ดิฉันเข้ามาสัมผัสกับ KM เพราะได้รับการมอบหมายจากหัวหน้ากลุ่มนิเทศ ติดตามฯ ท่านหน.ลำดวน ไกรคุณาศัย ซึ่งท่านเองก็ได้รับมอบหมายจากท่านอนุสรณ์ ฟูเจริญ ผอ.สพท.สพ.2 ของเรามาอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นการรับหน้าที่ให้เป็นผู้ประสานการขับเคลื่อน KM จึงเกิดจากการปฏิบัติตามคำสั่ง และมารู้ทีหลังว่าบทบาทที่ตัวเองได้รับในครั้งนี้ เขาเรียกว่า “คุณอำนวย” นั่นเอง ซึ่งหลายครั้งตัวเองต้องทำหน้าที่ “คุณลิขิต” ด้วย
ในครั้งแรกที่ ผอ.อนุสรณ์ พาพวกเราอีก 6 ท่านไปร่วมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในงานมหกรรมการจัดการความรู้ ครั้งที่ 2 ของ สคส. เมื่อเดือนธันวาคม ปีที่แล้วมานั้น ดิฉันก็พอจะมองภาพเค้าลางของ KM ได้บ้าง
เมื่อกลับมาที่ทำงานแล้ว ก็ยังงง ๆ และไม่ชัดเจนว่าเราจะพาเพื่อนพ้องในสำนักงานและบรรดาโรงเรียนที่เขตฯ ของเราดูแลอยู่ให้ทำ KM กันอย่างไร รวมถึงไม่มีความมั่นใจว่าจะพาเขาทำ KM กันได้
แรก ๆ ดิฉันก็ใช้หลาย ๆ วีธีที่จะช่วยสร้างความชัดเจนและความมั่นใจให้กับตัวเอง คือ
วิธีแรก อ่านหนังสือ + ดู VCD ของ สคส. เพื่อศึกษาหลักการ รูปแบบ เทคนิค ฯลฯ ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับ KM ก็ได้เรียนรู้ระดับหนึ่งแต่ยังไม่ถึงใจ เพราะไม่รู้ + ไม่แน่ใจว่าในทางปฏิบัติจะทำอย่างไร
วิธีที่สอง จึงขอลงทะเบียนไปเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการประชุมที่ สคส. เป็นผู้จัด หรือ ที่มีคนของ สคส. ไปร่วมจัด เพื่อไปสังเกตการใช้เครื่องมือในวง KM คือ storytelling จากการเข้าร่วมพูดคุยกับ กศน. ที่โรงแรมกานต์มณี สุนทรียสนทนา จากการเข้าร่วมสัมมนา OSHO กับ ดร.ประพนธ์ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ และเรียนรู้ AAR จากทุกเวที
วิธีที่สาม คือเราไปขอสังเกตการณ์กับ มูลนิธิข้าวขวัญ (มขข.) กัลยาณมิตรที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับเรา เขาจัดการความรู้กับชาวนา....พวกเราจัดการความรู้กับครู....ครูจัดการความรู้กับนักเรียน จึงไม่เหนือบ่ากว่าแรงที่เราจะเชื่อมโยงนำวิธีการที่ มขข.ใช้ ไปใช้กับพวกเรา
วิธีที่สี่ เราต้องการตอกย้ำความชัดเจนและความมั่นใจให้มากขึ้น จึงได้ติดต่อพี่จิ๋ม ผู้จัดการของ มขข.จัด workshop ให้เรา ซึ่งเขตฯ อนุมัติให้ดิฉันได้พาครูและศึกษานิเทศก์ไปร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กินนอนค้างคืนขลุกอยู่กับ มขข. สามวัน มารู้ทีหลังว่าวิธีนี้เข้าข่าย peer assist ซึ่งในครั้งนั้นตัวเองได้เรียนรู้กระบวนการพาทำ KM มากที่สุด
วิธีที่ห้า เป็นวิธีเรียนเสริมหรือกวดวิชา คือเข้าไปเรียนรู้จากประสบการณ์ KM ของผู้คนใน gotoknow ซึ่งตัวเองใช้บล็อกมาได้ 4 เดือนล่วงเข้าเดือนที่ 5 แล้ว ทำให้สามารถเรียนรู้แบบเรียนลัด และประหยัดเงิน (ลงทะเบียน) ประหยัดเวลา (เดินทาง) สำหรับตัวเองนั้นรู้สึกว่าถ้าจะเรียนรู้จากวิธีนี้ได้ไวควรผ่านวิธีข้างต้นมาก่อนจะดี...แต่สำหรับคนอื่นอาจไม่จำเป็น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิธีเรียนรู้ที่เหมาะสมกับแต่ละคน
วิธีที่หก เป็นวิธีควบคู่ไปกับการเรียนรู้ การปรับปรุง การพัฒนา นั่นคือ การใช้เวทีของโรงเรียนที่เชิญเราไปช่วยพาพวกเขา KM เวทีนี้สนุกมากเพราะเป็นประสบการณ์จริงของเรา ยิ่งเราพา KM บ่อยเท่าไร เราจะยิ่งชำนาญขึ้นเท่านั้น
หลาย ๆ วิธีที่เหล่านั้นยังไม่รวมถึงการได้รับแรงเสริม หรือกำลังใจอื่น ๆ อีก นั่นคือ
1. การเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการทีมแกนนำนักจัดการความรู้ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาขั้นพื้นฐานกลุ่มเป้าหมาย โครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรทางการศึกษาด้วยการจัดการความรู้ ซึ่งเรามีโอกาสเข้าร่วมในโครงการที่เราเรียกชื่อสั้น ๆ ว่า edkm นี้ ซึ่งครั้งนี้ทำให้เรากระจ่างชัดในเรื่องการสกัด "ขุมความรู้" ให้เป็น "แก่นความรู้" การใช้ตารางแห่งอิสรภาพ ธารปัญญา และบันไดแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งตอนแรกตัวเองงง ๆ อยู่กับสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ไม่ใช่รู้แล้วเราจะนำเครื่องมือทั้งหมดของ สคส.ไปใช้ จะใช้วิธีการไหน เครื่องมือใดต้องดูกลุ่มที่เราไป workshop ก่อน
2. การได้รับคำชมและคำแนะนำจากท่านอาจารย์วิจารณ์ ใน บล็อกของอาจารย์เมื่อวันที่ 11 ก.ค.49 เรื่อง เยี่ยมชมแพลนเน็ต KM โรงเรียน อันเป็นการเสริมแรงให้เราเรียนรู้ KM ให้มากขึ้น และพยายามเรียนรู้ให้ลึกลงไปเรื่อย ๆ
3. การได้รับคำชมและข้อเสนอแนะจาก ดร.เลขา ปิยะอัจฉริยะ หัวหน้าทีมวิจัยของ edkm ที่ท่านดูแลพวกเราอยู่ ทำให้เรามีกำลังใจในการขับเคลื่อนขยายผล KM ให้เข้มแข็งมากขึ้น
4. ล่าสุดได้รับการติดต่อจาก “คุณหญิง” ของ สคส.ให้ช่วยหาคนเขียนข้อมูลเพื่อลงจดหมายข่าวของ สคส. ซึ่งกำลังจะเตรียมเนื้อหา KM ภาคการศึกษา ลงเป็น theme ของฉบับ ตัวเองอาจหาญขอลองเขียนเอง อันนี้ถือเป็นแบบฝึกหัดที่ท้าทายทีเดียว ซึ่งตัวเองจะพยายามทำให้ดีที่สุด
วันนี้ได้เรียนรู้ว่า การฝึกฝนตนเองนั้นต้องไม่หยุดนิ่ง มี “โอกาส” ที่จะช่วยฝึกทักษะให้เราเมื่อไรต้องรีบคว้าไว้…ถ้าไม่มี “โอกาส” ผ่านมา ต้องหมั่นสร้าง “โอกาส” ให้ตัวเอง ลงมือปฏิบัติบ่อย ๆ ทักษะจะเกิด....ความชัดเจนและความมั่นใจที่เราถามหาตอนแรกจะเกิดขึ้นตามมาโดยปริยาย
ต่อไปข้างหน้าการเรียนรู้ของตัวเองที่จะเป็น “คุณอำนวย” และ “คุณลิขิต” น่าจะไม่ได้อยู่เพียงหกวิธีเท่านี้ จะเป็นวิธีใดต่อไปนั้นตัวเองต้องติดตามตัวเองต่อไป...
อ่านแล้วได้ความรู้มากเลย กระผมเองได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องKM แค่ครั้งเดียวเองครับที่โรงแรมคุ้มสุพรรณ เออ ลืมไปครับ อบรมเรื่อง blog ใน gotoknow.org 8 พฤษภาคม 2549 งงมากเลย ทำบล็อกเพื่ออะไรตอนนั้นสมองมันต่อต้านมากเลย มันเลย delete ทิ้งหมด เพราะอาจารย์โอฬาร ไม่ได้พูดจูงใจเลย เพิ่งมาพอเห็นแนวทางเมื่อ 15 16 17 มิถุนายน 2549 บ้างเลาๆ
ช่วยให้ความเห็นกับหัวข้อนี้หน่อยครับ ขอบพระคุณ
What if มีคนบอกว่า KM เป็น FAD ผมจะเถียงเขาอย่างไรดี KM ที่ทำเพราะถูกสั่ง ไม่ได้เกิดจากใจ ไม่เปิดหู-เปิดตา-เปิดใจ เรียกว่าหลับหูหลับตาทำกันไป KM นั้นเป็น FAD แน่นอน
เมื่อไรที่เราเริ่มเปิดหู-เปิดตา-เปิดใจ เราจะเริ่มสัมผัสกับ KM ที่แท้จริง เริ่มซึมซับกับวัฒนธรรมของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเริ่มชอบใจในการใช้ KM เป็น Tool ไม่สนใจว่าใครจะสั่งให้ทำ เราทำ KM เพราะเห็นประโยชน์เราจะได้ KM แท้ที่ไม่ใช่ไฟไหม้ฟางค่ะ
ในความเห็นของตัวเอง KM เทียม เป็น FAD ค่ะ แล้วพี่บัวมีความเห็นว่าอย่างไรคะ