การศึกษาในปัจจุบัน สร้างคน หรือ สร้าง?


การศึกษาในปัจจุบัน สร้างคน หรือ สร้าง?

คุณมีแนวคิดเรื่องการศึกษาของลูกอย่างไร

                ในปัจจุบันแล้ว รูปแบบการศึกษาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปมากมาย จนฉันเองรู้สึกตามไม่ทัน ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะไม่ได้อยู่ในสายของศึกษา   ก็เป็นได้  ทุกวันนี้งง ระบบการเรียน  วันก่อนไปบ้านเพื่อกะจะพา,กสาวไปเล่นกับลูกของเพื่อ  ลูกสาวอายุ 4 ขวบ  ส่วนลูกเพื่อนมี 2 คน คนหนึ่ง  6 ขวบ เรียนอยู่ โรงเรียน เอกชน ชื่อดังใน จ.นครราชสีมา  อีกคนอายุ 4 ขวบเท่าลูกเรา  วันที่ไปเป็นวันเสาร์ เพื่อบอกว่า

“เด็กๆไม่อยู่ ไปเรียนพิเศษ”

 เราต๊กใจ หา/ เรียนพิเศษ เดี๋ยวนี้เขาเรียนพิเศษกันตั้งแต่อายุเท่านี้เลยหรือ

“ ใช่ อยู่ ป. 1 ต้องเรียนพิเศษแล้ว เดี๋ยวไม่ทันเพื่อน  แต่ตัวเล็กนี่ไปกับพ่อ  แต่เทอมหน้าจะไปเข้าที่ โรงเรียนเดียวกับพี่แล้ว  รอไปตอน ป. 1 ไม่ได้หรอกเพื่อน  ต้องเสียเงินเป็นแสน แล้วโจ้เมื่อไรจะเอาไป เรียนที่นี่ไม่ work หรอก  มันต้อง อนุบาล........ ของเขาดีมากจริงๆ เลยนะ เน้นวิชาการ เน้นวิทย์คณิต  สนใจมั๊ยเราจะติดต่อให้”

เพื่อให้กำลังใจเพื่อน ก็พยักเพยิดไปเรื่อยสุดท้ายก็ขอตัวกลับ  แล้วก็มานั่งคิดว่า อะไรที่เปลี่ยนไป ในสังคม ทำไมการเรียนมันต้องขนาดนี้  มันมีคณะอะไรดีๆในมหาลัยเหรอเกินกว่าตอนที่เราเป็นเด็กหรือเปล่า ทำไมเขาถึงเรียนมากอย่างนี้  พอเปิดอินเตอร์เน็ต ก็พบว่าหลักๆก็เหมือนเดิม มีเพิ่มบ้างก็ไม่แตกต่างมาก  เอ! แล้วสมัยเราเป็นเด็กยังไม่เคยเรียนพิเศษ ด้วยซ้ำ ทำไมปัจจุบัน เราถึงได้เก่งขนาดนี้ ( ออกจะแนวหลงตัวเองนิดหนึ่ง ) ภาษาอังกฤษไม่เก่งมาก ก็พอสื่อสารกับชาวต่างชาติแบบ English is Fun ก็ OK  ทุกวันนี้ใช้ อินเตอร์เน็ตคอมพิวเตอร์ ก็ได้เท่าเด็กปัจจุบัน  เราไม่เห็นต้องเรียนหนักอย่างนี้เลย  แล้วเขาเอาเวลาที่เป็นเด็กของลูกไว้ตอนไหนนี่  แต่เอ๊ะ!ในรงพยาบาลลูกแพทย์ เภสัช หรือพยาบาลคนอื่น เขาก็ทำอย่างนี้ทุกคน  หรือว่าเราไม่รู้เรื่อง  เพราะมีบางคนบอกว่าเราปิดกั้นโอกาสลูก หรือท่าจะจริง  ก็เลยตัดสินใจไปที่โรงเรียนที่ลูกเรียนอยู่ ตอนนี้ลูกอายุ 4 ขวบ  เข้าเรียนอนุบาล 1 จริงๆน่าจะก่อนเกณฑ์ ด้วยซ้ำ  ไปนั่งคุยกับคุณครูที่โรงเรียนก็พบว่า  ผลการประเมินของคุณครูบอกว่า พัฒนาการด้านการเรียนของลูกเรา เกินกว่าอนุบาล 1 แล้ว  ก็เลยถามครูว่ายังไง  ครูบอก ก็เวลาครูสอน ให้ทำกิจกรรมที่โรงเรียน น้องไจ่ไจ๋ จะทำล่วงหน้าที่ครูสอน ครูก็เลยต้องให้การบ้าน เลยจากเพื่อนไป 3-4 กิจกรรม ครูคิดว่าคุณแม่สอน  อ้าว แม่ก็คิดว่าครูสอน  เทียบ พัฒนาเขาตามเกณฑ์อายุ ก็ทำได้ทั้งหมด  รู้ ซ้าย ขวา สั้นยาว บวก ลบ เขียน ก-ฮ A-Z แบ่งสี ทั้งไทย +eng รูปทรง ไทย +Eng เขียนชื่อสกุล ได้ เข้าออกโปรแกรม ในคอมพิวเตอร์ได้  ใช้ tablet  เป็น เข้าออก program เอง เก่งกว่าแม่ สมัยเรียน ป. 1 อีก  ก็เลยถามคุณครูว่า อย่างนี้ต้องให้ลูกเรียนพิเศษ  หรืออะไรมั๊ย  คุณครูบอก ให้คุณพ่อกับคุณแม่เรียนพิเศษจะดีกว่า  จะได้ตามลูกทัน........... ได้ยินอย่างนั้นแล้วก็รีบขอตัวกลับโดยเร็ว ....อายยย.........

จึงมานั่งวิเคราะห์เรื่องค่านิยมการศึกษา ในสังคมปัจจุบัน  นี้ตามความรู้สึกของตัวเอง ดังนี้

  1. สื่อการโฆษณาสถานศึกษาในปัจจุบัน นำเสนอ ความสำเร็จของการศึกษา  จากการความสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัย ของรัฐ มากเกินไปแล้วมักนำเสนอ ผู้ที่ทำคะแนนสูงสุดในสายวิทย์ เช่น แพทย์ เภสัชกร วิศวะ ฯลฯ  แต่ไม่ได้ตามไปดูว่าเด็กที่จบจากโรงเรียนชื่อดัง ได้เกียรตินิยม ตอนเรียนแพทย์ เมื่อจบมาทำงานแล้วเด็กคนนี่ เป็นคนดีแล้วมีความสุขหรือไม่  
  2.   การแข็งขันทางวิชาการปัจจุบัน เน้น การแข็งขันทาง IQ เมื่อชนะจะได้รับการยกย่อง ให้รางวัลว่าเป็นคนเก่ง
  3. การจัดอันดับการสอบ ทำให้เกิดการแข็งขันทุกคนอยากได้ อันดับที่ 1 เพราะจะได้ชื่อว่าเก่งที่สุด  ไม่ใช่มีแค่ผ่านหรือไม่ผ่าน
  4. มีการแบ่งเกรด นักเรียน มีห้อง king  หรือ อื่นๆแล้วแต่สถานการศึกษาจะเรียก เมื่อได้อยู่หัวใจจะพองโตทั้งผู้ปกครองและเด็ก
  5. มีโปรแกรมเรียนพิเศษ ในสถานศึกษา โดยนโยบายของสถานศึกษาเอง  เด็กที่เข้าเรียนที่สถานศึกษานั้นต้องรับโปรแกรมนี้ไปด้วยเพราะอีกหน่อยจะไม่ทันเพื่อน
  6. ข้อสอบที่ออก เป็นข้อสอบกลางที่ได้มาตรฐานจากส่วนกลาง ทั้งๆ ที่การสอน ยังมาตรฐาน ไม่เท่ากันทุกโรงเรียน
  7. ประโคมข่าวลือต่อๆกัน ว่าใครได้เรียนที่นี่ สุดยอด  ว้าววว.... โฮโซ ใครๆก็อยากพาลูกไปเรียน
  8. ผู้ปกครอง เข้าใจผิดคิดว่าเด็กมีหน้าที่เรียนก็เรียนไป ไม่ต้องรับผิดชอบอย่างอื่น  เด็ก ก็เลย เรียน  เรียน  เรียน  เพราะถ้าอ้างเรียนพ่อแม่อนุญาต ก็เลยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เช่น ต่อตนเอง คือดูแลสุขภาพ ให้แข็งแรง ออกกำลังกาย พักผ่อน ไม่เครียด  ต่อครอบครัว เช่น กิจการงานบ้าน  ซักผ้ารีดผ้า ทำกับข้าว   ต่อสังคม เช่น ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎจาราจร ไม่เอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น  ต่อประเทศชาติ คือไม่สมองไหล ไปอยู่นอกกันหมด
  9. อีกอย่าง คือเรื่องของที่สุด พ่อแม่คิดว่าสิ่งที่เลือกให้ คือสิ่งที่ดีที่สุด  เท่าที่คนเป็นพ่อแม่จะทำให้ลูกที่เป็นที่รักที่สุดได้  คือการให้ลูกเรียนโรงเรียนที่คิดว่าดี ที่สุดเรียนพิเศษมากที่สุด จะได้เป็นคนเก่งที่สุด
  10. แนวคิดเลี้ยงลูกแบบเทวดาน้อย  ลูกฉันจะต้องได้อะไรที่ ไม่เหมือนคนธรรมดา  ไม่งั้นลูกฉันจะกลายเป็นคนธรรมดา

จากแนวคิด ทั้ง 10  ข้อนี้ เป็นเพียงแนวคิดหนึ่ง ที่ฉันไม่อยากเป็นเหยื่อค่านิยมทางการศึกษา ฉันอยากให้ระบบการศึกษา ประโคมข่าว ในโรงเรียนที่สอนให้เด็กมีคุณธรรมจริยธรรม กตัญญูกตเวที ให้มากๆ  เพราะทุกวันนี้ ฉันจะนั่งเศร้าสลดใจทุกวันที่ คนไข้มาตรวจ เป็นคนแก่ๆ  ไม่มีญาติมาด้วย ได้หน้าลืมหลัง หูตา ฝ่า ฟาง พอถามแกบอกลูกเขาไม่ว่าง ลูก เป็นพยาบาล หมอ  ส.ส.  ผู้อำนวยการโรงเรียน นายตำรวจ  ฯลฯ มีเวลาทำงานให้สังคม และคนอื่นๆ แต่ไม่มีเวลาให้พ่อกับแม่ น่าเศร้าใจ

 

คำสำคัญ (Tags): #การศึกษา
หมายเลขบันทึก: 480972เขียนเมื่อ 4 มีนาคม 2012 15:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 04:06 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

อ่านแล้วเห็นข้อเสียของการศึกษามากเลยนะครับ จะได้พบกันในงาน HA ไหมครับ

ตอบ ท่าน อ.ขจิต ฝอยทอง ไปแน่นอนค่ะ ตั้งแต่ 13-16 มี.ค. ค่ะ แต่อาจจะได้ไปแว๊บๆ ที่ go to know เพราะต้องเฝ้า poster presentration ของโรงพยาบาลค่ะ

เคยไปหาเพื่อนที่กรุงเทพฯ พอดีเพื่อนต้องไปรับลูกซึ่งเรียนพิเศษอยู่ที่สยาม รอไปรอมา พอได้เวลาเลิกเรียน เด็ก ๆ กรูกันออกมาจากตึกเหมือนมดออกจากรัง ตอนนั้นก็คิดในใจว่าทำไมเด็กมันเรียนกันมากอย่างนี้ และพอฟังเพื่อนสอนลูกบางอย่าง เราคิดว่าไม่ไม่ค่อยถูกตามหลักศีลธรรมสักเท่าไร แต่เพื่อนบอกว่ามัวแต่สอนอย่างเก่าไม่ได้หรอก เดี๋ยวเด็กไม่ทันคนอื่น เราก็เออ ๆ ไป ได้แต่ค้านอยู่ในใจ เราัมันคนบ้านนอกเนอะ ยิ่งสอนเด็กยิ่งเหนื่อย เด็กขาดความรับผิดชอบน้อยลงทุกที ไม่รู้จะโทษใครดี การสอนของครู ตัวนักเรียน พ่อ-แม่ผู้ปกครอง สังคม หรือประเทศไทย?

ขอบคุณค่ะครูตาแว่นที่มาให้กำลังใจ ตอนนี้ตัวเองกำลังสับสน ในการหาที่เรียนให้ลูกเพราะอยู่ โรงพยาบาลก็จะโดนเพื่อนร่วมงานกรอกหูทุกวัน ว่าลูกเราไม่ใช่ลูกตาสีตาสา ตังค์ก็มีส่งลูกเรียนดีๆไปเลย อย่าปิดกั้นโอกาสลูก ไอ้เราก็คิดในใจก็ลูกตาตี๋ยัยโจ้ มันต่างจากลูกตาสีตาสาตรงไหน มี 1 หัว 2แขน 2 ขาเท่ากัน ไม่เห็นมีอวัยวะอื่นเกินเพื่อน เลย เห็นลูกแพทย์พยาบาลเขาพาลูกไปเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดังในโคราช ต้องตื่นกันตั้งแต่ ตี 4 ตี 5 ลูกก็เดินลากกระเป๋าแบบง่วงๆขึ้นรถตู้ไปโรงเรียนระยะทางตั้ง 60 กม.ไปกลับทุกวัน เขาไม่ห่วงอุบัติเหตุกันหรือ ลูกเรา ตื่น 6 โมงเช้ามีเวลา นั่งเล่นขายข้าวแกงตามจินตนาการของเด็ก ได้ช่วยแม่รดน้ำกล้วยไม้ บางวันยายทำขนมขายมมีเวลาไปขาขนมกับยายอีก เราว่าแบบนี้มันก็เข้าท่าแล้วน่า

study มาก Learn น้อย..

รู้ภายนอกมาก รู้ตนเองน้อย..

คงเป็นเช่นนี้ไปสักพักค่ะ

แล้วพ่อแม่ก็จะค่อยๆ เรียนรู้เอง (เห็นด้วยว่าน่าจะมี รร.พ่อแม่ด้วยค่ะ :)

มาเยี่ยม ตามเทียบเิชิญครับ ;)...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท