มหาวิทยาลัยวิจัยในต่างประเทศเขาต้องการนักศึกษาแบบไหน นักศึกษาที่มีสมองดี และมีแรงบันดาลใจด้านการเรียนรู้สูงต้องการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแบบไหน และคำถามอื่นๆ ด้านความต้องการของนักศึกษาที่มีความสามารถสูง เป็นเรื่องที่ "มหาวิทยาลัยวิจัย" ไทยต้องศึกษา และเป็นเรื่องที่ สกอ. จะต้อง "บริหารจัดการ" เพื่อให้นักศึกษา ซึ่งเป็นสมองและพลังของประเทศสามารถเลือกเข้าเรียนได้ตรงความต้องการและความถนัดของตน
หนังสือ Henry Rosovsky. The university : An owner's manual. New York : W. W. Norton & Co. 1990 หน้า60 ระบุว่าในสหรัฐอเมริกา มีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย 3,000 แห่ง เพียง 175 แห่งเท่านั้นที่สามารถเลือกนักศึกษาได้ นอกนั้นใครสมัครมาเรียนและมีเงินจ่ายก็รับหมด
สภาพในประเทศไทยในปัจจุบันก็อยู่ในสภาพนั้นแล้ว เพราะจำนวนผู้จบ ม. 6 มีน้อยกว่าจำนวนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยรับได้
มหาวิทยาลัยวิจัยที่มีคุณภาพสูง ควรมีนักศึกษาที่มีลักษณะดังนี้
1. มีนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในสัดส่วนที่สูง และเป็นนักศึกษาบัณฑิตศึกษาที่เน้นการเข้ามาฝึกทำวิจัย ไม่ใช่เพียงแค่มาเรียนเพื่อเอา "กระดาษ"
2. นักศึกษาอยู่ในกลุ่มผู้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง หรือมีความสามารถสูงเด่นเฉพาะด้าน หรือมีแรงบันดาลใจในการเรียนรู้สูง
3. มีความหลากหลายของนักศึกษา เพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถใช้ความหลากหลายนั้นในการจัดกิจกรรมให้นักศึกษามีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อเรียนรู้จากกันและกัน และกระตุ้นการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เรื่องความหลากหลายนี้มองได้หลายแนว เช่นหลากหลายวัฒนธรรม เชื้อชาติ ผิวสี พื้นเพทางภูมิศาสตร์
4. เป็นนักศึกษาที่มีอนาคตดี ที่จะไปเป็นผู้นำในสังคม ทำประโยชน์ให้แก่สังคม และเป็นศิษย์เก่าที่ทำชื่อเสียงหรือสนับสนุนมหาวิทยาลัย
5. เป็นคนดี
มองด้านการเงิน นักศึกษาควรมี 2 ประเภท คือนักศึกษาทั่วไปที่จ่ายค่าเล่าเรียน กับนักศึกษาพิเศษที่มหาวิทยาลัยเชิญเข้ามาเรียนโดยจ่ายทุนสนับสนุน (scholarship) ให้ เพราะนักศึกษาเหล่านี้คือผู้เข้ามาร่วมสร้างบรรยากาศทางวิชาการที่เข้มข้นเอาจริงเอาจัง และสร้างชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัย หรือสร้างชื่อเสียงให้แก่มหาวิทยาลัยในทางอื่น เช่นด้านกีฬา ดนตรี ศิลปะ
ที่จริงเราคิดแบบกำปั้นทุบดินก็ได้ มหาวิทยาลัยวิจัย คือมหาวิทยาลัยที่มีผลงานวิจัยที่มีคุณภาพสูง และจำนวนผลงานมาก เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ คนที่ผลิตผลงานวิจัยคืออาจารย์ (และนักวิจัย) และนักศึกษา
มหาวิทยาลัยวิจัยจึงต้องขวนขวายดึงดูดนักศึกษาที่มีแรงบันดาลใจและสติปัญญาสูงเข้ามาเรียน ต้องมีวิธีดึงดูดคนที่เด่นเป็นพิเศษเข้ามาเรียน วิธีหนึ่งก็คือเสนอทุนการศึกษา (scholarship) ให้ มหาวิทยาลัยจึงต้องสะสมทุนไว้ใช้จ่าย "ลงทุน" เพื่อการนี้ และต้องมีวิธีทำให้การลงทุนนี้ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า
วิธีดึงดูดเด็กอัจฉริยะเข้ามาเรียนไม่ได้มีเฉพาะการให้ทุนการศึกษา แต่ยังมีอีกสารพัดวิธีการ และมหาวิทยาลัยไทยก็ต้องคิดยุทธศาสตร์เพื่อการนี้เอาเองให้เข้ากับบริบทไทย แรงดึงดูดที่สำคัญคืออาจารย์ที่มีชื่อเสียง ผลงานวิจัยที่มีน้ำหนักสูงและเป็นที่เลื่องลือ และโครงการวิจัยที่มีชื่อเสียงที่นักศึกษาสามารถเข้าไปเป็นทีมงานได้ เป็นต้น
ที่จริงคิดแบบกำปั้นทุบดินนี่ง่ายดี และถูกทุกทีด้วย มหาวิทยาลัยวิจัย ก็ต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่เชิดชู ให้คุณค่า ผลงานวิจัย โครงการวิจัย อาจารย์ที่เด่นด้านวิจัย และนักศึกษาที่มีศักยภาพจะเข้ามาร่วมทำวิจัย
แต่เอาเฉพาะเรื่องวิจัยเรื่องเดียวก็ไม่ได้ ไม่สมดุล มหาวิทยาลัยต้องสามารถให้นักศึกษาได้เรียนรู้แนวกว้างด้วย จึงต้องมีนักศึกษาที่มีสติปัญญาสูงในระดับที่ไม่ใช่อัจฉริยะด้วย และมีนักศึกษาที่เด่นในการสร้างสรรค์แบบอื่นที่ไม่ใช่การวิจัยด้วย
มหาวิทยาลัยวิจัย เขามักดูแลนักศึกษาระดับปริญญาตรีให้เป็นคนที่พัฒนารอบด้าน ไม่ใช่เฉพาะด้านการวิจัย ดังนั้นเขาจะมีวิธีพัฒนาความสามารถด้านต่างๆ และกล่อมเกลาจิตใจด้วยหลากหลายวิธี ความมีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยอย่างฮาร์วาร์ด อ๊อกฟอร์ด เคมบริดจ์ อยู่ที่การเรียนการสอนแบบ ลึก เข้มวิชาการ และพัฒนาสติปัญญารอบด้านด้วย
มองในด้านนักศึกษา มหาวิทยาลัยวิจัยต้องแข่งขันกันดึงดูดนักศึกษาที่มีสติปัญญาดี และเป็นคนดี คนมีแรงบันดาลใจ เข้ามาเรียน มหาวิทยาลัยเหล่านี้ต้องสร้างความเข้มแข็งด้านการวิจัย และชื่อเสียงด้านอื่นๆ ของตนขึ้นมาดึงดูดนักศึกษาเหล่านี้
หน่วยงานที่มีหน้าที่บริหารอุดมศึกษา ต้องมีสารสนเทศให้บริการแก่สังคมวงกว้างว่ามหาวิทยาลัยแห่งใดมีความเข้มแข็งด้านการวิจัยเป็นอย่างไร เด่นด้านไหน เพราะมหาวิทยาลัยวิจัยไม่จำเป็นต้องเด่นทุกสาขาวิชา และต้องสร้างกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เด็กที่มีความสามารถพิเศษในด้านต่างๆ ได้ปรากฎตัวออกมา เพื่อให้มหาวิทยาลัยไปเชื้อเชิญมาเรียนโดยให้ทุนการศึกษา
สกอ. ต้องทำงานใหญ่ด้านการทำ "เหมืองปัญญา" (talent mining) คือขุดหาคนมีสติปัญญาพิเศษ เอามาเข้าระบบอุดมศึกษา เพื่อเปลี่ยน "สินทรัพย์ปัญญา" (talent assets) ไปเป็น "ทุนปัญญา" (intellectual capital)
นอกจาก สกอ. แล้ว หน่วยงานสนับสนุนการวิจัย ต้องมีทุนการศึกษา (scholarship) สำหรับดึงดูดเด็กที่มีสมองดี ไปฝึกฝนเป็นนักวิจัย โดยมองว่าสังคมต้องมีนักวิจัยจำนวนหนึ่งสังคมจึงจะก้าวหน้า ถ้าไม่มีระบบดึงดูดคนที่สมองดีไปเป็นนักวิจัย คนเหล่านี้ก็จะถูกกระแสสังคมดึงดูดไปทำงานที่รายได้ดีและงานเบาเสียหมด สังคมก็จะอ่อนแอ
จะเห็นว่าสังคมต้องการมุมมองต่อนักศึกษาในลักษณะของ talent assets และมองชีวิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเป็นผู้สร้าง ไม่ใช่ผู้เสพ ซึ่งต่างจากวิธีคิดในสังคมไทยปัจจุบัน
วิจารณ์ พานิช
๒ กย. ๔๙
ไม่มีความเห็น