ชีวิตที่มีในการเรียนรู้ 6
ในการออกแบบการเรียนรู้แบบ Back ward Design นั้น จุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ครูผู้ออกแบบจะเพิกเฉยไม่ได้คือ การแปลง มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น เป็นความคิดแบบความคิดรวบยอด ความสัมพันธ์และหลักการ เพราะตัวนี้จะช่วยทำให้ครูผู้สอนมองเห็นผลการสอนที่จะเกิดแก่ผู้เรียนข้างหน้าได้ชัดเจน
มาตรฐานช่วงชั้นแต่ละมาตรฐานในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นไปในรูปแบบ เนื้อหาสาระที่กำหนดให้ครูต้องนำสอนเรื่องนั้น ๆ โดยตรง เมื่อเป็นอย่างนี้ครูส่วนใหญ่ก็จะใช้วิธีการสอนแบบพึ่งหนังสือแบบฝึกหัดที่สำนักพิมพ์ต่าง ๆ วางขาย ผู้เรียนเรียนรู้แบบอ่านใบความรู้แล้วทำแบบฝึกหัดที่สำนักพิมพ์กำหนดให้ จบแล้วผู้เรียนรู้เนื้อหาของเรื่องที่เรียนเท่าที่กำหนดไว้ในใบความรู้เหล่านั้น และรู้วิธีการเรียนรู้วิธีเดียวคือ “เปิดอ่านหน้านี้แล้วไปตอบอีกหน้าหนึ่ง” ก็เพียงเท่านี้เอง ความรู้ที่ผู้เรียนรู้เป็นความรู้ที่ไม่ใช่ผู้เรียนเป็นผู้สร้างด้วยตัวของผู้เรียนเอง แต่เป็นความรู้ที่ครูป้อนให้ โดยใช้แบบฝึกหัดเป็นสะพาน เป็นวิธีการเรียนที่ง่ายทั้งผู้เรียนและผู้สอน แต่ผลที่ได้รับ ซึ่งเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้คือ เด็กรู้ว่า ผักมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็ยังไม่นิยมรับประทานผัก รู้ว่าอาหารจำพวกแป้งทำให้ร่างกายอ้วนแต่ก็ชอบรับประทานอาหารสำเร็จรูปที่มากไปด้วยแป้งและไขมัน เด็ก ๆ จึงป่วยเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และ โรคเกี่ยวกับหัวใจเพิ่มขึ้น เพราะเด็กเหล่านี้ผ่านการเรียนรู้แบบไม่มีความหมายต่อผู้เรียน ดังนั้น Backward Design จึงได้คิดวิธีการออกแบบการเรียนการสอนแบบให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความหมายโดยผู้สอนต้องกำหนดภาพการสอนให้ชัดว่า เรียนจบหน่วยการเรียนนี้แล้ว ผู้เรียนจะเกิดอะไร อย่างไร แค่ไหน มีอะไรเป็นตัวชี้วัดระดับคุณภาพการประเมิน การเรียนรู้จนเกิดผลการเรียนรู้ได้อย่างนี้ ผู้เรียนจะต้องผจญกับปัญหาใหม่ๆ อยู่บ่อย ๆค่อย ๆ เก็บข้อมูลความรู้มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ สรุปเป็นผลการเรียนรู้ ต้องคิดออกแบบสร้างชิ้นงานแล้วประเมินผลโดยใช้เกณฑ์การวัดประเมินด้วยมิติคุณภาพ (Rubrics) และความรู้ที่ผู้เรียนเรียนรู้ต้องเป็นความรู้ที่ผู้เรียนเป็นผู้สร้างด้วยตัวของผู้เรียนเอง
การออกแบบการเรียนรู้ดังกล่าวนี้ ครูผู้สอนจะต้องกำหนดความรู้แบบความคิดรวบยอด ความรู้แบบความสัมพันธ์และหลักการไว้ล่วงหน้า เพราะความรู้เหล่านี้เมื่อเกิดในตัวผู้เรียนแล้วจะเป็นความรู้ที่ฝังแน่นในตัวผู้เรียน พร้อมกันนี้ครูผู้สอนจะต้องคิดไว้ล่วงหน้าเช่นกันว่า จบหน่วยการเรียนนี้แล้ว ผู้เรียนจะสามารถสร้างผลงานใดให้เห็นได้ว่าตนรู้จริง เมื่อกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ครูผู้สอนสามารถนำความรู้ที่ฝังแน่นไปเขียนเป็นผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และ นำผลงานที่ปรากฏไปเขียนเป็นระดับคุณภาพในการวัดประเมินผล เช่น
มาตรฐานช่วงชั้น ป.1-3 สาระที่ 4 มาตรฐาน พ.4.1 ข้อ 1 “เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมสุขภาพ สิ่งแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี”
ความรู้แบบความคิดรวบยอด นักเรียนเข้าใจว่า “สิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัยของแต่ละคน มีผลต่อสภาพชีวิตของคน ๆ นั้น”
ความรู้แบบหลักการสำคัญ นักเรียนเข้าใจว่า “การอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีผลต่อสุขภาพและชีวิตของคนแต่ละคน”
สาระที่ 4 มาตรฐาน พ 4.1 ข้อ 6 “ทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพด้วยวิธีง่าย ๆ”
ความรู้แบบความคิดรวบยอด : นักเรียนเข้าใจว่า “การทดสอบสมรรถภาพทางกายเป็นประจำช่วยให้มีข้อมูลในการนำมาบำรุงรักษาสุขภาพอีกทางหนึ่ง”
ความรู้แบบหลักการสำคัญ : นักเรียนเข้าใจว่า “วิธีการทดสอบสมรรถภาพทางกายมีหลายวิธีที่เราสามารถนำใช้ได้”
สาระที่ 3 มาตรฐาน ง 3.1 ข้อ 3 “เลือกเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำงานโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม”
ความรู้แบบความคิดรวบยอด : นักเรียนเข้าใจว่า “การกระทำใด ๆ ของเราย่อมมีผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม”
ความรู้แบบหลักการสำคัญ : นักเรียนเข้าใจว่า“การรู้จักเลือกใช้เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำงานของเราจะมีผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมได้”
สาระที่ 5 มาตรฐาน ท 5.1 ข้อ 1 “ใช้หลักการพิจารณาหนังสือ พิจารณาให้เห็นคุณค่าและนำไปใช้ในชีวิตจริง”
ความรู้แบบความคิดรวบยอด : นักเรียนเข้าใจว่า “หนังสือมีอยู่มากมายถ้าเราเลือกอ่านไม่เป็นก็ไม่มีประโยชน์ต่อตนเอง”
ความรู้แบบหลักการ : นักเรียนเข้าใจว่า “การรู้จักหลักการในการพิจารณาคัดเลือกหนังสือมาอ่าน จะช่วยให้เราอ่านหนังสือที่มีประโยชน์ต่อตนเอง”
เมื่อเรานำความรู้แบบความคิดรวบยอดและหลักการมาเขียนเป็นผลการเรียนรู้แล้ว นำมากำหนดกระบวนการเรียนรู้ ๆ นี้ถ้าในมาตรฐานช่วงชั้นระบุไว้ว่า สังเกต จำแนกความแตกต่าง หาลักษณะร่วม ระบุชื่อความคิดรวบยอด ทดสอบและนำใช้ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เข้าใน “กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด” เพื่อง่ายต่อการที่ครูผู้สอนจะเขียน กระบวนการเรียนรู้ จึงขอนำเสนอกระบวนการต่าง ๆ ไว้ในที่นี้ดังนี้
- สังเกต – จำแนกความแตกต่าง – หาลักษณะร่วม – ระบุชื่อความคิดรวบยอด – ทดสอบและนำไปใช้
- สังเกต – วิเคราะห์ วิจารณ์ - สรุป
- กำหนดและวิเคราะห์ปัญหา – สร้างและประเมินทางเลือก – วางแผนกำหนดวิธีการขั้นตอนการแก้ปัญหา – ลงมือแก้ปัญหาตามแผน
– ประเมิน ปรัปรุง สรุปผล
- สังเกต รับรู้ – ทำตามแบบ – ทำโดยไม่มีแบบ – ฝึกให้ชำนาญ – ทำอย่างสร้างสรรค์
1.5. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
- ตั้งปัญหา – ตั้งสมมติฐาน – รวบรวมข้อมูล – วิเคราะห์ข้อมูล - สรุปผล
- กำหนดจุดประสงค์ – วางแผน – ศึกษาค้นคว้าและบันทึกข้อมูล – นำเสนอข้อมูล วิเคราะห์ อภิปราย – สรุปความรู้
- กำหนดจุดประสงค์ – วางแผน – สำรวจบันทึกข้อมูล
- นำเสนอข้อมูล อภิปรายสรุป – สรุปความรู้
- รับรู้ – คิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ – สร้างแนวปฏิบัติเหมาะสม – ลงมือปฏิบัติ – ชื่นชมต่อการปฏิบัติ
- สังเกต ตระหนัก – ประเมินเชิงเหตุผล – กำหนดค่านิยม – ชื่นชมพอใจที่จะปฏิบัติ – วางแผนการปฏิบัติ-ปฏิบัติด้วยความชื่นชม
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น