อาจารย์ประพนธ์ค่ะ ดิฉันขอเสนอแนวคิดต่อยอดบันทึกนี้ค่ะ ในฐานะที่ดิฉันเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ดิฉันมีความคิดเห็นว่า อาชีพอาจารย์ยังคงเป็นอาชีพที่มีความอิสระค่อนข้างชัดค่ะ คือ ไม่ว่าจะสอน ไม่ว่าจะทำวิจัย ก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นมากมายนัก เป็นนักคิดเป็นนักเขียนเป็นหลักจะว่าอย่างนั้นก็ได้
ดังนั้น หากจะให้ครูบาอาจารย์หันมาใช้ KM นั้น อาจจะเน้นที่ "Personal KM" ของแต่ละท่านค่ะ เช่น เน้นเรื่องการบันทึกความรู้ประสบการณ์ ให้มากเข้าไว้ เช่น นำเสนอและร่วมแลกเปลี่ยนเรื่องเทคนิคต่างๆ ในการบันทึกความรู้ อันจะช่วยให้เกิดเป็น ตำราเรียน เอกสารวิจัย เอกสารประกอบการสอน บทความ ได้โดยสะดวกและรวดเร็ว เป็นต้นค่ะ
ส่วนการจะเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้นั้น คงต้องมาเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรกันขนานใหญ่ค่ะ ขอบคุณค่ะ
ขอขอบคุณท่านอาจารย์ประพนธ์...
อ.คะ หนูพยายามอ่าน ค่ะแต่ตัวเล็กมากจริงๆ ค่ะ
ขอโทษจริงๆ ครับ ...ผิดพลาดทางเทคนิค (อีกแล้ว!!) ...คราวหน้าจะระมัดระวังยิ่งขึ้น ...จะไม่เชื่อ Technology จนเกินไป (....โทษเทคโนโลยีซะนี่ ทั้งๆ ที่เป็น "คน" ที่ทำพลาด!!)
ในส่วนของผู้ที่อาจารย์เคยมาให้ความรู้ถ้ามีโอกาสมาตามดมตามชมและเติมในส่วนที่ขาดก็จะเป็นพระคุณมากค่ะ การทำKMมีปัจจัยค่อนข้างมากเพราะมันเริ่มจากการให้ ให้ความรู้ (ต้องรักถึงจะให้) ให้เวลาและประสบการณ์ที่เคยเรียนรู้ เคยอ่านของอาจารย์วิจารณ์ที่จะให้เด็กๆมาshare เวลาทำจริงๆถ้าผู้บริหารเก่าๆที่มีวัฒนธรรมในการสั่ง ถ้าไม่สั่งอย่ามาเสนอทำให้เด็กติดกับวัฒนธรรมแบบนี้ ขี้เกียจคิดค่ะ
ดิฉันเห็นด้วยกับอาจารย์นันทวันค่ะที่กลุ่มอาจารย์อาจจะได้ความรู้จากอาจารย์ในพลังของการจด บันทึก ทำให้พัฒนาตัวเองขึ้นมา
การเป็นLO ต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมมากเลยค่ะ
หลักคิดว่า KM ต้องไม่เรียนแบบเสพอย่างเดียว ผมได้ฟังได้อ่านมาจาก สคส. และเห็นด้วยกับหลักคิดดังกล่าว และสามารถนำหลักคิดไปเผยแพร่นำไปสู่การปฏิบัติจริงขยายออกไปในวงกว้างในองค์กร
หากครั้งแรกไม่ได้ฟังบรรยายจาก อาจารย์คงต้องอาศัยเวลาอีกมากกว่าจะค้นพบสื่งที่ สคส.ได้ค้นพบไว้นานแล้ว ผมจึงเห็นว่า สคส.ควรจัดบรรยายต่อไปเพื่อให้หลักคิด KM ไม่มุ่งเรียนรู้แบบ "เสพ" อย่างเดียวต้องหัดนำไปปฏิบัติทดลองเรียนรู้ด้วยตนเองได้ขยายออกไปได้อย่างรวดเร็ว
การบรรยายยังจำเป็นสำหรับการเรียนรู้แบบไทยที่ถูกปลูกฝังในการเรียนการสอนมาตั้งแต่ชั้นประถมเรื่องใดครูยังไม่ได้สอนห้ามทำต้องรอให้ครูสอนก่อน
แต่ไม่ได้เห็นด้วยกับการมุ่งเน้นฟังบรรยายเพื่อหาความรู้โดยไม่ลงมือปฏิบัติ เห็นว่าควรจัดบรรยายในช่วงเริ่มต้นเพียงครั้งสองครั้งเพื่อประคองพอให้เดินเองได้ ตรงแนว โดยไม่ต้องลองผิดลองถูก
ถ้าอาจารย์ไม่รับบรรยายน่าจะเปลี่ยนเป็นจัด workshop โดยให้คนในหน่วยงานนั้นๆ เป็นผู้ร่วมจัด
ใช้เวลามากกว่าแต่น่าจะได้เรียนรู้ และได้แกนในหน่วยงานนั้นๆ
จากยุคสมัยของการบริหารงานนโยบายจากข้างบนลงสู่ข้างล่าง(top down) เป็นจากข้างล่างขึ้นสู่ข้างบน(bottom up) ผมของเสนอว่า การบรรยายของอาจารย์นั้นเป็นเพียงการชี้ทาง หรือแนวทาง นั่นเป็นส่งที่อาจารย์ทำได้ แต่ที่อาจารย์ทำไม่ได้ก็คือ ทำอย่างไรจะให้ผู้ฟังบรรยาย หรือหน่วยงานที่ฟังบรรยายนั้นนำเรื่องที่ฟังไปสู่การปฏิบัติจริง
จนกว่าจะเกิดความตระหนัก หรือเห็นความสำคัญของการปฏิบัติจึงก่อให้เกิดการกระทำ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการตอบสนองอยู่สองทาง คือ ไม่ปฏิบัติตาม และปฏิบัติตาม จาก thinking นำไปสู่ action แต่ล่ะคนไม่เหมือนกัน
และนั่นไม่ใช่ความล้มเหลวของอาจารย์หรือของหน่วยงาน หากวันนี้อาจารย์หยุดที่จะชี้ทาง แล้วเมื่อไหร่ คนอื่นจะรู้ทาง
หากวันนี้อาจารย์สามารถที่จะพาหน่วยงานหรือองค์กรเดินตามทางได้ หากหน่วยงานหรือองค์กรไม่เห็นความสำคัญ หรือยังไม่ตระหนัก ผมไม่คิดนะครับว่า เขาอยากจะเดินทางนั้น
หากเกิดความตระหนักในการจัดการความรู้หรือแนวทาง แม้ว่าหากต้องเดียวคนเดียว หรือไม่มีใครไปด้วยแล้ว เราก็จะเดิน (อาจจะเหมือนกันหน่วยงานของอาจารย์ หรือเปล่า)
อาจารย์ประพนธ์คะ
ตกข่าวมากครับ ไม่ทราบมาก่อนจริงๆ จนพี่เล็กพูดถึงว่า อ. เคยมาบรรยายที่บำราศมาก่อน
ผมไม่แน่ใจครับว่าการทำ KM ต้องทำมากแค่ไหนจึงจะเรียกว่าสำเร็จ
ทุกวันนี้ได้แค่ สุ จิ ปุ ลิ ก็ยังทำครบบ้างไม่ครบบ้างเลยครับ
แต่สิ่งที่ทำให้ผมหันมาสนใจอ่านและติดตาม คือ
ผลประโยชน์ต่อตัวเราครับ+กำลังใจ+ความเชื่อมั่นในการทำครับ
ไม่ทราบว่าพอเป็นประโยชน์ได้ไหมครับ
พลัง KM ที่จะทำให้เกิด LO ได้นั้นต้องเป็น "ไตรพลัง" คือเป็นพลังที่มาจากทั้ง 3 ระดับครับ 1. ระดับองค์กร (Shared Vision, Leadership, Knowledge Asset, etc.) 2. ระดับทีม (Team Learning, Knowledge Sharing, blog, etc.) และ 3. ระดับปัจเจก (สุจปุลิ, ไตรสิกขา, อิทธิบาทสี่, ect.)
ขอชื่นชมกับทางบำราศที่มีความก้าวหน้าทั้งสามระดับที่ว่านี้ครับ
อาจารย์ประพนธ์คะ
ดิฉันอยู่หน่วยงานสถาบันการศึกษาและพัฒนาต่อเนื่องสิรินธร ซึ่งเป็นหน่วยงานส่วนกลาง ทำหน้าที่ในการพัฒนาบุคลากรการศึกษานอกโรงเรียน เริ่มเดิมที ดิฉันไม่เข้าใจเรื่องการจัดการความรู้ หรือ KM เลย ได้อ่านหนังสือ "การจัดการความรู้ ฉบับมือใหม่หัดขับ" ที่อาจารย์เขียน ยอมรับว่าเขียนดีมาก ๆ ทำให้มีความรู้เรื่องการจัดการความรู้มากขึ้น และในเดือนมิถุนายน 2549 ได้ร่วมกับสถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา (สคบศ.) จัดอบรมเรื่องการจัดการความรู้ให้กับผู้บริหารและบุคลากร กศน. ทั่วประเทศ โดยใช้หนังสือ "การจัดการความรู้ ฉบับมือใหม่หัดขับ" เป็นแนวทางให้ผู้เข้าอบรมได้ศึกษาล่วงหน้าก่อน การอบรมเป็นไปด้วยดีพอสมควร มีเรื่องเล่ามาเล่าสู่กันฟังอย่างมากมาย แต่สิ่งที่ได้จากเรื่องที่เล่าไม่แน่ใจว่าเป็นขุมความรู้หรือไม่ แต่ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จไปในระดับหนึ่ง วัดจากความพอใจของผู้เข้าอบรม
ดิฉันชื่นชมและประทับใจในงานของอาจารย์มาก ติดตามอ่าน Blog ของอาจารย์มาตลอด (รู้เรื่อง Blog นิดหน่อย) ในงานแถลงข่าวมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติครั้งที่ 3 ที่ สกว. ในวันที่ 10 ตุลาคม 2549 กศน.มีโอกาสได้ร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย พวกเราดีใจที่จะเห็นตัวจริงของท่านอาจารย์ รวมทั้ง นพ.วิจารณ์ พานิช ด้วย ก็แอบชื่นชมในใจ เมื่อมาอ่านประสบการณ์ที่อาจารย์ไปเป็นวิทยากรจากหลายที่มาแล้ว ทำให้ได้ประโยชน์สำหรับตัวดิฉันมาก ดิฉันก็ได้รับมอบหมายให้ไปเป็นวิทยากรให้ความรู้เรื่องการจัดการความรู้ให้กับหน่วยงาน กศน.หลายจังหวัด ซึ่งจากประสบการณ์ที่เป็นวิทยากร ไปบรรยายอย่างเดียว คนฟังนั่งฟังตาใส แต่เข้าใจอย่างลึกซึ้งหรือไม่ก็ไม่ทราบ จึงใช้วิธีการใหม่ ดิฉันและเพื่อนจึงใช้ VCD ของ รพ.บ้านตาก เป็นสื่อการอบรม เปิดให้ชมก่อน แล้วร่วมกันอภิปรายเรื่องราวใน VCD ทำให้เขามองเห็นภาพชัดขึ้น และกระตุ้นให้เกิดคำถาม จากนั้นจึงเชื่อมโยงเรื่องการจัดการความรู้กับงาน กศน. ซึ่งก็ได้ผลพอสมควร
คราวหน้า ดิฉันจะขอมาแลกเปลี่ยนความรู้กับอาจารย์อีกนะคะ