Botanist
นาย Pattachai(พัทธชัย) Pinnak(ปิ่นนาค)

กับดักสุขภาพ 10 ประการ


สุขภาพดี

เพื่อสุขภาพที่ดีสำหรับทุกคน     
       กับดักสุขภาพ 10 ประการ ที่คนไทยใหลหลง นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล พูดถึงสุขภาพ ใครๆก็รักสุขภาพกันทั้งนั้นแต่ครั้นถึงเรื่องราวของการเอาใจใส่สุขภาพนี่ซิ บางทีก็หลงไปกับบางกรรมวิธีซึ่งแทนที่จะให้คุณ กลับให้โทษ หรือทำให้เสื่อมสุขภาพลงกว่าเดิม 

กับดักสุขภาพประการที่ 1

       ดื่มน้ำยิ่งมาก ยิ่งดี คนจำนวนไม่น้อยเชื่อกันว่า ให้ดื่มน้ำมากๆ ยิ่งมากยิ่งดี หลายคนถึงกับดื่มน้ำวันละ 3-4 ลิตร บางคนก็ร่ำลือกันว่าหมอจีนสอนให้ตื่นนอนเช้าดื่มน้ำทันที 4 แก้ว เพราะช่วยให้ขับถ่ายดีก็เลยคิดต่อไปว่า ถ้าดื่มน้ำ 4 แก้วตอนเช้ามีประโยชน์ขนาดนั้นตลอดทั้งวันก็ควรดื่มให้มากที่สุด จนเรียกได้ว่า แค่นดื่ม กันเลยละพวกเขาดื่มน้ำอย่างไม่จำกัดจำนวน เพราะเชื่อว่าจะได้สุขภาพดี   คนที่ดื่มน้ำมากเช่นนี้ นานเข้าจะเกิดอาการขึ้นอย่างหนึ่ง คือเกิดอาการปัสสาวะมาก ปัสสาวะใส มือเท้าเย็น หนาวง่ายนานเข้าจะเกิดภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง ขาอ่อนแรง และหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เหตุผลก็คือ ไตมิใช่เพียงท่อกลวงๆที่ปล่อยให้น้ำผ่านไปเฉยๆ แต่ไตมีหน้าที่เก็บรับเอาสิ่งที่ยังเป็นประโยชน์กับร่างกาย ที่ปัสสาวะชะผ่านไปให้เก็บกลับเข้าสู่ร่างกาย ได้แก่เกลือแร่ชนิดต่างๆไตยังทำหน้าที่ปรับความเข้มข้นของปัสสาวะให้พอเหมาะด้วยเหตุนี้การปล่อยน้ำผ่านไตมากๆ ไตจึงต้องทำงานหนัก เสียพลังในการทำงานเยอะนานเข้าก็เกิดอาการอย่างที่หมอจีนเรียกว่า พร่องพลังไต

      เปรียบเทียบง่ายๆว่า เหมือนภูเขาลูกหนึ่ง ที่ปล่อยให้ฝนตกกระหน่ำเอาๆฝนย่อมชะเอาฮิวมัสหรือปุ๋ยธรรมชาติที่อยู่บนผิวดินออกไปกับน้ำเสียหมด นานๆเข้า เขาลูกนั้นก็กลายเป็นเขาหัวโล้น

       แท้ที่จริงวิชาสุขศึกษาบอกว่าดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แต่ตามปกติเรามีน้ำในมื้ออาหารอยู่แล้ว ถ้าจะหักลบน้ำที่ดื่มในมื้ออาหารออกคนเราก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 4 แก้ว สำหรับคนที่พร่องพลังไตอยู่แล้วก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 3 แก้ว จึงจะแก้สถานการณ์ได้

       ส่วนการที่หมอจีนบอกว่าให้ดื่มน้ำ 4 แก้วตอนเช้านั้น แท้ที่จริงเพื่อช่วยให้ขับถ่าย เพราะเถ้าแก่ทั้งหลาย กินแต่ข้าวขาวกินหมูกินไก่ ผักไม่ค่อยกิน เพราะถือว่าผักเป็นอาหารของคนจนหมอจีนจึงใช้วิธีนี้สอนคนท้องผูก แต่ถ้าเรากินข้าวกล้อง ผักผลไม้มากพอก็ไม่จำเป็นต้องแค่นดื่มน้ำเช่นนั้น

กับดักสุขภาพประการที่ 2

      นอนดึก ตื่นสาย คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า การนอนแม้จะจำเป็น แต่ดึกๆมักมีเรื่องน่าดูในจอโทรทัศน์ หรือไม่ก็บนจอคอมพิวเตอร์เลยตากสายตาดูโทรทัศน์ดึกๆ วัยรุ่นเล่นคอมฯ แช็ตกันเพลินจน 5 ทุ่ม สองยามแล้วเข้านอน กะว่าตื่นเอาสายๆก็ทดแทนจำนวนชั่วโมงการนอนได้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัยรุ่นที่ต้องรีบไปเรียนหนังสือแต่เช้าหรือวัยทำงานที่ต้องแข่งขันเบียดแทรกตัวเองไปทำงานแต่เช้ามืด

        ด้วยเหตุนี้ คนนอนดึก ตื่นเช้ามืด จำนวนชั่วโมงการนอนก็ไม่พออยู่แล้วสุขภาพย่อมเสียสุดๆ ส่วนคนนอนดึกตื่นสาย ก็ใช่ว่าสุขภาพจะดีนานเข้าสุขภาพก็เสื่อมสุดๆอีกเหมือนกัน   เหตุผลเพราะแท้ที่จริงสัตว์ต่างๆล้วนมีโครงสร้างของสรีระร่างกายที่กำหนดว่าสัตว์นั้นเป็นสัตว์กลางวัน หรือสัตว์กลางคืน อย่างค้างคาว นกฮูก แมวเหมียวต้องถือเป็นสัตว์กลางคืน เพราะมีเรดาร์ มีตาโต เอาไว้ใช้งานตอนกลางคืนแต่คนเราต้องสังกัดเป็นสัตว์กลางวัน

       เดิมทีเดียวสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดแรกของโลกคือตัวซาลาแมนเดอร์มีตาอยู่ 3 ดวง ตาดวงที่สามเป็นเกล็ดอยู่ตรงกลางหน้าผาก คอยทำหน้าที่รับแสงตะวันเวลากลางวันแสงสว่างจะทำให้เกล็ดนี้สร้างฮอร์โมนซีโรโตนินทำให้มันแจ่มใสออกมาหากิน เวลากลางคืนเกล็ดนี้จะสร้างฮอร์โมนเมลาโตนินทำให้มันง่วงเหงา เข้ารูนอน ครั้นวิวัฒนาการจนมาเป็นคนเกล็ดนี้จมลึกเข้าไปในหน้าผาก กลายเป็นต่อมเหนือสมอง หรือ ต่อมไพเนียลยังคงสร้างฮอร์โมน 2 ชนิดนี้สลับกันอยู่ หรือเรียกอีกทีต่อมนี้คือนาฬิกาชีวภาพที่ปลุกเราให้ตื่นเช้าและกล่อมเราให้เข้านอนโดยอัตโนมัติ

      การตากแสงไฟดึกๆจึงเป็นการรบกวนต่อมไพเนียลซึ่งเป็นนายเหนือต่อมฮอร์โมนทั่วร่างกายมันส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมอง ไปไทรอยด์ ต่อมหมวกไต รังไข่ และอัณฑะถ้าต่อมไพเนียลทำงานผิดเพี้ยน ฮอร์โมนทั่วร่างกายก็ผิดเพี้ยนไปด้วยงานวิจัยชิ้นหนึ่งของหมอลลิตาสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ซึ่งอาจารย์ร็อกกี้เฟลเลอร์จูงใจให้ทำทดลองให้ส่องไฟให้หนูทดลองตลอดคืน ทำอยู่เช่นนั้นหลายๆวันปรากฏว่าหนูทดลองถึงกับแท้งลูกนี่แสดงถึงความสำคัญของต่อมไพเนียลซึ่งถึงกับสร้างความแปรปรวนของระบบฮอร์โมนในร่างกายเพียงเพราะว่าแสงไฟที่สาดส่องให้อย่างไม่เป็นเวลา

           งานวิจัยอีกชิ้นในสหรัฐฯทดลองในพยาบาลเวรดึกกลุ่มหนึ่งให้ออกเวรแล้วเดินผ่านอุโมงค์มืดๆไปเข้านอนอีกกลุ่มให้เดินผ่านแสงตะวันยามเช้า ไปเข้านอนเมื่อเจาะเลือดเปรียบเทียบระดับฮอร์โมนของร่างกายพบว่าพยาบาลกลุ่มหลังฮอร์โมนแปรปรวนไปหมดขณะที่กลุ่มแรกฮอร์โมนยังอยู่ในเกณฑ์ปกตินี่ก็อิทธิพลของแสงตะวันที่เจ้าตัวรับเข้าไปผิดเวลา  

         แท้ที่จริงแล้ว คนเราจึงควรนอนหัวค่ำ ตื่นเช้า แทนที่จะตากแสงไฟอยู่จนดึกๆ   


กับดักสุขภาพประการที่ 3

         กลัวโคเลสเตอรอล จนไม่กล้ากินไข่ แต่ไพล่ไปดื่มนม นิตยสาร Time ในอเมริกาตีพิมพ์ตั้งแต่เดือนกันยายน 1999 บอกว่า "Cholesterol-Good News"ยืนยันว่า โคเลสเตอรอลในเลือดของคนเรา สร้างจากภายในตัวเราเองถึง 90% มีเพียง10% ที่เป็นผลกระทบจากโคเลสเตอรอลในอาหารและวัตถุดิบที่สร้างโคเลสเตอรอลคือกรดไขมันอิ่มตัวดังนั้นไข่ซึ่งเป็นแหล่งของโคเลสเตอรอลจึงได้รับการถอดออกจาก Black listทางโภชนาการที่อเมริกา แต่ตรงกันข้ามแหล่งของกรดไขมันอิ่มตัวหลายอย่างได้รับการบรรจุให้กลายเป็นตัวที่ถูกเพ่งเล็งทางสุขภาพตัวสำคัญได้แก่ นม เนย ชีส รวมทั้ง peanut butter  

           ผลยืนยันได้ในเชิงปฏิบัติที่เป็นจริง ดังจะเห็นว่า ประเทศไทยซึ่งถูกประโคมให้กลัวไข่กันมามากกว่า 10 ปีจนปัจจุบันคนไทยกินไข่เพียง 130 ฟอง/คน/ปี แต่คนไทยดื่มนมกันไม่อั้นเพราะถูกประโคมข่าวว่ายิ่งดื่มนมยิ่งสุขภาพดีผลปรากฏว่าคนไทยมีโรคไขมันเลือดสูงมากขึ้นๆทุกปีรวมทั้งโรคอ้วนทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ไทยมีโรคไขมันเลือดสูง 50%ของประชากรในเมือง แม้แต่เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปีพูดง่ายๆว่าอยู่ในวัยอนุบาลก็มีไขมันเลือดสูง 25% ของประชากรเด็กเหล่านี้ยังไม่ได้กินอย่างอื่นแน่ แต่ถูกป้อนให้ดื่มนมไม่อั้น

         มาดูอย่างประเทศจีนบ้าง จีนกินไข่มากกว่าเรา คือ 330 ฟอง/คน/ปี กินไข่มากกว่าเรา 3 แต่คนจีนมีโรคไขมันเลือดสูงต่ำกว่าคนไทยการดื่มนมจึงเป็นกับดักสุขภาพที่ต้องละเลี่ยง   ที่สนุกไปกว่านั้นก็คือ ปัจจุบันทั่วโลกในประเทศที่มีการศึกษาสูงกำลังหันมาส่งเสริมการบริโภคไข่ ลดละการดื่มนม ที่เบลเยี่ยมมีประดิษฐกรรมใหม่เขาสร้างไข่ชนิดใหม่ เรียกว่า ไข่โคลัมบัส ไม่ใช่ไข่ของคนที่คริสโตเฟอร์โคลัมบัสหรอกนะครับ แต่เป็นไข่ที่นอกจากกินแล้วโคเลสเตอรอลไม่สูง(ซึ่งไข่ทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น)แต่ไข่โคลัมบัสใช้กระบวนการเลี้ยงไก่ด้วยอาหารพื้นบ้านซึ่งเขาถือว่าอาหารพื้นบ้านจะมีสัดส่วนของโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6ที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ เมื่อมาเลี้ยงไก่ด้วยวิธีนี้จะทำให้ไขมันจำเป็นในร่างกายถูกต้องไปด้วยเป็นผลให้กินไข่โคลัมบัสควบคุมโคเลสเตอรอลในเลือดได้อีกต่างหาก
 
       จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องอดกินไข่ยกเว้นแต่ว่าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว มีนิสัยชอบกินนม กินเนยก็ขอแนะนำให้งดเนย งดนม กินไข่อย่างเดียวโคเลสเตอรอลจะไม่สูงอย่างแน่นอน  


กับดับสุขภาพ ประการที่ 4

         ไม่กินไขมันเลย เพราะกลัวอ้วน   เราถูกรณรงค์ให้หลีกเลี่ยงการกินไขมัน เพราะกลัวอ้วน กลัวไขมันเลือดสูงจนคนจำนวนหนึ่งกลัวไขมันเกินกว่าเหตุตนเองยังสุขภาพแข็งแรงไม่ได้ป่วยเจ็บเป็นโรคอะไร แต่ไม่กินไขมันเลยเป็นเวลาหลายๆปี จนกลายเป็นภาวะพร่องไขมัน   แท้ที่จริงเราต้องรู้ว่า ไขมันเป็นสารอาหารกลุ่มหนึ่งที่ร่างกายต้องใช้ในร่างกายของเรามีไขมันอยู่ 3 ชนิดใหญ่ๆ หนึ่งคือโคเลสเตอรอลสองคือไตรกลีเซอไรด์ และสามคือฟอสโฟไลปิดเราใช้โคเลสเตอรอลเป็นแหล่งวัตถุดิบในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์และสร้างฮอร์โมนเพศกับฮอร์โมนคอร์ติโซลส่วนไตรกลีเซอไรด์เป็นแอ่งพลังงานในกระแสเลือด เพื่อหนุนช่วยน้ำตาลในเลือดส่วนฟอสโฟไลปิดเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างเซลล์ประสาท ฯลฯ  

        จึงเห็นการหลีกเลี่ยงอาหารไขมัน จนถึงกับไม่กินเลยทั้งๆที่สุขภาพเป็นปกติอยู่นั้น นานๆเข้าก็จะเกิดโรคจะยกตัวอย่างกรณีสุดขั้วกรณีหนึ่ง ผมเคยพบนิสิตมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งเดินเข้ามาหาผมด้วยน้ำหนักตัว 35 กก. จินตนาการเหมือนกับไม้แขวนเสื้อลอยมาอย่างนั้นแหละ แต่เธอเข้ามาหาผม พร้อมกับบอกว่า "หนูต้องการลดน้ำหนักค่ะ"   เธอมีความคิดว่าน้ำหนักตัวขนาดนั้นของเธอยังไม่เป็นที่พอใจบอกว่าอยากให้หุ่นผอมเพรียวเหมือนสาวที่เดินบนแค็ตวอล์กด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่กินน้ำมันทุกชนิดผมมองปราดเดียวที่ใบหน้าและผิวพรรณของเธอก็บอกได้เลยว่าเธอกำลังป่วยด้วยภาวะพร่องไขมัน คือผิวแห้งและหน้าตาหม่นหมองมากถามประวัติอีกหน่อยก็พบว่า ผมเธอร่วงเป็นประจำ และที่สำคัญก็คือเธอขาดประจำเดือนมาได้กว่าปีแล้ว

        นั่นเป็นเพราะว่า ภาวะที่พร่องไขมัน ร่างกายก็ขาดวัตถุดิบไปสร้างฮอร์โมนเพศทั้งสำหรับสุขภาพของผิวพรรณ และเส้นผมอีกด้วย น่าเสียดายว่าความเข้าใจผิดๆประการนี้ทำให้แม้กระทั่งนิสิตปีสี่ของมหาวิทยาลัยอย่างเธอต้องหลงผิดไปตามแสงสีของแฟชั่นคิดดูก็น่าใจหาย   ผมนึกถึงกฎแห่งการอยู่รอดของดาร์วิน ที่บอกถึงการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติสัตว์ใดแข็งแรงกว่าย่อมอยู่ได้ สัตว์ใดที่อ่อนแอกว่าก็สูญพันธุ์ไปในที่สุดสังคมมนุษย์ก็คงเช่นเดียวกัน คนใดฉลาดกว่ารู้จักแสวงหาความรู้ที่ถูกต้องและดำเนินชีวิตที่ชอบที่ควรก็อยู่รอด แต่คนใดไม่ฉลาดหาความรู้หรือหลงไปในทางอวิชชา สุดท้ายก็ทำลายสุขภาพตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอยังอาจหมดโอกาสสืบพันธุ์อีกด้วย อย่างกรณีขาดประจำเดือนของสาวหลงรายนี้ธรรมชาติก็คงบอกว่า "สาวน้อย เธอจงอย่ามีประจำเดือนและอย่าสืบสกุลมีลูกมีหลานเถอะนะ"นี่คือการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติตามกฎของดาร์วินอีกเหมือนกัน

          มีกรณีตัวอย่างขนาดเบาๆอีกตัวอย่างหนึ่ง คือพี่สาวของผมเองซึ่งไปได้ตำแหน่งงานดีๆ ที่วิทยุแห่งชาติ นครปักกิ่ง ประเทศจีนโน่นเธอเป็นผู้รักสุขภาพเช่นเดียวกันและมักจะดูแลตัวเองและสามีเรื่องระดับโคเลสเตอรอลในเลือดด้วยเหมือนกันเธอกินข้าวกล้อง กินผัก กินปลาและกินผลไม้สม่ำเสมอ เมื่ออยู่เมืองไทยเธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ชอบกินไขมัน   เมื่อไปอยู่ปักกิ่ง เธอก็ยังคงควบคุมอาหารเหมือนเมื่ออยู่เมืองไทยเธอสู้อุตส่าห์หาข้าวกล้องที่เมืองจีนมาหุงกินเป็นประจำนับเป็นการแสวงหาที่ยากลำบากมาก เพราะคนจีนยังไม่ตื่นตัวเรื่องกินข้าวกล้องแต่สามีเธอก็สู้อุตส่าห์หามาให้ครอบครัวได้กินกันจนได้   สิ่งที่เธอกังวลก็คือ อาหารปักกิ่งล้วนแต่เป็นอาหารมันๆทั้งนั้นซึ่งขัดกับนิสัยการคุมไขมันของเธอ เธอจึงพยายามกินอาหารปักกิ่งให้น้อยที่สุดตื่นเช้าต้มข้าวต้มกินกับกับข้าวง่ายๆ ตอนเที่ยงจำต้องกินอาหารจีน แต่พอตกเย็นบ่อยครั้งที่เธอจะไม่กินข้าว จะกินแต่ผลไม้แทน

                ผลปรากฏว่า เมื่อตกเข้าหน้าหนาว เธอมีอาการหนาวจนแทบจะทนไม่ไหวและก็ไม่ค่อยรู้สึกสดชื่นเหมือนเดิม พอดีผมไปเยี่ยมเธอที่ปักกิ่งและกินอาหารอยู่ในบ้านด้วยกัน ก็เป็นอันถึงบางอ้อเพราะแท้ที่จริงเธอคุมน้ำมันจนสุดขั้วเกินไปนั่นเอง   ธรรมชาติบำบัดจะบอกว่า "กินอยู่ตามวัฒนธรรมพื้นบ้าน" ผู้คนในเมืองไหนๆจะมีประเพณีการกินอยู่ตามวัฒนธรรมของตัวเอง การที่ผู้รักสุขภาพอย่างเธอไปอยู่เมืองจีนซึ่งมีอากาศหนาวกว่าบ้านเรามากนัก แล้วฝืนตัวเองไม่กินอาหารมันๆ ก็ย่อมพร่องแคลอรี จนเสี่ยงที่จะเกิดเจ็บป่วยได้นั่นเอง   สำหรับคนไทยอยู่เมืองไทยอย่างเรา หลักปฏิบัติง่ายๆในเรื่องไขมันก็คือกินอาหารแต่ละมื้อให้มีอาหารจานที่มีไขมันสัก 1 อย่าง เช่น มีผัดผักมีไข่เจียว มีไก่ทอด จานใดจานหนึ่งในแต่ละมื้อนั่นคือทางสายกลางที่เลือกเดินได้  


กับดักสุขภาพ ประการที่ 5

           กินผลไม้จนล้นเกิน น้ำตาลขึ้น ไขมันสูง   ผลไม้น่ะ ดี เพราะเป็นแหล่งของวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซีเบต้าแคโรทีน และถ้ากินสม่ำเสมอในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ช่วยจรรโลงสุขภาพได้   อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งในโลกย่อมมี 2 ด้านอยู่เสมอ ผลไม้ทุกชนิดมีรสหวานจึงเป็นแหล่งที่มาของน้ำตาลในเลือดชัดๆอยู่แล้วและคนที่เป็นเบาหวานที่รักษาด้วยยา หมออาจจะอนุโลมให้กินผลไม้โดยแบ่งกินทีละไม่เกินผลไม้ 2-3 กลีบเป็นต้นแต่สำหรับสูตรรักษาเบาหวาน-กินเนื้อกินผักแบบบัลวี เราก็ไม่ให้กินผลไม้เลยซึ่งจะคุมเบาหวานลดลงได้เร็วมาก ภายใน 10 วัน  

           ทีนี้สำหรับคนทั่วไป ผลไม้ย่อมกินได้อย่างเป็นทางสายกลางแต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่กินผลไม้อย่างสุดขั้ว แล้วเกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้   ประการหนึ่ง คนที่กินผลไม้หวานจัด เช่นทุเรียน ขนุน ลำไยเหล่านี้มักจะเกิดอาการร้อนในได้ เรื่องนี้ต้องอธิบายด้วยทฤษฎีแมกโครไบโอติกส์ ซึ่งบอกว่า ผลไม้เป็นสุดขั้วของพลังหยิน กล่าวคือในประเทศเขตร้อนพลังหยางมีมาก ต้นไม้จึงเอาพลังหยินของมันมุดลงดิน แล้วไปผลิออกเป็นผลไม้หล่อเลี้ยงธรรมชาติด้วยสุดยอดพลังหยินของมัน คน สัตว์กินผลไม้หน้าร้อนก็ชื่นใจแต่ถ้ากินมากเกินไป พลังหยินที่รับเข้าไปมาก จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังหยางสุดขั้วจึงเกิดอาการเจ็บคอร้อนในได้แมกโครไบโอติกส์ชนิดสุดโต่งจึงไม่แนะนำให้กินผลไม้เมืองร้อนเลยแต่ผมมักจะแนะนำว่า เราอยู่เมืองร้อน ย่อมกินได้อย่างทางสายกลาง

          ประการที่สอง บางคนกินผลไม้เพราะต้องการคุมอาหารมื้อเย็นคือไม่กินข้าวมื้อเย็น แต่กินผลไม้โดยหวังที่จะลดน้ำหนัก หรือลดไขมันเลือดผลก็คือ น้ำหนักตัวยิ่งขึ้น ไขมันเลือดยิ่งไม่ลด เหตุผลก็คือ ผลไม้มีความหวานเมื่อกินแทนข้าว เจ้าตัวก็หลงกินไม่บันยะบันยัง จึงเพิ่มน้ำตาลในเลือดและถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันในเลือดคนกินหวานทุกชนิดก็เสี่ยงต่อไตรกลีเซอไรด์สูง และไตรกลีเซอไรด์มีมากก็ถูกเก็บไว้ที่แก้มก้น และพุงกระทิได้ จึงไม่แคล้วอ้วนอยู่ดี  


กับดักสุขภาพประการที่ 6

           ถือเอาวิตามิน อาหารเสริม เป็นคำตอบสุขภาพ   ผมจำได้ว่าเมื่อบริษัทวิตามินจากออสเตรเลียจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เมื่อ15 ปีที่แล้ว ผมได้รับการติดต่อจากเพื่อนซึ่งเป็นเภสัชกรที่เป็นตัวแทนของบริษัทวิตามินนี้ให้ช่วยเผยแพร่ความคิดเรื่องวิตามินให้แก่ผู้บริโภคขณะนั้นเมืองไทยยังไม่ค่อยมีคนรู้จักประโยชน์ของการกินวิตามินยังไม่รู้จักคำว่า free radicals และไม่รู้จักคำว่า anti-oxidantแม้ว่าความรู้ทางธรรมชาติบำบัดในยุโรป สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียจะมีเรื่องราวเหล่านี้มากมายแล้วก็ตามเพราะขณะนั้นช่วงห่างระหว่างความรู้ในประเทศตะวันตกกับประเทศไทยจะล่าช้ากว่ากันประมาณ 10 กว่าปี  

           ความรู้การแพทย์แบบแผนรู้จักวิตามินในฐานะสารตัวเล็กๆที่ช่วยป้องกันตาบอดกลางคืน รักษาเหน็บชา ป้องกันลักปิดลักเปิดซึ่งนับวันโรคเหล่านี้จะหมดไป เมื่อผู้คนในสังคมอยู่ดีกินดีกันมากขึ้นแต่ไม่รู้จักบทบาทใหม่ของวิตามินในอีกด้านหนึ่งจำได้ว่าขณะนั้นผมเขียนบทความธรรมชาติบำบัดในมติชนสุดสัปดาห์ตั้งแต่ต้นปี 2534จึงได้แนะนำเรื่องของสาร อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นคำบัญญัติใหม่โดย ศ.ดร.ไมตรีสุทธจิตต์ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และวิตามินก็มีบทบาทเป็น สารต้านอนุมูลอิสระมีความรู้เหล่านี้พิมพ์เผยแพร่เป็นพ็อกเก็ตบุ้กโดยสำนักพิมพ์รวมทรรศน์และจัดเสวนาสุขภาพเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดบรรยายเรื่องราวทางสุขภาพให้ผู้คนมาร่วมกันฟังเป็นจำนวนมากๆและเป็นที่มาของมหกรรมสุขภาพในขอบเขตต่างๆทั่วประเทศที่มีกันอยู่ในยุคปัจจุบันนี้และรวมทรรศน์ก็ได้จักมหกรรมธรรมชาติบำบัดสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ 13ปี

            การบรรยายความรู้เรื่องวิตามินในฐานะแอนติออกซิแดนต์ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวเรื่องโรคเสื่อมของร่างกายและหันมาสนใจกินอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะแนวคิดของผมก็คือวิตามินมีอยู่แล้วในพืชผัก ผลไม้ การจะป้องกันรักษาโรคหัวใจหลอดเลือดกระทั่งโรคมะเร็ง ก่อนอื่นให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมากินอยู่อย่างไทยเสียก่อนส่วนวิตามินที่กินเป็นเม็ดๆนั้น ใช้เมื่อจำเป็นแต่ก็ทำให้วิตามินและอาหารเสริมในเมืองไทยเริ่มขายดี  

              กระนั้นก็ตาม ก็มีแพทย์จำนวนหนึ่งในสมัยนั้นที่ไม่เข้าใจได้กระทบกระเทียบว่า "การกินวิตามินรังแต่ทำให้น้ำปัสสาวะของคนเราแพงขึ้นเท่านั้นเอง" พูดง่ายๆว่าเปล่าประโยชน์ที่จะกินวิตามิน เนื่องจากพวกเขาในขณะนั้นยังไม่รู้เรื่องของfree radicals กันเลย ครั้งเมื่อเห็นว่าวิตามินซีธรรมชาติกำลังขายดิบขายดีก็มีแพทย์อีกจำนวนหนึ่งบอกว่า "ระวังกินวิตามินซีมากๆจะเป็นนิ่วในไต"   ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ถ้าจะพิจารณากลไกการดูดซึมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกาย ตามปกติในลำไส้ของเราจะมีreceptor ซึ่งเป็นประตูเปิดรับวิตามินซีประตูเหล่านี้จะเปิดปิดมากน้อยตามความต้องการของร่างกายในแต่ละขณะคนปกติต้องการวิตามินซีต้านอนุมูลอิสระวันละประมาณ 1,000 มก.ถ้ากำลังเครียดอาจเพิ่มความต้องการเป็น 2,000 มก.ถ้ากำลังเป็นหวัดความต้องการจะเพิ่มเป็น 4,000-6,000 มก.และถ้าเป็นมะเร็งอาจมีความต้องการเพิ่มเป็น 10 พัน-50 พัน มก.ถ้าร่างกายยังไม่ต้องการวิตามินในระดับนั้น การกินวิตามินซีมากเกินความต้องการก็จะไม่ดูดซึมและถ่ายทิ้งไป ทำให้เกิดอาการท้องเสียเหมือนอย่างที่ใครสักคนหนึ่งกินมะขามมากๆแล้วท้องเสียนั่นแหละการเกิดนิ่วในไตจากวิตามินซีจึงเกือบจะเป็นไปไม่ได้

            การกินวิตามินแพร่ไปเหมือนไฟลามทุ่ง ภายในระยะเวลา 3 ปีต่อจากนั้นและยิ่งแพร่อย่างรวดเร็วเมื่อมีกิจการขายตรงแบบ MLMชาวบ้านกลุ่มแรกๆที่กินวิตามินกันอย่างไม่อั้น ก็คือ ชาวบ้านระดับไฮโซไฮซ้อนั่นเอง   มิไยว่าผมจะพร่ำบอกให้ ปรับชีวิตเปลี่ยนอาหาร กินอยู่อย่างไทยซะก่อนก่อนที่จะกินวิตามิน เพราะต้องอยู่ประการหนึ่งว่าสารธรรมชาติเหล่านี้มีมากมายมหาศาลสกัดกลั่นอย่างไรก็เอาออกมาเป็นเม็ดๆไม่ได้หมดเพียงแค่ฟลาโวนอยด์ก็มีในธรรมชาติแล้ว 4,000 ชนิด แคโรทีนมีอยู่ 600 ชนิดและสารผักมีอีกมากกว่า 10,000 ชนิดแต่ภูมิปัญญามนุษย์นั้นสามารถสกัดออกมาได้เพียง 100 กว่าชนิดเท่านั้นเองดังนั้นถ้าจะคอยกินวิตามินโดยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหารก็นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย   กระนั้นก็ตามกิเลสของคนเรา ก็ทำให้ผู้คนมิได้สนใจในคำเตือนนี้เท่าไรนักจะมุ่งเอาแต่วิธีง่ายๆ คือคอยซื้อหาวิตามินมากิน กินแก้อ้วน กินให้หุ่นดีกินให้ผิวสวย กินให้ไม่ท้องผูก

           มีปรากฏอยู่บ่อยครั้งที่ผมถูกเชิญไปบรรยายให้สโมสรชาวไฮโซทั้งหลายฟังพิธีกรรมของบุคคลเหล่านี้ก็แปลก คือเวลาเชิญเราไปบรรยายเขาจะเร่งให้เรารีบๆกินอาหารให้จบๆไปก่อนแล้วเมื่อสมาชิกของเขามากันพอสมควรแล้ว ทีนี้เขาจะเสิร์ฟอาหารให้สมาชิกแล้วเชิญเราขึ้นพูด นับว่าไฮคลาสพอสมควร คืออย่างน้อยๆเราก็ไม่ใช่ตลกคาเฟ่ซึ่งมีจุดขายอยู่ที่ให้ผู้คนกินข้าวเคล้าเรื่องตลกต่างกันตรงที่ว่าเนื้อหาของเราที่บรรยาย คุณภาพคับแก้วประจุไว้ด้วยสาระวิชาการ นั่นต่างหาก   พอบรรยายเสร็จ เขาก็เชิญเรานั่งร่วมโต๊ะ ทีนี้ละท่านผู้ไฮโซทั้งหลายจะพากันมาถามเป็นส่วนตัวว่าวิตามินตัวนั้น ตัวนี้กินได้ ไม่กินดี เป็นต้นหลายๆท่านจะพกกระเป๋ามา 2 ใบ ใบหนึ่งเป็นกระเป๋าสตางค์อีกใบหนึ่งเป็นกระเป๋าวิตามิน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า"จะกินวิตามินเหล่านี้สักแค่ไหน แต่ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหารเล่นกินโต๊ะจีน กินอาหารฝรั่งอย่างที่เรากินกันมื้อนี้ กินไปอีกกี่ขวดก็จะป่วยง่าย ตายเร็วอยู่ดี"   ก็มีคนพยักหน้า เชื่อผมอยู่หลายคน แต่ผู้จัดคงรู้สึกถึงความตรงไปตรงมาของผมจากนั้นก็เคยไม่กล้าเชิญผมไปบรรยายให้ไฮโซไฮซ้อวงนั้นอีกเลย

          ครับ ในแนวคิดของบัลวี เราถือว่า คนเราจะหายป่วยเจ็บการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งแต่เมื่อป่วยเจ็บเสียเต็มประดา อย่างใครที่เป็นภูมิแพ้ เป็นมะเร็งการเอาอาหารที่เขาสกัดมาเป็นเม็ดเข้มข้นมากินเข้าไป และถ้าไม่ป่วยไม่เจ็บก็ไม่จำเป็นต้องกินวิตามิน

           อย่าทำให้ปัสสาวะของท่านแพงขึ้นด้วยวิตามินที่เกินความจำเป็นแค่กินอาหารให้ถูกส่วน กินผักผลไม้เยอะๆ ก็ได้รับวิตามินเพียงพอแล้วละครับ


กับดักสุขภาพ ประการที่ 7

            กินสมุนไพร คิดว่าปลอดภัยเสมอไป   ยุคนี้เป็นยุคของการคืนสู่ธรรมชาติและเมื่อพูดถึงธรรมชาติใครๆก็มักจะนึกถึงสมุนไพรมีผู้รักสุขภาพจำนวนไม่น้อยที่หนีจากการกินยาแผนปัจจุบันแล้วหันไปกินยาสมุนไพรโดยคิดอย่างเถรตรงว่า ขึ้นชื่อว่าสมุนไพรแล้วย่อมไม่มีผลร้ายแต่ประการใด นั่นนับเป็นความเข้าใจผิดประการหนึ่ง  

     แท้ที่จริงขึ้นชื่อว่ายาสมุนไพรก็หมายถึง สิ่งที่กินเพื่อบำบัดรักษาโรคแต่นำมาจากพืชและสัตว์ ถ้ามาจากสัตว์ก็เรียกว่า สัตว์สมุนไพรถ้ามาจากพืชก็เรียกว่า พืชสมุนไพรในสัตว์และพืชย่อมมีสารอินทรีย์จำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะออกฤทธิ์ช่วยบำบัดรักษาโรคให้กับคนเราสารอินทรีย์เหล่านี้ย่อมต้องการปริมาณที่พอเหมาะ ไม่น้อยเกินไปไม่มากเกินไปในการออกฤทธิ์รักษาโรค ทีนี้เมื่อจะใช้สมุนไพรในการรักษาโรค จึงต้องศึกษาวิธีการใช้และปริมาณการใช้ให้ถ่องแท้เสียก่อน ในอดีตที่ผ่านมาเคยมีกรณีใหญ่ๆที่ใช้สมุนไพรรักษาโรคอย่างไม่ถูกวิธีจนถึงขั้นเกิดอันตรายร้ายแรงกับผู้ใช้เช่นการใช้ผลมะเกลือคั้นน้ำกะทิเพื่อถ่ายพยาธิถ้าทำอย่างผิดวิธีก็ถึงขั้นทำให้เด็กที่กินถึงกับตาบอดได้   อีกกรณีหนึ่งคือ การใช้ใบขี้เหล็กรักษาอาการนอนไม่หลับแกงขี้เหล็กที่คนไทยรู้จักกันดี สามารถกินกันได้อย่างสนิทใจและมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ช่วยไม่ให้ท้องผูก และนอนหลับสบายอีกด้วยต่อมามีการค้นพบว่าใบขี้เหล็กยังมีสารยาซึ่งออกฤทธิ์ช่วยให้นอนหลับจึงมีความพยายามที่จะทำใบขี้เหล็กให้เป็นยาสมุนไพรสำเร็จรูปที่ใช้ง่ายเป็นชนิดเม็ดและกระบวนการผลิตก็กระทำกันอย่างง่ายๆโดยใช้ใบขี้เหล็กตากแห้งบดเป็นผงแล้วทำเป็นเม็ดขึ้นมาเลยซึ่งแม้แต่องค์กรรัฐวิสาหกิจทางด้านเภสัชกรรมก็ยังเป็นผู้นำหน้าในการผลิตขี้เหล็กเม็ดขึ้นมาวางจำหน่ายในท้องตลาด   อย่างไรก็ดี เมื่อขี้เหล็กแคปซูลเหล่านี้ เข้าถึงผู้บริโภคอยู่พักใหญ่ก็เริ่มมีข้อสังเกตจากแพทย์ระบบทางเดินอาหารหลายท่านว่าเริ่มพบผู้ป่วยด้วยโรคตับอักเสบที่ไม่พบสาเหตุอื่นนอกจากประวัติที่ว่าได้กินขี้เหล็กแคปซูลมาพักหนึ่ง

          หลังจากได้ติดตามค้นคว้ากันอยู่พักหนึ่ง ก็มีผลยืนยันออกมาว่าผู้คนที่มีเอนไซม์ตับเพิ่มขึ้นสูงเหล่านั้นต้องพิษจากสารบางอย่างในใบขี้เหล็กนั่นเองเป็นผลให้ต้องมีการประกาศให้เลิกใช้ยาเม็ดขี้เหล็กไปทั่วประเทศ   อย่างไรก็ดี คำถามมีว่าเหตุใดคนโบราณจึงกินแกงขี้เหล็กโดยไม่ปรากฏอันตรายขึ้น เหตุผลน่าจะอยู่ที่ว่าบรรพบุรุษของเรากินขี้เหล็กโดยเอามาแกงความร้อนได้ทำลายสารพิษบางอย่างในขี้เหล็กไปแล้ว จึงปลอดภัยในการกินแต่เมื่อนำใบขี้เหล็กผงมาทำเป็นเม็ด ไม่ได้ผ่านกระบวนการทำความร้อนสารพิษจึงยังคงอยู่  

        เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การกินอยู่อย่างบรรพบุรุษได้แฝงไว้ซึ่งภูมิปัญญาในการเลือกกินเลือกอยู่ในปลอดภัยไร้โรคแต่เมื่อคนสมัยใหม่คิดจะสุขภาพดีทางลัดโดยลัดภูมิปัญญาของท่านด้วยกรรมวิธีสมัยใหม่ อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  


กับดักสุขภาพ ประการที่ 8

           ไปฟิตเนส แต่เสียเงิน เสียสุขภาพ   สมัยหนึ่งกระทรวงสาธารณสุขนึกสนุกขึ้นมาจะพาคนไทยเต้นแอโรบิกส์ให้ได้จำนวนมากๆเพื่อลงกินเนสบุ๊คก็แห่กันไปเต้นกันย็อกแย็กอยู่วันเดียวเพื่อให้ได้ชื่อว่าลงบันทึกที่สุดในโลกเล่มนั้น งานนั้นเล่นเอาท่านอาจารย์เสมพริ้งพวงแก้ว สร้างความใจหายใจคว่ำให้แก่ลูกๆทั่วประเทศด้วยห่วงว่าท่านจะเกิดอาการไม่สบายขึ้นมาอย่างกระทันหัน โชคดีว่าไม่เป็นอะไรแต่เบื้องลึกของงานดังกล่าวเสื้อเหลืองถูกแจกจ่ายไปโดยกะเกณฑ์กันให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกันไปเต้นกันให้มากๆทั้งๆที่คนเต้นจำนวนไม่น้อย เกิดมาในชีวิตก็ไม่เคยออกกำลังกายเลยแต่ไปเพราะใจที่ถูกกะเกณฑ์ และไปเพราะมีเสื้อเหลืองบังคับอยู่   มาในวันนี้เสื้อสีเหลืองถูกเปลี่ยนมือเปลี่ยนสถานที่สวมไปอยู่แถวสวนลุมพินีเสียแล้วนั่นแสดงถึงความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่งแต่เหนือสิ่งอื่นใดพฤติกรรมเต้นแอโรบิกหมู่สะท้อนถึงความเห่อตามสมัยนิยมไปอย่างนั้นเอง   คนอีกจำนวนหนึ่ง เข้าฟิตเนสอย่างไม่รู้จักจุดมุ่งหมายของฟิตเนสให้ดีพอคิดแต่จะไปวิ่งลดน้ำหนัก บางทีอาจเสียเงินแล้วอาจเสียสุขภาพก็ได้   ก่อนอื่นคำว่าฟิตเนสมีความหมายกว้างไกลกว่าการวิ่งสายพานหรือเล่นลูกน้ำหนักเพราะฟิตเนสหมายถึงความแข็งแรงของร่างกาย ซึ่ง Garry Null และ Martin Feldmanได้ให้คำนิยามไว้ว่า Fitness ในโลกยุคปัจจุบันประกอบด้วย 3 ประการคือ  
1.Cardio-vascular Fitness ความแข็งแรงของหัวใจหลอดเลือด  
2.Immunity Fitness ความแข็งแรงของภูมิต้านทาน
3.Anti-oxidant Fitness ความแข็งแรงของการล้างพิษอนุมูลอิสระ
ความแข็งแรงทั้ง 3 ประการจะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม ออกกำลังกายแอโรบิกส์ที่ 60% Maximumheart rate ในระดับดังกล่าวจะได้ทั้งการฝึกฝนหัวใจหลอดเลือดเข้าสู่ภาวะแอโรบิกส์ ขณะเดียวกันอนุมูลอิสระก็เกิดขึ้นไม่มากไม่น้อยโดยอนุมูลอิสระจำนวนพอเหมาะจะกระตุ้นภูมิต้านทานให้แข็งแรงพอดิบพอดีถ้าออกกำลังมากไปกว่านั้น อนุมูลอิสระจะเกิดขึ้นล้นเกิน ทำให้ภูมิต้านทานลดต่ำและเป็นเหตุให้ร่างกายสึกหรอเพิ่มขึ้นอีกด้วย  

         นอกจากออกกำลังกายแล้ว ผู้ออกกำลังกายยังต้องรู้จักการกินอาหารที่เหมาะสมกินผักผลไม้ให้มากเพื่อลดอนุมูลอิสระ ถ้ากินได้มากเพียงพอ คือ 5ส่วนบริโภคต่อวันก็จะได้สารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอโดยไม่ต้องกินวิตามินชนิดเม็ดแต่ประการใด

         การออกกำลังกายยังต้องกระทำทั้งทางร่างกาย และทางจิตด้วยการออกกำลังทางจิตทำได้โดยฝึกลมหายใจ ฝึกลมหายใจให้ยาวจนถึงระดับ 6 ครั้ง/นาทีจะนำจิตเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งหรือสมาธิ   การเข้าฟิตเนสนั้นดีอยู่หรอก แต่ควรสนใจใช้อย่างมีคุณภาพประการต่างๆดังนี้:
1.ออกกำลังกายตามความสามารถของตน ไม่ใช่เร่งตัวเองไปตามแรงเชียร์ของพนักงานปัจจุบันฟิตเนสส่วนหนึ่งจ้างพนักงานโดยจ่ายตามเปอร์เซ็นต์ที่พนักงานคนนั้นเรียกได้จากลูกค้าจึงเกิดการ "เชียร์แขก" กันสุดขั้วไปข้างหนึ่ง หลายคนกล้ามเนื้อฉีก เอ็นอักเสบแล้วกลายเป็นจุดอ่อนไม่สามารถออกกำลังกายไปตลอดชีวิต
2.ฟิตเนสมิได้มีไว้ลดน้ำหนักสถานเดียว ต่อให้วิ่งคนลิ้นห้อยอาจเผาพลังงานไปเพียง 120-150 กิโลแคลอรีด้วยเวลาประมาณ 30 นาทีซึ่งเท่ากับข้าวต้มหมูชามเดียว ใครที่กินราดหน้าก็ต้องวิ่งถึง 45-60นาทีโดยประมาณ วิ่งสายพานอย่างเดียวจึงไม่ใช่สรณะของการลดน้ำหนักต้องปฏิบัติอย่างองค์รวมและผู้ประกอบการฟิตเนสก็ควรแสวงหาความรู้และแนวทางปฏิบัติอย่างองค์รวมเพื่อลูกค้าของตน
3.อุตส่าห์เสียเงินสมัค<

หมายเลขบันทึก: 44406เขียนเมื่อ 12 สิงหาคม 2006 00:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:37 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
  • น่าสนใจดีครับ เป็นเรื่องเล่าที่สนุก
  • แต่ควรจะทำ Link เพื่ออ้างอิงหรือให้เกียรติเจ้าของบทความด้วย จะดีมากครับ

ดีค่ะ  คนไทยกำลังเห่อสุขภาพและกังวลกับความงาม

โดยมุ่งใช้อาหารเสริม detox กันยกใหญ่

3.อุตส่าห์เสียเงินสมัครฟิตเนสแล้ว ก็ควรใช้อย่างสม่ำเสมอ กว่าร้อยละ 80ของสมาชิกฟิตเนส มักเห่อประเดี๋ยวประด๋าว ใช้เพียงไม่กี่ครั้งก็ทิ้งเงินไปนี่คือบริโภคนิยมอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่น่านิยมเสียทั้งเงินแถมไม่ได้สุขภาพอะไรกลับมานอกจากบัตรหนึ่งใบที่ได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกฟิตเนส

 กับดักสุขภาพ ประการที่ 9สวนกาแฟ แก้ได้ทุกโรค   คนไทยเห่ออะไรกันง่ายๆ โดยทำตามกันเป็นกระแสจึงมักจะสุดขั้วไปทางใดทางหนึ่ง เรื่องการสวนกาแฟก็เช่นเดียวกันเกิดเสียงร่ำลือกันว่า สวนกาแฟทำให้ผอมจากคำให้การของดารานางแบบคนหนึ่งจากนั้นกระแสสวนกาแฟก็เบ่งบาน
แทนที่จะเป็นเรื่องดีกลับทำให้การสวนกาแฟกลายเป็นเรื่องตลกร้ายทางสุขภาพมาตลอดปี คือสวนกาแฟผิดวัตถุประสงค์ เข้าใจว่าสวนเพื่อลดความอ้วน สวนเพื่อแก้ท้องผูกบางคนใช้กาแฟเกินพิกัด สวนแล้วตาสว่างไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืนบ้างก็สวนพร่ำเพรื่อจนกลายเป็นการเสพติดการสวนกาแฟ แถมเมื่อเกิดอาการมือสั่นใจสั่นหลังสวนกาแฟ ยังไปร่ำลือผิดๆว่า เป็นเพราะกาแฟกำลังช่วยให้เกิดการดีท็อกซ์ อยู่ หารู้ไม่ว่านั่นคือ อาการต้องพิษกาแฟ บางคนสวนแล้วสวนอีกวันละ2-3 ครั้ง ก็กลับสนับสนุนกันไปใหญ่ แท้ที่จริงการที่คนเหล่านั้นต้องสวนบ่อยมากเพราะเกิดอาการ เสี้ยนยา เพราะเสพติดกาแฟทางก้นนั่นเอง   แท้ที่จริง
การสวนกาแฟเป็นเทคนิคดีๆของการแพทย์แผนธรรมชาติประการหนึ่งที่เอื้ออำนวยแก่กระบวนการล้างพิษจากร่างกายโดยอาศัยคาเฟอีนที่ดูดซึมจากลำไส้ใหญ่ผ่านเข้าสู่ตับไปกระตุ้นให้ตับขับพิษได้ดีขึ้น   แต่ต้องรู้ว่า การสวนกาแฟไม่ใช่ยาครอบจักรวาลที่จะบำบัดสารพัดโรคและยิ่งไม่ใช่กรรมวิธีเพื่อการลดน้ำหนักหรือแม้กระทั่งถือเป็นสรณะในการรักษาอาการท้องผูก  
ข้อบ่งชี้ของการสวนกาแฟ
   - ใช้คู่กับการอดเพื่อสุขภาพ ช่วยล้างพิษจากร่างกายให้ดีขึ้น
   - สำหรับคนที่ถูกพิษมาเฉียบพลัน เช่น ผงชูรส ควันรถยนต์ ควันบุหรี่
   - รักษาภูมิแพ้ ไมเกรน ภูมิเพี้ยน เช่น SLE รูมาตอยด์ หอบหืด
   - อาการที่แสดงถึงภาวะสะสมสารพิษในร่างกาย
   - ผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อลดสารก่อไข้ที่ก้อนมะเร็งซึมซ่านออกมา
ช่วยลดผลข้างเคียงของเคมีและรังสีบำบัด
สวนกาแฟผิด ...คิดไปอีกนาน
อันตรายของการสวนกาแฟไม่ถูกวิธีคือ
   - ติดเชื้อ จากการใช้อุปกรณ์ประเภทถุงพลาสติกที่อมคราบความชื้นอยู่ภายใน
   - ต้องพิษกาแฟ เพราะใช้กาแฟมากเกินไป ใช้ถึงครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะพิษเฉียบพลันทำให้ใจสั่น พิษระยะยาวทำให้เสพติดกาแฟและอาจทำให้ตับทำงานหนักจนเกินขอบเขต
   - เสียเวลาต้มกาแฟ
   - อันตรายจากน้ำร้อนลวกลำไส้ เนื่องจากการใช้กาแฟชนิดต้มและเนื่องจากการใช้ถุงสวน ถุงที่เป็นพลาสติกเป็นฉนวนกั้นความร้อนทำให้เมื่อสัมผัสภายนอกแล้ว ไม่รู้อุณหภูมิที่แท้จริงของน้ำในถุง
คนที่ถูกน้ำร้อนลวกลำไส้จะมีอาการต่อไปนี้คือ
   - ปวดมวนท้อง
   - ปวดถ่วงอยากถ่าย
   - ถ่ายเป็นมูก บางคนถ่ายหลายๆครั้งติดๆกัน
 การสวนกาแฟในคนที่ร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอเช่นวัยรุ่นที่กินแต่อาหารขยะ แล้วสวนกาแฟตามแฟชั่น จะเกิดอาการคั่งพิษในตับเกิดอาการเปลี้ยเพลีย มึนหัวการสวนกาแฟจึงพึงสงวนไว้ใช้ในหมู่ผู้รักสุขภาพเท่านั้น วัยรุ่นกินแต่ Junkfood จึงไม่ควรมาสวนกาแฟให้เสียสถาบัน
เพื่อป้องกันปัญหาคั่งพิษในตับ ก่อนสวนจึงควรกินขมิ้นชัน 5 เม็ดลูกกลอน(หรือ 3 แคปซูล) ร่วมกับโสม 1 เม็ด  
ใครบ้างไม่ควรสวนกาแฟ
   - เด็กวัยเจริญเติบโต
   - หญิงมีครรภ์
   - ผู้แพ้กาแฟ จะเกิดอาการปวดมวนท้อง
   - ผู้ที่ความดันเลือดสูงวิกฤต และยังควบคุมไม่ได้ เช่นสูงเกิน 160/100 มม.ปรอท
   - ผู้ที่เพิ่งผ่าตัดลำไส้มายังไม่ถึง 1 เดือน ควรรอให้รอยผ่าตัดลำไส้ได้สมานคืนดีๆเสียก่อน
   - ผู้ที่ถูกฉายรังสีบริเวณท้องน้อยเยื่อบุลำไส้อาจได้รับผลกระทบทำให้มีความระคายเคืองมากอยู่แล้ว
อุปกรณ์การสวน ...ข้อพึงสังวรณ์
   - ชุดสวนแบบถุงพลาสติก อาจมีอันตรายจากความชื้นที่หมักหมม ทำให้เกิดเชื้อรา
   - ชุดสวนแบบเป็นกระเป๋าน้ำร้อนดัดแปลงอาจมีสารโลหะหนักหลุดออกมาจากเนื้อยางเข้าสู่ลำไส้
   - ชุดสวนที่ทำจากขวดน้ำพลาสติกใสๆ (ขวด PET) เคยมีข่าวส่งกันทางอินเตอร์เนตพบว่าเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งใช้ขวด PET กรอกน้ำดื่มเพื่อใช้ซ้ำๆในภายหลังเด็กคนนี้เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ การใช้ขวด PET
จึงมีข้อพึงสังวรณ์
   - ชุดสวนมาตรฐานแบบสเตนเลส ล้างทำความสะอาดให้แห้งได้ ใช้ได้ทนทานตลอดชีพ
   - ชุดสวนมาตรฐานแบบพลาสติก ล้างทำความสะอาดให้แห้งได้ เบาสบาย พกสะดวกโปร่งใสสามารถกะปริมาณน้ำกาแฟได้
กาแฟใช้สวน...อย่างไหนเหมาะหรือไม่เหมาะ
   - กาแฟบดธรรมชาติซองละ 2 ช้อนโต๊ะ ต้องต้มเสียเวลา และมัก Overdose เพราะปกติคนเราชงกาแฟเพียงครั้งละ 1 ช้อนชา การใช้ครั้งละซองคือ 1 ช้อนโต๊ะเสี่ยงที่จะเกิดการต้องพิษกาแฟ
   - กาแฟผงธรรมดา ซองละ 2 ช้อนโต๊ะ ใช้แช่น้ำร้อน ยิ่งคุมโด๊สได้ลำบาก
   - ปัจจุบันมี 'แฟสวน ชนิดใหม่ สำเร็จรูปชนิดซองละ 2.5 กรัม ใช้สะดวกใช้น้ำอุ่นอาบน้ำธรรมดาละลายน้ำใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องต้ม
สวนกาแฟต้องต่อย Vitamin B ใส่ลงไปหรือไม่
คนเราจะทำอะไรก็ต้องหาความรู้และใช้อย่างสมเหตุผลใครที่ทำเช่นนั้นเคยถามเจ้าของตำรับหรือไม่ว่า ต่อยลงไปเพื่ออะไรถ้าจะบอกว่าเพื่อให้ดูดซึมไปให้ตับได้ใช้ปัญหามีอยู่ว่าวิตามินบีที่ทางเภสัชกรรมเขาทำไว้สำหรับฉีดเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ายาหลอดนั้นจะมีอัตราการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทางลำไส้ใหญ่ได้ขนาดไหนและเมื่อมันถูกเจือจางอยู่ในน้ำทั้ง 1 ลิตรจะมีโอกาสสัมผัสลำไส้เพื่อดูดซึมได้เพียงใดเพราะบางคนกลั้นไว้ได้ครู่เดียวก็ต้องลุกขึ้นถ่ายทิ้งเสียแล้วก็เหมือนเอาวิตามินบีมากลั้วคอแล้วบ้วนทิ้ง จะมีประโยชน์อะไรถ้าต้องการวิตามินบี ก็ใช้ชนิดเม็ด กินเข้าไปทางปากทางเภสัชกรรมทำไว้พร้อมสำหรับการดูดซึมทางกระเพาะอยู่แล้วแถมถูกสตางค์กว่ากันมากมาย การต่อยวิตามินบีใส่น้ำกาแฟเพื่อสวน ก็เป็นเพียงการ ทำเท่ประการหนึ่งเท่านั้น
กับดักสุขภาพประการที่ 10

กินอาหาร 5 หมู่ อาจป่วยง่าย ตายเร็วคำว่า "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่" ดูเหมือนจะกลายเป็นป้ายโฆษณาที่ใครต่อใครซึ่งสอนคนให้สุขภาพดีจะต้องแขวนไว้ แต่เอาเข้าจริงๆแล้วเนื้อหาของคำว่ากินอาหาร 5 หมู่ เกือบจะไม่ต่างไปกับ "เชิญกินไปตามสบายปล่อยให้สุขภาพเป็นไปตามยถากรรม"มีใครบ้างในสมัยนี้ไม่กินอาหาร 5 หมู่? ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ว่ากินอย่างไหนในสัดส่วนเท่าไหร่ต่างหากเล่าความเป็นมาของการชูคำขวัญ "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่"มีประวัติความเป็นมาที่เข้าใจได้ กล่าวคือ สมัยที่ประเทศไทยยังด้อยพัฒนาคนบ้านนอกยังมีอาหารไม่พอกิน แถมมีความเชื่อเรื่องห้ามกินของแสลง เช่นหญิงหลังคลอดให้กินแต่ข้าวกับเกลือ จึงบังเกิดผลให้คนไทยขาดอาหารเด็กเล็กมีอาการพุงโรก้นปอด บ้างก็ตัวบวม ขาดทั้งแคลอรีทั้งโปรตีนบ้างขาดวิตามิน ป่วยเป็นโรคเหน็บชา ตาบอดกลางคืน ลักปิดลักเปิดด้วยเหตุฉะนี้จึงมีความจำเป็นในสมัยนั้นที่จะต้องระดมให้คนไทยกินโปรตีนและอาหารอุดมวิตามินเพิ่มขึ้นครั้นจะเน้นแต่สารอาหารอย่างหนึ่งอย่างใดเพียงชนิดเดียวย่อมไม่ถูกต้องจึงเกิดเป็นคำขวัญให้คนไทย "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่"นั่นเป็นคำขวัญที่สอดคล้องกับยุคสมัยที่คนไทยส่วนข้างมากป่วยเป็นโรคขาดอาหารทีนี้พอสังคมปลี่ยนไปการพัฒนาประเทศทำให้เราผลิตอาหารจนส่งออกไปเลี้ยงคนทั่วโลกเรากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ การค้าพาณิชย์เจริญขึ้น เกิดศูนย์การค้าเกิดอาหารสำเร็จรูป เกิด food center แล้วก็เกิดค่านิยมแบบบริโภคนิยมกินกันไม่อั้น เวลาพบปะสังสรรค์ก็เจอกันที่ร้านอาหารการเจรจาธุรกิจบางทีก็อาศัยโต๊ะอาหารเป็นที่เจรจาอาการป่วยเจ็บด้วยบริโภคนิยมจึงตามมา ได้แก่โรคอ้วน ไขมันเลือดสูงความดันเลือดสูง โรคหัวใจ ภูมิแพ้ แม้กระทั่งมะเร็งและโรคสำคัญๆกลุ่มนี้กลายเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆของประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยการยังคงมุ่งชูแต่คำขวัญ "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่"จึงไม่น่าจะสอดคล้องกับปัญหาสุขภาพแห่งยุคสมัยอีกต่อไปเพราะนักธุรกิจกินสเต็กเนื้อสัน นายห้างกินโต๊ะจีน วัยรุ่นกินฟ๊าสต์ฟู้ดชาวหอกินบะหมี่ซอง ต่างก็คิดว่าตนเองกำลังกินอาหาร 5 หมู่กันทั้งนั้นแต่แท้ที่จริงแล้ว พฤติกรรมดังกล่าวล้วนนำพาพวกเขาไปสู่ภาวะ "ป่วยง่ายตายเร็ว"
เหตุการณ์เช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยแต่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาก่อนหน้านี้ประมาณ 15-20 ปีและนั่นเป็นสาเหตุให้ชาวอเมริกันตื่นเต้นกันมากที่มีชาวตะวันออกบางคนเข้าไปในอเมริกาบอกให้กินอาหารแนวอื่น ที่หักหัวเลี้ยวความเชื่อของชาวตะวันตกแต่กลับทำให้สุขภาพดี เช่นแล้วบอกให้กินสาหร่าย กินปลา กินเต้าหู้นั่นคือความโด่งดังของอาหารแม็คโครไบโอติกส์ โดยมิชิโอ คูชิชาวอินเดียอีกบางคนเช่นมหาริชชี มเหสโยคะได้ไปโน้มนำอเมริกันให้กินมังสวิรัติฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ก็เป็นที่ต้อนรับ จนกระทั่งเกิดผู้นำสุขภาพคนอื่นๆเช่นนอร์แมน วอล์กเกอร์ แอน วิคมอร์ โรเบิร์ต เกรย์ เลสลี เคนตันซึ่งเสนอกินเพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารกระทั่งการอดเพื่อสุขภาพเพื่อล้างพิษจากร่างกาย แพทย์อีกหลายคนในอเมริกา เช่น นพ.ดีน ออร์นิชนพ.ดีภักดิ์ ชูพระ นพ.แอนดรู ไวล์เสนอหนทางสุขภาพอันหลากหลายซึ่งแตกความคิดไปจากการกินอาหาร 5 หมู่แต่กลับพิสูจน์ว่ามิเพียงป้องกันโรค แต่รักษาโรคได้ด้วยซ้ำ
ในที่สุดสถาบันสุขภาพแห่งชาติอเมริกันหรือกระทรวงสาธารณสุขของเขาก็ทนไม่ไหวจึงลุกขึ้นมาเสนอหลักชั่งตวงวัดปริมาณอาหารแต่ละหมู่เพื่อสุขภาพ อย่างแคเธอรีนโวเตกีเสนอให้กินผักสดผลไม้ให้ได้ 5 ส่วนบริโภคต่อวันเพื่อจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอเพื่อป้องกันโรคเสื่อมความคิดใหม่ๆเหล่านี้ทำให้คำขวัญที่ว่า "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพดี"เสื่อมความหมายลงท่านผู้อ่านลองตรองดูง่ายๆก็ได้ว่า ตัวเราเองอาจกินอาหารครบ 5 หมู่แต่กินไปกินมา ทำไมเกิดโรคไขมันเลือดสูงขึ้นได้ คุณพ่อของเรา กินอาหารก็ครบ 5 หมู่แต่กินไปกินมาทำไมกลายเป็นโรคหัวใจได้ล่ะคุณแม่ของเรากินอาหารครบ 5 หมู่เหมือนกันแต่ตอนนี้ก็กลายเป็นเบาหวานไปซะแล้วส่วนคุณลุงข้างบ้าน ก็ท่องจำการจำแนกอาหาร 5 หมู่จนขึ้นใจ แต่กินไปกินมาไหวกลายเป็นมะเร็งไปซะแล้วแสดงว่า "การกินอาหารครบ 5 หมู่" ไม่ได้ช่วยให้คนเราสุขภาพดีอย่างแท้จริงดร.เจฟฟรี บรานด์ผู้นำสุขภาพอีกคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเคยมาบรรยายที่เมืองไทยเมื่อ7 ปีก่อนเขาบรรยายท่ามกลางแพทย์พยาบาลทั้งหลายว่า "ขอโทษทีเถอะครับถ้าผมจำต้องกล่าวว่า คำว่ากินอาหาร ครบ 5 หมู่นั้นไม่เป็นที่พูดถึงกันอีกต่อไปแล้วในสหรัฐอเมริกาแต่ทุกวันนี้ชาวอเมริกักำลังพูดถึง functional food ต่างหาก"
Functional food หมายถึงสิ่งที่กินเข้าไปแล้วเกิดผลมีปฏิสัมพันธ์กับร่างกาย ทำให้เกิดการบำบัดโรค อาหาร functional foodเป็นอาหารที่อุดมด้วยผัก ผลไม้ ซึ่งมีแอนติออกซิแดนต์ในความเข้มข้นสูงแถมพืชผักอีกหลายตัวยังมีสารกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า phyto-nutrientซึ่งกินเข้าไปแล้ว เข้าไปออกฤทธิ์ 3 ประการกับร่างกาย
1.เป็น immuno stimulator กระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกาย
2.เป็น cancer blocker ยับยั้งการออกฤทธิ์ของสารก่อมะเร็ง
3.เป็น anti mutagenic agent ป้องกันไม่ให้เซลล์ดีๆกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง
สำหรับประสบการณ์ของศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวีเราค้นคว้าเรื่องแนวทางการกินอาหารสุขภาพมาเกือบ 30 ปีแล้วพบว่ายุคสมัยนี้การกินอาหารเพื่อสุขภาพต้องกินให้สอดคล้องกับสภาพสุขภาพเฉพาะของแต่ละคนรวมเรียกว่า "อาหารธรรมชาติบำบัด" จำแนกได้ดังนี้คือ:
1.สำหรับบุคคลทั่วไป การกินอยู่อย่างไทย ได้แก่กินข้าวกล้อง กินผัก กินปลา กินน้ำพริก ช่วยสร้างเสริมสุขภาพได้เป็นอย่างดี
2.สำหรับคนอ้วน ไขมันเลือดสูง นอกจากกินอยู่อย่างไทยแล้วให้รู้จักการอดเพื่อสุขภาพเป็นระยะๆ เช่น อดล้างพิษ 10 วันทุก 6 เดือนสลับกับการอดล้างพิษ 1 วัน ทุก 1 หรือ 2 สัปดาห์ ช่วยลดความอ้วนลดไขมันเลือดได้
3.สำหรับคนเป็นเบาหวาน ใช้หลักกินเนื้อกินผัก งดข้าว งดผลไม้ ด้วยเวลา 3 เดือน เพื่อให้ตับอ่อนได้พัก แล้วค่อยปรับเพิ่มอาหารคาร์โบไฮเดรตก็ช่วยบำบัดเบาหวานได้
4.สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ใช้อาหารต้านมะเร็ง กินข้าวกล้อง ผัก ผลไม้งดเนื้อสัตว์ ไขมัน 6 เดือน ถึง 2 ปี เป็นปัจจัยหนึ่งในการรักษามะเร็งโดยตวงปริมาณโปรตีนด้วยเต้าหู้หรือไข่ขาวเป็นรายๆไป
เหล่านี้ต้องปรับเปลี่ยนไม่ให้ตายตัวภายใต้การดูแลแนะนำของแพทย์ธรรมชาติบำบัด ก็ช่วยรักษาแต่ละโรคได้

ผมเอาที่เหลือมาต่อให้ครับผม

เครดิต www.ladytip.com

หุ่นดีอย่างเดียวไม่พอต้องมีสุขภาพดีด้วย
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท