คุณแม่ค่อยๆ เอนร่างลงบนเก้าอี้ยาวนั่งรอของทางราชการจัดไว้ให้....
ประสบการณ์ขอแบ่งแยกที่ดิน
โสภณ เปียสนิท
.......................................
ระหว่างช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา คุณแม่วัยชราอายุล่วงเลย 76 ปี มีความประสงค์อยากแบ่งที่ดินจำนวน ราวๆ 13 ไร่ เป็นโฉนด 7 ไร่ ส่วนที่เหลือ เป็น สน3ก. สองแปลงติดกัน ให้แก่ลูกๆ จำนวน 7 คน เพื่อตัดปัญหาอันจักเกิดขึ้นในภายหลัง โดยแบ่งที่ดินเป็น 6 ส่วนเสียก่อนเป็นครั้งที่1 หลังจากนั้น จึงแบ่งแปลงที่6 เป็นสองส่วน ให้แก่สองคน เพราะสองคนหลังนี่ ได้รับที่ดินไปส่วนหนึ่งก่อนหน้านี้แล้ว ผมเองเป็นหนึ่งในสองคนหลังนี่เอง
ลำดับแรก ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องเดินทางไปที่สำนักงานที่ดิน เพื่อยื่นคำร้องขอแบ่งแยกที่ดินมรดกจาก บุพการีไปสู่ลูกหลาน ผมลาราชการเดินทางจากหัวหินไปค้างคืนกับคุณแม่ที่บ้านสวนพี่สาว เมืองกาญจน์ก่อน 1 คืน เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม สำหรับการยกฐานะตนเองขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย คุณแม่วัยชราเดินทางไปกับเราด้วย ระหว่างขั้นตอนการรับเรื่องร้องเรียน การกรอกข้อความ การดำเนินการตามขึ้นตอน คุณแม่ค่อยๆ เอนร่างลงบนเก้าอี้ยาวนั่งรอของทางราชการจัดไว้ให้ ในที่สุดก็นอนลง และเผลอหลับไป กว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้น เฉพาะวันนั้น ใช้เวลาราว 6 ชม. สำหรับงานเอกสารทุกอย่าง และการจ่ายเงินค่าร้องขอครั้งนี้ ราว 1500 กว่าบาท สอบถามว่า จะต้องจ่ายอะไรอีกหรือไม่ "ไม่ต้องหรอก แต่อาจเลี้ยงข้าวปลาอาหารบ้างเล็กน้อย" ผมนึกในใจว่า สมเหตุสมผล
หลังเสร็จงาน ผมเดินทางกลับหัวหินทันที เพื่อทำราชการต่อในวันรุ่งขึ้น นึกไตร่ตรองย้อนหลัง คำของเจ้าหน้าที่คนที่มีน้ำใจช่วยเหลือแนะนำก่อนเดินทางกลับว่า “นี่อุตส่าห์ช่วยให้ประหยัดเงินได้ตั้งมากนะ” จำได้ว่าผมส่งยิ้มให้เป็นการขอบคุณ ถึงตอนนี้กลับคิดได้ว่า “หรือเขากำลังใช้คำพูดแสดงนัยอะไรบางอย่าง ที่พวกเราควรทำ” ใจหนึ่งคิดว่า เป็นหน้าที่ของข้าราชการชั้นดีที่ต้องทำหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ผู้จ่ายภาษีให้เป็นเงินเดือนแล้ว แต่อีกใจหนึ่งคิดว่า เอ...หรือว่าเขากำลังเรียกร้องค่าตอบแทน เราอาจเป็นคนอกตัญญู ไม่ตอบแทนคุณเขา
(ขณะกำลังหาข้อตกลงเครียดเชียว ระวังเจอข้อหาไม่ตกลงกันไว้ให้เรียบร้อย)
ผมและน้องชายอีกคนที่อยู่ชลบุรี และอีกคนกำลังติดต่อไปทำงานต่างประเทศ เขียนหนังสือมอบอำนาจการตัดสินใจให้แก่พี่ชายบ้านใกล้ในเมืองกาญจน์ เพื่อว่าครั้งหน้าจะได้ไม่ต้องเดินทางมา เพราะเห็นว่า ที่ดินจำนวนไม่มากนัก แต่หลังจากวันนัดจึงทราบข่าวว่า ช่างรังวัดมาเดินดูที่ดินนิดหน่อย แล้วเห็นว่าหนังสือมอบอำนาจมีขูดขีดฆ่า ซึ่งไม่ถูกต้อง ทำให้ต้องเลื่อนกำหนดการออกไป พี่สาวแจ้งว่า มอบเงินค่าอาหารกลางวันเลี้ยงช่างไปแล้ว 1000 บาท
เรานัดพบกันที่สำนักงานที่ดินอีกครั้ง เพื่อทบทวนทำธุระเดิมๆ ติดต่อประสานงานทำเอกสารแบบเดิมอีกรอบ ใช้เวลาครึ่งค่อนวันกว่าจะเสร็จงานเอกสารรอบสอง เสียเงินค่าขอแบ่งแยกที่ดินมรดกให้ลูกหลาน เพิ่มอีกราว 500 กว่าบาท ก่อนเดินออกจากสำนักงานที่ดินในยามบ่ายเหมือนเดิม
เราแยกย้ายกันกลับ น้องชายคนหนึ่งเดินทางกลับบ้านที่พัทยา ชลบุรี อีก 2 คนกลับกรุงเทพฯ อีก 3 คนอยู่เมืองกาญจน์ไม่ไกลนัก พร้อมกำหนดนัดหมาย ว่า วันที่ 19 พฤษภาคม ต่อมาต้องมีตัวแทน อย่างน้อย 1 คนนำเอกสารไปที่สำนักงานกรมทางฯ เพื่อแจ้งการแบ่งแยกที่ดินติดถนนหลวง สายกาญจนบุรี-น้ำตกเอราวัณ และวันที่ 10 มิถุนายน 2554 นัดหมายรังวัดที่ดินอีกครั้ง
กลับถึงบ้าน ผมจัดการบันทึกไว้เป็นกรณีพิเศษเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด พร้อมเตือนพี่น้องทุกคนให้เดินทางมาอย่างพร้อมเพรียง เพื่อให้การจัดแบ่งแยกที่ดินครั้งนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว และด้วยดี
ระหว่างช่วงเวลาราว 2 เดือน ผมชุลุมนอยู่กับการทำงานตามหน้าที่นั่นนี่โน่นจนเกือบจะลืม เย็นวันที่ 8 นึกขึ้นได้เร่งโทร ประสานงาน คนบ้านไกลก่อน ปรากฏว่าทั้ง 2 คนลืมสนิทไปแล้ว เช้าวันนัดหมาย 6.00 น. ผมขึ้นรถตู้ หัวหิน-กาญจน์อีกครั้ง 9.00 น. เศษถึงเมืองกาญจน์ ขึ้นรถน้องชายตามที่นัดหมายกันไว้ ต่อเข้าสู่ที่ดินแปลงขอแบ่งที่ ใกล้ทางเข้าวัดท่าเสา
คณะช่างรังวัด 3 คน เดินทางมาถึงก่อนเวลานัดหมายก่อน 10.00 น. หลายคนเดินตามหลังช่างรัง ปล่อยการคุยให้เป็นหน้าที่ของพี่สาวคนโต หลังจากประสบการณ์ครั้งที่ผ่านมา พวกเราได้รับประสบการณ์ตรงว่า ช่างรังวัดช่างเจรจา หงุดหงิดง่าย ไม่ตรงกับความประสงค์ อาจก็จะขอตัวกลับ (พูดภาษาเขียนเพื่อความสุภาพ) เมื่อใดก็ได้ ดังนั้นทุกคนจึงเกร็ง เกรงช่างจะกลับไปโดยไม่ได้ทำมรรคทำผลอันก่อน
หลังการพักผ่อนคลายเหนื่อยครู่หนึ่ง หลายคนมาบอกว่า “พี่ไปคุยกับเขาหน่อย เพราะว่า งานไม่ค่อยจะเดินหน้าปัญหามากมาย ครั้งก่อนก็เป็นแบบนี้ มารอยเดิมอีกแล้ว” แม้ผมจะเคยได้ข่าวมาบ้าง แต่ก็ยังไม่วายถาม “รอยเดิมยังไง” “มาครั้งที่แล้วก็บ่นจนเรากลัว บอกว่าต้องการอย่างนี้ ไม่ค่อยจะฟัง แล้วก็บอกว่าไม่ได้” “หมายความว่าอย่างไร” “ก็หมายความว่า อย่างนั้นก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ได้” “อ้าว แล้วงานจะเดินหน้าอย่างไร” “นั่นนะซิ” “ต้องจ่ายเงินเขาเปล่าพี่” “เฮ้ย ไม่ใช่อย่างนั้นมั้ง” ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการจ่ายเงินราชการซ้ำซ้อน “งั้นพี่ไปคุยเอง” “ดีหรือ คุยหลายคนเดี๋ยวเขา ขอตัวกลับไปอีก” “งานไม่เดินแบบนี้ ก็เหมือนขอตัวกลับอยู่แล้ว”