งนี้อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่า ผู้เรียนเข้าใจอย่างลึกซึ้งจนกว่าจะได้ฟังการอธิบาย แจกแจงถึงความเป็นมาของคำเหล่านั้น และสามารถยกตัวอย่างคำอื่นมาประกอบการอธิบายได้อย่างหลากหลาย ถ้าผู้เรียนทำได้อย่างนี้ เชื่อได้ว่า เขาเข้าใจเรื่องของคำแบบนั้นอย่างลึกซึ้ง
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น