เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสไปนั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหารโรงเรียนเล็กๆ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามแห่งหนึ่งในจังหวัดยะลา ด้วยความยังไม่ค่อยจะรู้จักมักคุ้นเท่าไรครับ เริ่มคุยเลยเกร่งๆ แต่พอเข้าประเด็นเลยออกประเด็นมาได้หลายประเด็นทีเดียว กลับมานั่งสรุปบทเรียนแล้ว เห็นหลายประเด็นมีความน่าสนใจสรุปเป็นองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาตนเองและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อ่านได้
ด้วยความเป็นโรงเรียนเล็กๆ ผมเลยถามผู้บริหารว่าจะเปิดขยายไป ม.ปลายหรือเปล่าครับ ท่านตอบว่า คงจะไม่ ถึงแม้ว่าตอนนี้ผู้ปกครองจะเรียกร้องมาก็ตาม อือ คำตอบน่าสนใจที่ต้องถามต่อว่า ทำไมครับ? ผมประมวลคำตอบแล้วแยกวิเคราะห์ประเด็นได้ดังนี้ครับ
ประเด็นแรกคือ วิธีการวัดความสำเร็จของนักเรียน ม.ต้นกับ ม.ปลายไม่เหมือนกัน ตัวชี้วัดความสำเร็จไม่เหมือนกัน เด็กจบ ม.ต้น เพียงแค่ได้เรียนตอน ม.ปลาย หรือไปสายอาชีพก็จบแล้วครับ แต่พอ ม.ปลายนี้ ตัววัดประเมินคุณภาพชัดเจนมาก คือ เรียนต่อมหาวิทยาลัยได้กี่คน สาขาวิชาเอกอะไรบ้าง มหาวิทยาลัยดังหรือเปล่า ซึ่งผลดังกล่าวส่งผลกับต่อความเชื่อมั่นต่อโรงเรียนด้วย
จากประเด็นแรกนำมาสู่ประเด็นคิดที่สองคือ โรงเรียนเล็กๆ จะสร้างคุณภาพในระดับ ม.ปลายได้ทัดเทียมกับโรงเรียนใหญ่ๆ หรือเปล่า ผู้บริหารโรงเรียนบอกว่า ทำได้ยากมาก โดยท่านแจกแจงให้ผมฟังว่า อย่างแรกคือ ครูในระดับ ม.ปลายต้องมีความเชี่ยวชาญมากๆ ไม่ใช่ใครก็ได้สอนๆ ไปเถอะ อย่างนั้นรับรองได้ว่าเด็กไม่ได้อะไรเลย ทีนี้การจะจ้างครูเฉพาะทางและให้ครบถ้วนทุกวิชาที่สอนเป็นเรื่องยากลำบากกระทบต่อต้นทุนการบริหารของโรงเรียนด้วย ที่สำคัญโรงเรียนไกลเมืองครูที่ไหนจะมา ในเมื่อโรงเรียนใหญ่ๆ อยู่ในเมืองเยอะแยะ ที่สำคัญถึงหามาได้ก็ใช่ว่าจะอยู่ได้นาน เผลอๆ รัฐเปิดรับสมัครครูมา ก็ไปกันหมด ถึงเวลานั้นเดือดร้อนสุดก็ทั้งโรงเรียนละครับแล้วมันก็แก้ปัญหายากกว่าใน ม.ต้น
นอกจากนี้ถึงจะมีครูดี แต่หากเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับการจัดการเรียนการสอนไม่พร้อมแล้วสำหรับ ม.ปลายก็ยากที่จะทำให้ดีได้ ได้ครูดี แต่ไม่มีงบสำหรับซื้อสารเคมีมาให้ทดลอง แล้วเด็กจะเรียนรู้อย่างไร แต่พอซื้อโรงเรียนก็ซื้อน้อย กลายเป็นต้องซื้อในราคาแพง ก็เป็นปัญหา
ประเด็นสามคือ ผู้บริหารบอกว่า ท่านไม่ต้องการให้โรงเรียนนี้ใหญ่เกินไป ด้วยศักยภาพที่มีเด็กสักสามร้อยนี้เหมาะแล้ว มากไปผู้บริหารดูแลเด็กไม่ทั่วถึง ท่านพอใจกับจำนวนเด็กเท่านี้ด้วยเหตุที่สามารถรู้จักเด็กได้เกือบทุกคน ตามพฤติกรรมให้การดูแลได้ เด็กหายไปจากห้องก็รู้ได้ แล้วไม่ต้องไปตาม วันหลังเจอเด็กก็ทักทายและซักถามได้ว่าหายไปไหน ซึ่งจะทำให้เด็กไม่กล้าหนีหายไปไหน ที่สำคัญผู้บริหารเชื่อมโยงไปยังชุมชนและผู้ปกครองได้ง่าย ซึ่งช่วยให้เกิดความผูกพันระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครอง
จากข้อมูลข้างต้น ผมเกิดโจทย์คิดว่าหากผมต้องออกแบบแผนกลยุทธ์ให้กับโรงเรียน ผมจะสร้างภาพอนาคตองค์กรยังไง และสุดท้ายจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาในมุมไหนได้บ้าง
ความจริงจากข้อมูลข้างต้นจะเห็นความมุ่งมั่นของผู้บริหารโรงเรียนหลักๆ คือ คำว่า "คุณภาพและการให้การดูแลนักเรียนแบบใกล้ชิด" ส่วนประเด็นอื่นๆ น่าจะเป็นองค์ประกอบรอง
คำว่า "คุณภาพ" ในมุมมองที่ถูกนำเสนอมาจากการสนทนาคือ ประกอบด้วย คุณภาพครู การสอนและสื่อการจัดการเรียนรู้ บทบาทของผู้เรียนในการเรียนรู้ ส่วนคำว่า "การดูแลนักเรียน" ผ่านการปรับปรุงพฤติกรรมนักเรียน และการสร้างกิจกรรมเชื่อมโยงไปยังชุมชน
สององค์ประกอบสำคัญที่เป็นทุนเดิมของโรงเรียนเพื่อนำไปสู่การสร้างเป้าการพัฒนาของโรงเรียนครับ ซึ่งผมหยิบยกเอามาเพื่อสะท้อนคิดว่า การพัฒนาเป็นสิ่งที่หยุดไม่ได้สำหรับองค์การ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าการพัฒนาเป็นการขยายองค์การให้ใหญ่โตขึ้น เพียงแต่ควรใช้เพื่อการสะท้อนความเป็นตัวตนขององค์การให้ชัดเจนและโดดเด่นขึ้นครับ
เห็นด้วยครับ
พัฒนาองค์กร
ใช่ว่าเพื่อขยายให้ใหญ่ขึ้น พอไม่ใหญ่ก็จะยุบ จะรวม
เล็กเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่เด็กและครูมีคุณภาพ
และคุณภาพ..ก็อย่ามองกันที่คะแนนอย่างเดียว
แต่มองให้รอบด้าน หลายมิติ
อยาก ให้ ศธ , สพฐ.เข้ามาอ่านบทความของอาจารย์ จังเลย
ชอบความคิดของผู้บริหารจังเลยครับ แต่คิดถึงเตาฟิกมากกว่า 555