จดหมายถึงลูก "ภัคร + เพรียง" ฉบับที่ ๕


จดหมายถึงลูก "ภัคร + เพรียง" ฉบับที่ ๕

 

 

 

จดหมายถึงลูก "ภัคร + เพรียง" ฉบับที่ ๕

 

 

              เมื่อวานเย็น แม่กลับไปนอนที่บ้านที่พรหมพิราม นับจากที่แม่มาทำงานที่มหาวิทยาลัย แม่ก็ต้องมาพักที่บ้านที่พิษณุโลก...แม่จึงต้องกลับบ้านที่พรหมพิรามทุกสัปดาห์ เพื่อดูแลตา + เจ้าฟ้าครามด้วย เพราะนี่คือ "หน้าที่ของแม่" ที่เมื่อทำงานแล้ว ยามว่างก็ต้องดูแลครอบครัว ดูแลตา...แม่ให้ "น้องเพรียง" ไปถ่ายรูปต้นข้าวที่น้องได้ทำนาไว้ เพราะแม่ต้องการเห็นว่าปัจจุบัน ข้าวออกรวง (ตั้งท้อง) หรือยัง เนื่องจากแม่ไม่มีเวลาไปดูเลย เพราะตลอดเวลาก็มีแต่งาน ๆ ๆ ที่ต้องปฏิบัติ นับจากมารับราชการ...

 

 

            น้องเพรียงก็ขอกล้องของแม่ไปแล้วก็ถ่ายรูปข้าวที่กำลังเริ่มออกรวงแล้วมาให้แม่ดู...เพราะน้องรู้ว่า แม่จะต้องนำมาเขียนไว้ใน Gotoknow...พอแม่โหลดภาพออกมาดูแล้วก็ "ปลื้ม" ไปกับ "ผลงานของน้องเพรียง" ด้วยว่า..."น้องเพรียง" ทำได้ นี่คือ "ผลงานชิ้นแรกก็ว่าได้ของน้องเพรียง"...นับจากที่น้อง บอกว่า "ยังไม่ขอเรียนต่อ" ขอทำนาก่อน...และในตอนแรก น้องก็ไม่มั่นใจในผลงานของตนเองมากนัก เพราะไม่เคยลงมือทำนามาเลย อีกอย่าง...น้องก็ยังเด็กเกินไป...สำหรับคนที่อายุย่างเข้า ๒๒ ปี...เวลาแม่ถามน้องในตอนแรก ๆ ที่ข้าวยังต้นเล็ก ๆ อยู่ น้องดูว่า..."จะขาดความมั่นใจ"...ผิดกับตอนนี้ที่น้องได้เห็นต้นข้าวกำลังออกรวงแล้ว...

 

 

              น้ำเสียงของน้อง เหมือนดีใจ ปลื้มใจ เพราะน้องออกไปดูนาทุก ๆ วัน...บางครั้งแม่ก็รำคาญ บอกว่า "ไปดูทำไมทุกวัน"...แต่พอมาเห็นภาพที่น้องถ่ายมาให้...ก็ทำให้แม่นึกขึ้นมาได้ว่า "อ๋อ!!!...เป็นแบบนี้นี่เล่า ที่ทำให้น้องเพรียง ไปดู คงดีใจ ปลื้มใจกับผลงานของตัวเอง"..."ข้าวกำลังตั้งท้อง ออกรวงแล้ว"...น้องเพรียงบอกว่า ประมาณเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ก็จะได้เกี่ยวข้าวแล้ว...และนี่ก็คือ "ผลงานชิ้นแรกของน้องเพรียง"...

 

 

             ในตอนแรก ๆ แม่บอกตรง ๆ ว่า แม่ก็ทำใจไม่ค่อยได้หรอกว่า เหตุที่น้องไม่เรียนต่อ แล้วมาทำนาแทน...แต่เมื่อแม่มานั่งคิดทบทวนดูแล้ว...ก็เห็นด้วยกับที่น้องยังไม่ขอเรียนต่อ ขอทำนาแทน...แม่คิดว่า นับจากที่แม่ได้ทำงานที่มหาวิทยาลัย ทำให้แม่เห็น ๆ ถึงความแตกต่างของคนที่ทำงาน...ซึ่งแต่ละคนมีความแตกต่างกันมาก ไม่ว่า พฤติกรรม...ความมี - จน...ความพร้อม - ความไม่พร้อม...ความพอดี - ไม่พอดี...ความดี - ความไม่ดี...ทำให้แม่คิดได้ว่า...สำหรับน้องเพรียง เมื่อตัดสินใจไม่เรียนต่อก็ไม่เป็นไร...เพราะน้องเพรียงเรียนไม่เก่ง ไม่เหมือน "พี่ภัคร"...แต่ถ้าสำหรับการใช้ชีวิตแล้ว แม่ว่า..."น้องเพรียงใช้ชีวิตจริง จากประสบการณ์จริงได้มากกว่าพี่ภัคร เพราะพี่ภัครจะไปได้ในเรื่องการเรียน สำหรับน้องเพรียงได้จากการปฏิบัติ"...

 

 

            แม่เลยนั่งคิดว่า...ถ้าแม่ขืนดันทุรังส่งให้น้องเพรียงเรียนขึ้นไปสูง ๆ แล้วแม่ก็ไม่รู้ว่า น้องจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมชั้นสูงได้หรือไม่ เพราะน้องมีความคิดที่ไม่เหมือนเด็กคนอื่น...น้องเพรียงจะมีความคิดเป็นของตนเอง มีโลกส่วนตัว ไม่ชอบให้ใครมาว่าหรือบีบบังคับ เป็นผู้ใหญ่เกินวัย...แม่กับพ่อเรก็เลยตัดสินใจว่า "ไม่เป็นไร ไม่เรียนต่อก็ไม่เป็นไร ขอเพียงน้องเพรียงใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขก็น่าจะเพียงพอแล้ว สำหรับการเกิดมาบนโลกใบนี้"...เพราะคนเราเมื่อเกิดมาแล้ว ถ้าดำรงชีวิตแบบไม่มีความสุข ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดมาทำไม?...เพราะเมื่อเกิด แล้วก็ต้องมีตาย...อีกอย่างครอบครัวเราก็ยังพอมีผืนนาที่เราไม่ต้องไปเช่าคนอื่นเขา เป็นผืนนาของเราเอง...ให้กับลูก ๆ เมื่อไปไม่รอดก็ทำนาเลี้ยงชีพไป...แม้ว่า "มันจะเป็นอาชีพที่ไม่โก้ ไม่หรู แต่อาชีพทำนานี้ก็สามารถนำพาเพื่อให้เลี้ยงชีพของเราได้...ถ้าตัวเราเองไม่ขี้เกียจ"...

 

 

              สำหรับ "พี่ภัคร" ผิดกับ "น้องเพรียง" พี่ภัคร เรียนเก่งกว่า พ่อเรกับแม่ก็เลยตัดสินใจส่งพี่ภัครให้เรียนต่อ อยู่ที่พี่ภัครจะเรียนให้จบปริญญาเอกหรือไม่...เพราะคนเราเมื่อมีการศึกษาสูง ๆ ก็จะต้องมาอยู่ในดงวิชาการที่มีคนที่มีการศึกษาสูง ๆ เช่นกัน...การใช้ชีวิตจริง ไม่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา แม่ขอบอก...ปัญหานั้นมีอยู่มากมายสำหรับการใช้ชีวิตจริงในการทำงาน...สำหรับตอนนี้พี่ภัครอาจยังไม่ได้คิด แต่พอมาทำงานเข้าจริง ๆ หนูจะรู้ว่า "ชีวิตจริง คือ อะไร?"...มันจะมีปัญหามากมายที่เราจะต้องพบเจอ...เพียงแต่อยู่ที่เราว่า "เราจะแก้ไขปัญหานั้น ๆ ได้อย่างไร? เท่านั้นเอง...แม่คิดว่า...พี่ภัครคงอยู่ในดงวิชาการได้อย่างสบาย ๆ เพราะพี่ภัครมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกับแม่...ลักษณะของพี่ภัครจะเหมือนกับมีนิสัยของพ่อเร + แม่ อยู่ในตัวของหนูเอง...

 

 

             ความอ่อนน้อม ถ่อมตนสำหรับในตัวของหนูมีเต็มเปี่ยม...ไม่เหมือนกับเด็ก ๆ ในสมัยนี้...แม่ขอชื่นชม...และขอเก็บไว้ + ปฏิบัติออกมาจากใจจริง ๆ ด้วย เพราะสังคมสมัยปัจจุบันกำลังพบเจอปัญหาในเรื่องนี้...ถ้าพูดถึง "พี่ภัคร" แล้ว แม่ว่า เป็นสิ่งดี ที่มีอยู่ในตัวของหนู...ผิดกับน้องเพรียง ๆ เป็นตัวของตัวเองมากกว่าหนู ความคิดของน้องเพรียง จึงค่อนข้างที่จะมุทะลุ ถ้าไม่ชอบก็จะแสดงออกมาให้เห็นเลยว่า "ไม่ชอบ"...นิสัยแบบนี้กระมัง ที่น้องจะมีนิสัยเหมือนพ่อเร + ตา" ซึ่งไม่ค่อยเหมือนแม่...แต่ก็ทำให้น้องดูเหมือนว่าเป็นผู้ใหญ่...แม่จึงคิดว่า "น้องไม่เหมาะที่จะไปทำงานร่วมกับใคร...นอกจากอาชีพอิสระ อาชีพที่เป็นส่วนตัว...ดังนั้น "อาชีพที่พ่อเร + แม่ มองดู นั่นคือ...อาชีพดั้งเดิมของต้นตระกูลของเรา คือ "การทำนา""...นั่นเอง

 

 

             นี่เป็นเพียง "ผลงานชิ้นแรก" ของน้องเพรียง ที่จะใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตบนผืนนาแห่งนี้ และนี่ก็เป็นเพียงประสบการณ์ครั้งแรกของน้องเพรียง สำหรับเรื่องของการทำนา...เพราะตั้งแต่เกิดมาจนถึงอายุ ๒๒ ปี น้องเพรียงก็ไม่เคยทำนามาก่อน...มา ณ ปีนี้ น้องเพรียงได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำนาได้แล้ว ๑ ครั้ง และก็คงเป็นครั้งต่อ ๆ ไป สำหรับอาชีพทำนา...เพราะน้องได้เป็นเกษตรกรเต็มตัวแล้วกับคำว่า "มีบัตรเกษตรกร"...ซึ่งกว่าเจ้าหน้าที่จะออกบัตรนี้ให้ ก็เล่นเอา "พ่อเร" เครียดมาก เพราะผู้ใหญ่บ้านจะไม่ยอมออกให้ เพราะเห็นว่า "น้องเพรียง" ยังอายุน้อย...สำหรับน้องเพรียงเอง พอพบกับปัญหาที่เขาจะไม่ออกบัตรให้ก็เกิดอาการไม่พอใจเหมือนกัน...แต่ก็ไม่พ้นความพยายามของพ่อเรจนได้ พ่อเรพยายามให้เจ้าหน้าที่ออกบัตรให้จนได้ เพราะถ้าไม่เริ่มให้น้องเพรียงทำบัตรเกษตรกรตอนนี้...ในอนาคตจะต้องมีปัญหาแน่นอน สำหรับการมีอาชีพเป็นเกษตรกร...

 

 

             ทำให้พ่อเร + แม่ รู้ว่า สำหรับลูกสองคน จะให้เหมือนกันนั้น คงไม่ได้ ดังเช่นคำโบราณที่ว่า "ไม้ไผ่ ๑ ลำ ก็คงจะมีสักปล้องที่มันต้องเสีย"...สำหรับพ่อเร + แม่ไม่ได้คิดว่า...ถึงน้องไม่เรียนต่อแล้ว น้องจะเสีย...เพียงแต่น้องเพรียงเลือกอาชีพที่ตนเองถนัดมากกว่า...แม้มันจะเป็นอาชีพที่ไม่โก้ + ไม่หรู แต่มันก็สามารถนำพาเลี้ยงชีพตนเองได้ ถ้าไม่ขี้เกียจ...พ่อเร + แม่ ยังคุยกันต่อว่า ถ้าน้องเพรียงมีประสบการณ์ในการทำนาครั้งนี้ + อีกหลาย ๆ ครั้งแล้ว ในอนาคตน้องเพรียงอาจเป็นเศรษฐีน้อย ๆ นี่เอง เพราะนี่น้องเพรียงเพิ่งจะอายุแค่ ๒๒ ปี ยังใช้ชีวิตอีกมากมายที่จะต้องทำนา ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่น้องได้รับ มันจะเป็นตัวสอนในเรื่องการทำนาของน้องเอง...

 

 

              ทำให้แม่รู้ว่า...ระหว่างพี่ภัครกับน้องเพรียงนั้น การดำเนินชีวิตจะแตกต่างกัน พี่ภัครจะมีประสบการณ์ในเรื่องการเรียน + การทำงานในดงวิชาการ ส่วนน้องเพรียงจะมีประสบการณ์ที่ได้จากการทำนา (การปฏิบัติจริง) และนำผลที่ได้จากการปฏิบัตินั้น มาเป็นครูเพื่อสอนน้องเพรียงว่า ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นในอนาคตแล้วน้องจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร?...มันเป็นปัญหาบนความแตกต่างของแต่ละคน...

 

 

            ในความคิดของน้องเพรียง เคยบอกแม่ว่า...ทำไม? คนเราจึงต้องเรียนสูง ๆ บางคน เพรียงเห็นว่าเรียนจบปริญญาตรีแล้ว เข้าไปทำงานที่ กทม. หรือในเมือง แต่เมื่อคราวน้ำท่วม กทม. โรงงานปิดต้องกลับมาอยู่บ้าน...จะทำนา นาก็ไม่มีจะให้ทำ เพราะพ่อ - แม่ ขายที่นาไปหมดแล้ว และจะทำอะไรกิน...น้องเพรียงบอกว่า...แล้วเรียนสูง ๆ ไปเพื่ออะไร พอแก่เฒ่าแล้วจะทำอะไรกิน เพราะงานที่บริษัทก็ไม่ยั้งยืน...สู้ไม่ต้องเรียนต่อให้แม่เสียเงินในตอนนี้ แต่น้องเพรียงขอทำนาที่พ่อ - แม่ มีก่อน สำหรับการเรียนนั้น พอมีโอกาส เพรียงก็จะเรียนต่อเองแม่...นี่เป็นความคิดของน้องเพรียง ซึ่งก็ค้านกับความคิดของแม่ว่า...ก็ยังอยากให้น้องเรียนต่ออยู่ดี เพราะแม่รู้ว่า "การศึกษาทำให้เรามีความรู้มากขึ้นกว่าเดิม...แต่ก็อยู่ที่เมื่อคนมีการศึกษาเพิ่มขึ้นแล้วจะนำความรู้นั้นมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร?...โดยเฉพาะประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน"...

 

        

              และน้องก็ยังบอกแม่อีกว่า "ถ้าเพรียงไม่ทำนา และทุก ๆ คน คิดว่า เมื่อเรียนจบสูง ๆ แล้ว ก็จะไม่กลับมาทำนา ไปทำงานในเมืองกันหมด...แล้วประเทศไทยเรา ใครจะเป็นคนทำนาล่ะแม่...อาชีพการทำนามันเป็นอาชีพที่น่ารังเกียจนักหรือไง?"

            แม่ได้ฟัง "ก็ทำให้แม่นั่งจุกเลยเหมือนกัน...สำหรับความคิดของน้องเพรียงที่อายุเพียง ๒๒ ปี"...ทำให้เห็นว่า "เป็นความคิดที่เกิดมาบนความแตกต่างกัน"...อาจเกี่ยวกับ "ฐานการคิด" นั่นเอง...แต่ก็ไม่เป็นไร เมื่อยังไม่พร้อมที่จะเรียนต่อ แม่ก็ขอให้น้องเพรียงตั้งใจอย่างเต็มที่ก็แล้วกันสำหรับเรื่องการทำนา...และภาพที่นำมาให้ดูนี้ ก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ให้เห็นว่า "น้องเพรียงมีความตั้งใจจริง จึงทำให้ได้ผลของการทำนามาให้เห็นกัน"...นับเป็นก้าวแรกของน้องเพรียง...

 

 

              แม่ก็ขอฝากคำกลอนที่พ่อเร + แม่ เคยสั่งสอนพี่ภัครและน้องเพรียงไว้เมื่อตอนที่ลูก ๆ ยังเล็ก ๆ ว่า "ต่อให้เจ้าไปอยู่ในที่สูง ๆ แล้วเจ้าก็อย่าลืม...มองดูที่พื้นล่างบ้างว่า...ถิ่นกำเนิดของเจ้าเป็นใคร มาจากไหน?"...

 

 

แต่สำหรับลูก พี่ภัคร + น้องเพรียง...แม่ก็ขอฝากคำกลอนไว้

เพื่อใช้เป็นข้อคิดและเตือนสติของตนเองดังนี้...

 

"ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา

จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว

ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร

แค่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ"

 

รักลูกทั้งสองเสมอ

จาก...

แม่บุษ...

 

อ่านจดหมายถึงลูกทุกฉบับ ได้จากที่นี่...

"จดหมายถึงลูก"

 

 

หมายเลขบันทึก: 480959เขียนเมื่อ 4 มีนาคม 2012 13:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2013 15:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น และสุขใจมากครับท่าน ผอ  เอาเพลงมาฝากนะครับ...

เด็กเป็นเช่นไร   โลกก็เป็นเช่นนั้น

จะนรกสวรรค์   พ่อแม่นั้น  ผู้อำนวยการสร้าง

สร้างโลกผ่านทางเด็ก  ยามเล็กเฝ้าอบรมสั่งสอน

กตัญญูต่อบิดามารดร  อบรมสั่งสอน  ทุกเช้าค่ำ

ฝากโลกไว้กับลูก  ด้วยสายใย  รักพันผูก

โลกขึ้นอยู่กับลูก  จะสร้าง..หรือทำลาย

พ่อสร้างชีวิต  แม่สร้างจิตวิญญาณ

อย่าเป็นเด็กสร้างบ้าน  จงเป็นเด็กสร้างโลก

http://www.youtube.com/watch?v=FAi8kt27QRU

ชื่นชมมากค่ะ ขอให้กำลังใจในการทำสิ่งที่เรารักเช่นนี้

  • ขอบคุณค่ะ อ.นุ Ico48
  • ฟังแล้ว อบอุ่นดีค่ะ...เด็กเป็นเหมือนผ้าขาวจริง ๆ ค่ะ อยู่ที่พ่อ - แม่ จะแต่งแต้มอะไรใส่ไปให้บ้าง...
  • ขอบคุณค่ะ พี่นงนาท Ico48
  • น้องเพรียงขอทำในสิ่งเขารักจริง ๆ ค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจจากทุก ๆ ท่านค่ะ...
  • อ่านแล้วอยากไปทำนา
  • ดูจะมีความสุขมากๆ
  • เอ หรือผมมาผิดทาง...
  • ชอบอันนี้ครับ
  • "ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา

    จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว

    ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร

    แค่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ"

     

  • ค่ะ ดร.ขจิต Ico48 น้องเพรียงเลือกชีวิตด้วยตัวของเขาเอง เพราะคงรู้ว่าเข้าสังคมที่สูงแล้วก็คงสู้ใครไม่ได้ สู้เลือกอาชีพที่เป็นอิสระให้สำหรับตนเองดีกว่า
  • ขยันก็ได้กะตังค์ ถ้าขี้เกียจก็อด...ไม่ต้องมีใครมาว่า ตัวเราเป็นนายเรา ไม่มีใครคอยมาเป็นนาย...ไม่มีใครมาคอยบ่น คอยว่า...ขอแค่มีความสุขใจเท่านั้น
  • การเรียนจบปริญญาเอกได้ก็ดี ดีสำหรับผู้ที่รัก + ชอบ และสามารถนำความรู้นั้นมาใช้เพื่อนำพาชีวิตตนเองได้...เพราะบางคนก็ไม่ใช่เป็นอย่างเช่นอาจารย์ขจิต...
  • แต่คนเราเมื่ออยู่ในสังคมของการทำงาน ก็จะอีกแบบหนึ่ง พบเจอปัญหามากมายที่จะต้องทำให้เราแก้ไขปัญหานั้น ๆ
  • สำหรับน้องเพรียง คงเบื่อปัญหาแบบที่ว่า ก็จะขอเลือกกับอาชีพอิสระนี้...และเขาก็จะพบปัญหาอีกแบบซึ่งไม่เหมือนกับปัญหาในการทำงานของคำว่า "ดงวิชาการ"...พี่ก็ไม่รู้ว่าปัญหาแบบไหนมันจะมากจะน้อยกว่ากัน
  • ค่ะ เป็นคำกลอนที่พี่ฝากไว้ให้กับลูก ๆ...จะไม่บังคับ ไม่ดันทุรัง ให้ลูก ๆ เรียนสูง ๆ ขึ้นอยู่กับตัวเขา ว่าจะตัดสินใจอย่างไร? เพราะปัจจุบันอย่างไร เขาก็ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิตอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นการเรียนรู้ในเรื่องของการดำเนินชีวิตมากกว่าค่ะ...
  • อีกอย่าง การเรียนรู้ในโลกนี้ มีมากมาย เรียนไม่จบ ไม่สิ้น บางครั้งคนเราตายไปแล้วก็ยังเรียนไม่จบเลยค่ะ...
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท