1. ศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากหลายแหล่งเรียนรู้
ก่อนการดำเนินการศึกษาค้นคว้า ผู้เรียนจะต้องรู้ก่อนว่า
v จะเรียนเรื่องอะไร
v เรียนไปทำไม
v จะศึกษาค้นคว้าหารายละเอียดในประเด็นใดบ้าง (ตรงนี้ผู้เรียนจะต้องตั้งคำถามประเด็นย่อย ๆ ให้มาก )
v จะไปศึกษาเรียนรู้จากที่ใดบ้าง
v จะรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการใด
v จะจัดการกับข้อมูลนั้นแบบใด
รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ผู้เรียนจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่วางไว้บ่อย ๆ ฝึกให้เป็นนิสัย นำไปปฏิบัติจริง ๆ การเรียนรู้แบบนี้เป็นการเรียนรู้แบบมีแผนการเรียน
ในตอนเรื่อง วิสรรชนีย์ (ที่ผ่านมา) นั้น ผู้เรียนได้เรียนรู้จากวิทยากรประจำกลุ่มที่เตรียมเรื่องเล่า ไปเล่าให้ผู้เรียนฟังตามระดับการเรียนรู้ ซึ่งการจัดกิจกรรมกลุ่มอย่างนี้ นักเรียนกลุ่มเก่งจะอยู่ในกลุ่มเก่ง กลุ่มเรียนอ่อนจะอยู่เฉพาะเด็กเรียนอ่อน ครูผู้เป็นวิทยากรประจำกลุ่ม จะสามารถจัดกิจกรรมการเรียนได้ตรงสภาพจริง ซึ่งผู้เรียนกลุ่มเรียนอ่อนจะไม่ได้เรียนเรื่องยาก ๆ ส่วนกลุ่มเรียนเก่งจะไม่ได้เรียนเรื่องง่าย ๆ เขาจึงไม่เบื่อ เพราะเขาเรียนรู้ได้ด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียน ผลที่ออกมาดูได้ที่ผู้เรียนนำเสนอผลงานการเรียนรู้ ( ฟาอีซะ บาฮารี และมะซอพลี ) เด็กเหล่านี้เข้าใจเรื่องเดียวกันแต่แนวทางเรื่องที่เข้าใจต่างกัน เพราะครูใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบหนัก-เบาไม่เท่ากัน
การศึกษาค้นคว้าจากหนังสือหรือถามผู้รู้เรื่องหนึ่ง ๆ ควรอ่านหนังสือหลาย ๆ เล่ม หลายคนแต่ง หรือถามจากผู้รู้หลายคนในเรื่องเดียวกัน เพราะจะได้ข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งดีกว่าข้อมูลที่ได้จากแหล่งเดียว
การนำข้อมูลจากหนังสือมาอ้างอิงนั้น ควรใช้ข้อมูลหลากหลายแนวคิดในเรื่องเดียวกันทำให้เห็นภาพมองต่างมุม อย่านำข้อมูลเดียวมาเขียน เพราะเท่ากับเป็นการลอก ข้อความมาอ้างอิงเท่านั้น ถ้าเราใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งหลายแนวคิดมีความเหมือนกัน ต่างกัน คล้าย ๆ กันบ้าง เวลาเราสรุปข้อมูลจะเห็นความสอดคล้อง ความต่างกัน อย่างเป็นเหตุเป็นผล น่าเชื่อถือกว่าการใช้ข้อมูลเดี่ยวโดดและตัวผู้เรียนจะรู้กว้างกว่าลึกกว่าการฟังคน ๆ เดียวหรืออ่านจากหนังสือเล่มเดียวที่เสนอมุมมองด้านเดียว
2. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ขั้นตอนนี้นับว่าสำคัญมาก เพราะความรู้ที่ผู้เรียนได้จากกลุ่มของตนเป็นความรู้ดิบ ความรู้ที่สรุปได้เดี่ยว ๆ พอนำมาเล่าสู่กันฟัง นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้ฟังเพิ่ม ได้มีโอกาสคิดข้อซักถาม ถาม ฟังเพื่อนตอบคำถาม หรือคิดตอบคำถามเพื่อน การตอบโต้สนทนากันแบบนี้จะช่วยจุดประกายความคิด ของผู้เล่าและผู้ฟัง ผู้ถามและผู้ตอบให้กระเจิงได้ เมื่อมีข้อมูลชัดเจนเพียงพอแล้ว ร่วมกันสรุป ความรู้ความคิดให้เป็นหนึ่งตรงนี้สำคัญมาก เพราะความรู้จากกลุ่มที่สรุป ผู้เรียนจะรู้ร่วม แต่ทว่าในขณะนั้นผู้เรียนแต่ละคนจะเกิด ความรู้ในเรื่องนั้นเฉพาะตนขึ้นมา อาจจะรู้เหมือนหรือต่างไปจากกลุ่มก็ได้ ความรู้แบบนี้แหละเป็นความรู้ทีผู้เรียนสร้างขึ้นมาด้วยตนเองและเป็นความรู้ที่รู้จากข้างในใจตนเอง
3. บันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้ในรูปแบบเล่าเรื่องและการตรวจสอบ
ตรงนี้สำคัญมาก เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจการเรียน ขั้น 1-2 แล้ว ผู้เรียนรายกลุ่มหรือรายบุคคลจะต้องนำความรู้ที่ได้มา มาเรียบเรียงให้เป็นเรื่องเล่า ทำไมต้องให้เป็นเรื่องเล่าเพราะเรื่องเล่าภาษาจะไม่แข็ง ถ้าเข้าใจวิธีเขียนจะเขียนง่ายน่าอ่าน เหมาะในการฝึกเด็ก ๆ ผู้เรียน เขียนเสร็จแล้วอ่านให้เพื่อนฟัง เล่าให้เพื่อนฟัง (เหมือนกับฟาอีซะ บาฮารีหรือมะซอพลี เล่าเรื่องวิสรรชนีย์แปลงรูป) หรืออ่านให้ครูฟัง ตรงนี้คือการตรวจสอบผลงานของตน ถ้าทุกคนยอมรับก็ผ่าน ถ้าไม่ยอมรับตรงไหนก็แก้ไข ปรับปรุงนำเสนอใหม่ได้ที่ถือว่าผ่าน
4. จัดทำเป็นหนังสือเล่มเล็ก
จะเห็นได้ว่าขั้นตอนต่าง ๆ ที่ผ่านมา ผู้เรียนได้ตอกย้ำความรู้สู่ตนเองทีละนิด ๆ ความรู้นั้นจะค่อย ๆ เข้าไปในใจของตนตลอดเวลา แบบน้ำเซาะทราย พอได้นำมาเขียนเป็นหนังสือเล่มเล็ก จะเป็นการประกาศศักยภาพ หรือความสามารถของตนออกมาให้เห็น ผู้เรียนจะต้องทำอย่างเต็มที่ (ในกรณีที่ผู้เรียนพอใจต่อวิธีการเรียนรู้ ) ตั้งแต่เริ่มคิดทำรูปเล่ม เขียนเรื่อง วาดภาพประกอบ ทุกขั้นตอน ความรู้จะค่อย ๆ ซึมลึกเข้าไปในใจของผู้เรียน คละเคล้ากันระหว่างรู้เรื่องกับรู้สึก จุดนี้แหละที่ความรู้แท้จะเกิดขึ้นในจิตใจของผู้เรียน ซึ่งจะเป็นความรู้ฝังแน่นในใจผู้เรียน
สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรขาดในกรณี สระแปลงรูป สระลดรูปนี้ ควรให้ผู้เรียนเขียนจดหมาย เขียนเล่าเรื่อง หรือแต่งประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ ประโยคคำถาม หรือคำร้อยกรอง อย่างหนึ่งอย่างใด ด้วยภาษาแบบโบราณ (ดังจดหมายถึงผู้พัก) เพื่อฝึกทักษะและตอกย้ำความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงในด้านนี้ของผู้เรียน
นอกจากนี้ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนรวบรวมคำที่มีสระคงรูป สระลดรูป สระแปลงรูป ที่เรียนผ่านมาแล้วจากสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ มารวมเป็นเล่ม เป็นตำราเรียนของชั้นเรียนซึ่งผู้เรียนต้องวางแผน แบ่งหน้าที่กันจัดทำจะเป็นการฝึกทักษะที่ดี
การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกฝนเรียนรู้จนรู้วิธีการเรียนรู้ ( Learning How to Learn ) สามารถจับหลักการ ความสัมพันธ์โยงใย ของเรื่องราวการเรียนรู้ แล้วนำมาสรุปเป็น ความคิดรวบยอด ได้ จะง่ายต่อการนำวิธีการเรียนรู้นั้นไปเรียนรู้เรื่องต่อ ๆ ไป ที่มีสาระเนื้อหาคล้าย ๆ กัน เช่น เรียนเรื่อง การลดรูป แปลงรูปของวิสรรชนีย์แล้ว ผู้เรียนจะสามารถนำวิธีการเรียนรู้นี้ไปเรียนรู้เรื่อง การลดรูป แปลงรูปสระอื่น ๆได้อีก เช่น สระเอะ , แอะ , โอะ , เอาะ , เอา , เออ, อัว
การเรียนการสอนวิธีนี้ ครูผู้สอนเพียงแต่ให้ตัวอย่าง แล้วฝึกให้ผู้เรียนเรียนด้วยตนเอง เมื่อเห็นว่าผู้เรียนพร้อมที่จะสอบก็สอบ แต่การสอนกับการสอบต้องเป็นของควบคู่กันไม่แยกออกจากกัน ครูผู้สอนจะต้องสำเหนียกอยู่เสมอว่า สอบคือสอน สอนคือสอบ
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น