หนึ่งหมื่นห้า ความหวังประเทศไทย ปัญญาชน และคนมีความสามารถ


ประเทศไทยเรามีทรัพยากรที่สูงค่าทั้งคนและวัตถุดิบ เชื่อเป็นอย่างยิ่งค่ะว่า..สักวันเราจะได้เป็นมหาอำนาจในด้านใดด้านหนึ่ง...ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทยทุกคนค่ะ

  นโยบายปรับเงินเดือน 15000 บาทสำหรับข้าราชการจบปริญญาตรี ดูเหมือนเป็นความหวังสำหรับผู้คนวัยอุดมศึกษาทุกคน และข้าราชการที่ผ่านพ้นการสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีมาแล้ว  ในฐานะของเจ้าของประเทศไทยคนหนึ่งที่มิได้สนับสนุนพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากการชื่นชอบและต้องการให้นโยบายที่ดี ของแต่ละรัฐบาลเกิดขึ้นจริง และมิได้เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของพรรคการเมืองใด  นึกภาวนาอยากให้นโยบายนี้สำเร็จ และบังคับใช้โดยเร็ว  เนื่องจากได้ลองบวกลบคูณหารถึงคุณประโยชน์ เปรียบเทียบกับผลเสียแล้วพบว่าอย่างแรกมีเหนือกว่าเยอะ 

        เริ่มตั้งแต่ หากนโยบายนี้เริ่มต้นใช้กับข้าราชการจริง  นักศึกษาปริญญาตรีหลายคน คงเริ่มมองงานข้าราชการด้วยความรู้สึกใหม่ๆ จากที่เคยคิดว่างานข้าราชการไม่พอกิน ทำงานเอกชนหรือบริษัทข้ามชาติดีกว่า ทำให้เราสูญเสียสมองและกลไกที่สำคัญของชาติไปไม่ใช่น้อย หน้าที่ต่อไปของหน่วยงานราชการก็คือ การคัดเลือกคนเข้ารับราชการที่มุ่งเน้นสมรรถนะ ความรู้ ความสามารถจะบรรลุผล   หากลองพิจารณา ที่ผ่านมาเด็กไทยเราได้รับรางวัลชนะเลิศด้านการประดิษฐ์หุ่นยนต์ช่วยชีวิตติดต่อกันหลายปีซ้อน หากคำนวนต้นทุนการผลิดแล้ว  ถูกกว่าการสั่งซื้อเครื่องตรวจระเบิด และการเสี่ยงชีวิตของผู้กู้ระเบิดในปัจจุบันหลายเท่า และหากมีการคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการที่โปร่งใส ลดระบบอุปถัมภ์ เท่านี้เราก็จะมีข้าราชการที่ดีและเก่งมาทำงานเพื่อประเทศชาติอีกเป็นจำนวนมาก

        การปรับเงินเดือนให้แก่ผู้จบใหม่ย่อมส่งผลไปถึงผู้ที่ทำงานอยู่ก่อน เกิดผลดีทางด้านสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความสามารถในการพัฒนาตนเองมากขึ้น เช่น มีโอกาสศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น และที่สำคัญ โอกาสในการคอรัปชั่น หรือการใช้ประโยชน์แฝงก็จะน้อยลง เกิดผลดีต่อประชาชนและเพิ่มความเป็นธรรมในการให้บริการ และหากลองเปรียบเทียบเม็ดเงินดูแล้ว ลองนำเงินที่จ้างข้าราชการปริญญาตรี ทั้งประเทศมารวมกัน คงไม่หนีกับเม็ดเงินการขึ้นเงินเดือน 5 % ของระดับบริหารทั้งประเทศรวมกันก็เป็นได้

      สำหรับบริษัทเอกชนในปัจจุบัน ก็เริ่มต้นจ้างพนักงานจบปริญญาตรีด้วยราคาจำนวนนี้ และสามารถคัดเลือกผู้มีความสามารถสูงสุดอยู่แล้ว ท่านที่ห่วงเรื่องเงินเฟ้อนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของระบบเศรษฐกิจค่ะ ตราบใดที่เราไม่ปล่อยให้เกิดการผูกขาด ผู้บริโภคย่อมมีทางเลือก เช่น หลายคนเคยกลัวว่าบริษัท AIS จะผูกขาดระบบสื่อสารด้านโทรศัพท์มือถือ แต่ปัจจุบันผู้บริโภคอย่างเราสามารถเปลี่ยนค่ายการให้บริการได้ไม่จำกัดทั้งที่ยังใช้หมายเลขเดิม

      เลยมาถึงค่าแรงขั้นต่ำ การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็นจำนวนเงิน 300 บาทนั้น หากมองในมุมลูกจ้างย่อมได้ประโยชน์แน่นอน และหากมองในมุมเจ้าของกิจการนั้นอาจมีผลดีมากขึ้น เพราะรัฐบาลเองก็มีนโยบายลดภาษีให้แก่กิจการ  แต่กิจการมีโอกาส เลือกคนทำงานที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้นเช่นกัน บางทีอาจใช้จำนวนคนน้อยกว่าเดิม  อย่าไปกลัวค่ะ ว่าแรงงานต่างชาติจะเข้ามาแย่งอาชีพคนไทย ทุกวันนี้คนไทยเองต่างหากที่เลือกงาน เกี่ยงงาน เพราะว่าค่าแรงถูก ทำให้ต้องหันไปใช้แรงงานต่างชาติ  ส่วนคนไทยที่เก่งๆมีความสามารถ มีฝีมือกลับไปขับวินมอเตอร์ไซค์ แทนที่จะช่วยกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดี มีคุณค่า ถึงแม้ว่าราคาสินค้าในบ้านเราจะสู้มหาอำนาจอย่างจีนไม่ได้ เรายิ่งต้องเน้นการพัฒนาสินค้าและคุณภาพเพื่อหนีให้ไกลกับคู่แข่งด้านราคา  ประเทศไทยเรามีทรัพยากรที่สูงค่าทั้งคนและวัตถุดิบ เชื่อเป็นอย่างยิ่งค่ะว่า..สักวันเราจะได้เป็นมหาอำนาจในด้านใดด้านหนึ่ง...ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทยทุกคนค่ะ

หมายเลขบันทึก: 448757เขียนเมื่อ 12 กรกฎาคม 2011 19:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

มองโลกในแง่ดีซะเหลือเกินนะแม่คุณ ทางนี่ปูไปด้วยกลีบกุหลาบ

สั้นๆนะครับ

วิญญูชนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เป็นประชานิยมที่หลอกลวงประชาชน ตามวิสัยเดิมของคนในพรรคนี้

ดีด้วยครับ ขอให้ทำได้สำเร็จ และเป็นผลดีต่อประเทศดังว่า เถอะครับ

แต่หากเป็นไปไม่ได้ ก็ขอให้รวมตัวกันทักท้วง และจำไว้ว่า

พรรคนี้เปลี่ยนชื่อ แต่หลอกลวง อีกครั้งหนึ่งแล้ว 

ดิฉันเป็นพนักงานครูเทศบาลมา 7 ปี รับเงินเดือน 11,930 บาท ไม่ได้รับการปรับเงิน 8 % ถ้าบัณฑิตจบใหม่รับราชการได้รับเงินเดือน 15,000บาท แล้วครูกล่มเดียวกับดิฉันจะเอาอะไรที่ไหนมาซื้อกินล่ะคะ

สวัสดีค่ะคุณครู Kathy

ขอบคุณที่ร่วมแสดงความคิดเห็น ตามหลักการแล้ว ถ้าจะขึ้นเงินเดือนตามวุฒิจริงๆ ก็ต้องหมายรวมถึงทุกคนที่จบวุฒิปริญญาตรี(กรณีไม่ได้จำกัดเฉพาะสาขาวิชา) ค่ะ นั่นคือถึงคุณครูจบก่อนก็ต้องมีสิทธิ์ได้ปรับฐานเงินเดือนเหมือนกัน คิดว่าถ้าปรับเฉพาะผู้จบใหม่ คนที่มีกรณีเดียวกันกับครูkathyต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน แต่ล่าสุดกรมบัญชีกลางให้ข้อเสนอว่าจะปรับค่าครองชีพจาก 11700 เป็น 15000 บาท เพราะค่าใช้จ่ายจำนวนนี้จะลดลงเรื่อยๆ จนกว่าเงินเดือนจะปรับจนถึงราคา 15000 บาท ซึ่งงบประมาณเงินค่าครองชีพ จะได้ถูกใช้ประโยชน์อย่างอื่นในโอกาสหน้า รอนิดนึงค่ะ หากไม่ได้รับความเป็นธรรมคงมีคนเรียกร้องแน่นอนค่ะ

ถ้าปรับเงินเดือนเฉพาะคนจบ ป.ตรีใหม่ หรือเพิ่มค่าครองชีพ เป็น 15000 ก็แสดงว่าเลี่ยงบาลี คนทั้งประเทศถูกหลอก ยุบสภาเมื่อไหร่ ให้ประชาธิปัตย์อยู่เฉยๆ คะแนนจะเทมาเอง เพราะดีแต่หาเสียงรู้ว่าทำไม่ได้แต่แรก แกล้งใช้คำที่คลุมเครือ ข้าราชการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งหลาย ประชาชนที่ถูกหลอกให้รอวันตัดสินเมื่อยุบสภา แล้วให้บทเรียนที่สาสมแก่นักการเมือง ให้เขาได้สำนึกไว้ ไม่ใช่ดีแต่ปาก อันนี้ไม่ได้เชียร์พรรคใดเป็นพิเศษ แต่ถ้าทำได้ สมัยหน้าเพื่อไทยไม่ต้องขึ้นป้ายหาเสียงก็ฟอร์มรัฐบาลได้เลย เพราะฉะนั้นมาถึงตอนนี้พรรคเพื่อไทยต้องสู้กับตัวเอง ไม่ต้องกลัวเรื่องงบประมาณสองแสนล้านที่จะต้องใช้เพิ่มขึ้น เพราะเงินจำนวนนี้ ตามหลักเเล้ว รัฐจะได้คืนในรูปภาษี ร้อยละ 5 ซึ่งก็หมายถึง หนึ่งหมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือสามารถไปเอากับภาษีบาป และได้เวลาแล้วรึยังกับภาษีที่ดินและมรดก ย้ำว่าให้มีผลกระทบกับคนรวยผู้ปล่อยที่ดินและมรดกให้รกร้างว่างเปล่า ไม่ช่วยก่อประโยชน์ในทางเศรษฐศษสตร์ให้กับชาติ แต่ทั้งหมดทั้งมวลไม่เท่าการหยุดวงจรทุจริต เมื่อข้าราชการมีรายได้ที่ชอบที่จูงใจ จะมีคนแก่งเข้าสู่ภาคราชการมากขึ้น ข้าราชการไม่ต้องยอมนักการเมืองในเรื่องทุจริต เพราะลำพังเงินเดือน ถ้ารู้จักใช้จ่ายก็อยู่ได้ และอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง สักแต่ว่านักการเมืองนั่นแหละนกรู้ ไม่อยากให้ข้าราชการอยู่ได้ ตัวเองจะลำบาก รู้ทั้งรู้ว่านโยบายสองสูงดี ( เงินเดือน ขรก. และราคาสินค้าเกษตรสูง ) การมีกฏหมายภาษ๊ที่ดินและมรดกดี แต่ตังเองได้รับผลกระทบ เลยแกล้งบิดเบือนหาเหตุผลมาอ้าง เรื่องภาษีที่ดินและมรดกพูดกันมานาน ไม่มีใครได้โอกาสอธิบายให้ชาวบ้านฟังิย่างถ่องแท้ ใครได้เรียนที่เกี่ยวข้อง ต่างรู้ว่าดีทั้งนั้น แต่นักการเมืองทุกยุคทุกสมัย ก็รู้เหมือนกัน แต่รู้ว่าไม่ดีกับตัวเองและก็ตระกูลตัวเองที่มีทรัพย์สินจำนวนมาก จากการโฏงกินทรัพยากรและสมบัติของประเทศชาติด้วยซ้ำ

เห็นด้วยทุกประการค่ะคุณ ว แหวนลงยา ในสถานการณ์ของความขัดแย้งเช่นนี้ ต้องยอมรับว่าน่าเห็นใจไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลทั้งสิ้น เพราะย่อมต้องโดนต่อต้านจากฝ่ายใดๆที่เป็นฝ่ายเสียเปรี่ยบ เสียผลประโยชน์ การประนีประนอมและค่อยเป็นค่อยไปย่อมเป็นทางออกที่สร้างความกระทบกระเทือนน้อยที่สุดต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บางครั้งการพัฒนาอาจทำให้มีใครบางคนต้องเสียสละ (เช่น การเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างรถไฟลอยฟ้า) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการพัฒนาใดๆย่อมต้องกระทำอย่างต่อเนื่องและเป็นขั้นตอน โดยอาศัยบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและมีคุณธรรม ซึ่งจะช่วยลดปัญหาทั้งปวงที่กล่าวมาแล้ว ในยุคที่ประชาชนมีความรู้และการสื่อสารทั่วถึงเช่นนี้ จะช่วยคัดกรองให้คนดีดีอยู่รอดและมีโอกาสได้แสดงฝีมืออย่างต่อเนื่อง เพราะประชาชนคือลูกค้าของรัฐบาล ซึ่งมีหน้าที่ที่สำคัญคือสร้างความพึงพอใจสูงสุดต่อลูกค้าค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท