ได้กล่าวมาตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า การสอนภาษาไทยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถึงแม้จะยากเพียงใดก็ต้องสอนเพราะการสอนคือชีวิตของเรา
ในการสอนครั้งหนึ่ง ๆ นั้นได้ตั้งใจไว้ว่า ให้ผู้เรียนเกิด รู้ลึก ๆ ในจิตใจของผู้เรียน 3 เรื่องด้วยกันคือ
1. รู้วิธีการเรียนรู้ คือ เมื่อจบบทเรียนแล้วผู้เรียนแต่ละคนต้องบอกตนเองได้ว่า “เรื่องราวที่รู้นี้ตนมีวิธีการเรียนรู้ได้อย่างไร เพราะวิธีการเรียนรู้วิธีหนึ่ง ๆ นั้นจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถดึงออกมานำใช้เรียนรู้เรื่องราวอื่น ๆ ที่มีสาระเรื่องราวคล้าย ๆ กันได้ เมื่อนำวิธีการเรียนรู้นั้นมาใช้บ่อย ๆ ใช้จนได้ผลเป็นที่พอใจของผู้เรียน วิธีการเรียนรู้นั้นจะฝังใจผู้เรียน
2. รู้สึกต่อการเรียนรู้ ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าผู้เรียนมีความรู้สึกดีต่อวิธีการเรียนรู้แล้ว เขาจะตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้อย่างเต็มที่ ดั่งเช่น สัดดัมอุเซ็ง ลูกศิษย์คนหนึ่งของผม เขาพยายามจัดทำหนังสือเล่มเล็กมาส่งผม เขาทำอย่างดีมาก วันที่นำผลงานมาส่ง สัดดัมอุเซ็ง ส่งผลงานด้วยดวงตาที่บ่งบอกความพอใจเห็นได้ชัดเจน อีก 3 วันต่อมาผมเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ วันกลับมาสอนวันแรก ผมยื่นเงินให้สัดดัมอุเซ็ง 200 บาท บอกเขาว่า “ครูขายหนังสือเล่มนั้นไป 200 บาท” สัดดัมอุเซ็งดีใจมาก เขานำเงินกลับไปให้แม่ของเขาที่บ้าน และผลงานเล่มต่อ ๆ มาของสัดดัมอุเซ็งก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เด็กคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน พอรู้ว่า สัดดัมอุเซ็งขายผลงานได้ เขาก็รีบพัฒนาฝีมือการทำหนังสือเล่มเล็กขึ้นจนขายได้เช่นกัน นี่คือความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อการเรียนรู้
3. รู้เรื่องที่เรียน เมื่อผู้เรียนรู้และเข้าใจต่อวิธีการเรียนรู้ มีความรู้สึกดี ๆ ต่อการเรียนรู้ สิ่งที่แฝงเข้าไปทีละนิด ๆ ในจิตใจของเขาคือ รู้เรื่องที่กำลังเรียนรู้ จากการรู้เล็ก ๆ เป็นภาพจาง ๆ เกิดขึ้นภายในใจของเขา ภาพนั้นจะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ๆ ขยายวงกว้างขึ้น นั่นคือ เขาจะมีความรู้ในเรื่องนั้นแบบลึกและกว้างขึ้นในที่สุด แต่เป็นการรู้แบบค่อย ๆ รู้ การรู้แบบนี้เรียกว่า รู้มาจากข้างใน ความรู้แบบนี้เป็นความรู้ที่ผู้เรียนสร้างขึ้นมาเองด้วยตัวของผู้เรียน ความรู้แบบนี้เกิดจากการหลอมรวม ความรู้ด้วยตัวของผู้เรียนเอง เริ่มจากความรู้เดิมที่เขาพอจะมีอยู่บ้าง ค่อย ๆ ผสมกับความรู้ใหม่ที่เขาค่อย ๆ ได้มา มาหลอมรวมกันจนเกิดรู้ พอภาวะรู้เกิดขึ้น จิตของเขาจะกระจ่าง เพราะเขารู้เรื่องนั้นอย่างเต็มที่และครบองค์ความรู้ ตัวองค์ความรู้นี้ถ้าผู้เรียนนำมาคิดใคร่ครวญ พินิจพิจารณาบ่อย ๆ จากความรู้ใหญ่ ๆ ค่อยบีบเข้ามาๆ เป็นผลึกคิดหรือ มโนทัศน์ ตัวนี้เองที่สามารถฝังแน่นในใจของผู้เรียน เป็นความรู้ลึก ๆ ที่เขามีในเรื่องนั้น ๆ
การสร้างความรู้แบบนี้ผู้เรียนจะต้องผ่านการนำสิ่งที่เขารู้มาใช้มาคิดบ่อย ๆ จนความรู้นั้นเกาะติดในใจแน่นแล้วจะหล่อหลอมเป็นผลึกคิด
การทำซ้ำ ๆ นี้ ผู้สอนจะต้องจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนกระทำโดยไม่ซ้ำแบบ เพราะเด็ก เบื่อที่จะทำ ซ้ำ ๆ ดังนั้นต้องให้พวกเขามีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกายโดย
1. ศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากหลายแหล่งเรียนรู้
2. นำตัวรู้ที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
3. บันทึกความรู้ที่ได้มาในรูปแบบเล่าเรื่อง ทบทวนเรื่องที่เขียนเล่าจนเป็นที่พอใจ ตรวจสอบความถูกต้อง
4. นำเรื่องที่เขียนเล่า (จากข้อ 3) มาจัดทำเป็นหนังสือเล่มเล็กหรือตำราเรียนเขียนด้วยเด็ก
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น