เพื่อสุขภาพที่ดีสำหรับทุกคน
กับดักสุขภาพ 10 ประการ ที่คนไทยใหลหลง นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล พูดถึงสุขภาพ ใครๆก็รักสุขภาพกันทั้งนั้นแต่ครั้นถึงเรื่องราวของการเอาใจใส่สุขภาพนี่ซิ บางทีก็หลงไปกับบางกรรมวิธีซึ่งแทนที่จะให้คุณ กลับให้โทษ หรือทำให้เสื่อมสุขภาพลงกว่าเดิม
กับดักสุขภาพประการที่ 1
ดื่มน้ำยิ่งมาก ยิ่งดี คนจำนวนไม่น้อยเชื่อกันว่า ให้ดื่มน้ำมากๆ ยิ่งมากยิ่งดี หลายคนถึงกับดื่มน้ำวันละ 3-4 ลิตร บางคนก็ร่ำลือกันว่าหมอจีนสอนให้ตื่นนอนเช้าดื่มน้ำทันที 4 แก้ว เพราะช่วยให้ขับถ่ายดีก็เลยคิดต่อไปว่า ถ้าดื่มน้ำ 4 แก้วตอนเช้ามีประโยชน์ขนาดนั้นตลอดทั้งวันก็ควรดื่มให้มากที่สุด จนเรียกได้ว่า แค่นดื่ม กันเลยละพวกเขาดื่มน้ำอย่างไม่จำกัดจำนวน เพราะเชื่อว่าจะได้สุขภาพดี คนที่ดื่มน้ำมากเช่นนี้ นานเข้าจะเกิดอาการขึ้นอย่างหนึ่ง คือเกิดอาการปัสสาวะมาก ปัสสาวะใส มือเท้าเย็น หนาวง่ายนานเข้าจะเกิดภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง ขาอ่อนแรง และหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เหตุผลก็คือ ไตมิใช่เพียงท่อกลวงๆที่ปล่อยให้น้ำผ่านไปเฉยๆ แต่ไตมีหน้าที่เก็บรับเอาสิ่งที่ยังเป็นประโยชน์กับร่างกาย ที่ปัสสาวะชะผ่านไปให้เก็บกลับเข้าสู่ร่างกาย ได้แก่เกลือแร่ชนิดต่างๆไตยังทำหน้าที่ปรับความเข้มข้นของปัสสาวะให้พอเหมาะด้วยเหตุนี้การปล่อยน้ำผ่านไตมากๆ ไตจึงต้องทำงานหนัก เสียพลังในการทำงานเยอะนานเข้าก็เกิดอาการอย่างที่หมอจีนเรียกว่า พร่องพลังไต
เปรียบเทียบง่ายๆว่า เหมือนภูเขาลูกหนึ่ง ที่ปล่อยให้ฝนตกกระหน่ำเอาๆฝนย่อมชะเอาฮิวมัสหรือปุ๋ยธรรมชาติที่อยู่บนผิวดินออกไปกับน้ำเสียหมด นานๆเข้า เขาลูกนั้นก็กลายเป็นเขาหัวโล้น
แท้ที่จริงวิชาสุขศึกษาบอกว่าดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แต่ตามปกติเรามีน้ำในมื้ออาหารอยู่แล้ว ถ้าจะหักลบน้ำที่ดื่มในมื้ออาหารออกคนเราก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 4 แก้ว สำหรับคนที่พร่องพลังไตอยู่แล้วก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 3 แก้ว จึงจะแก้สถานการณ์ได้
ส่วนการที่หมอจีนบอกว่าให้ดื่มน้ำ 4 แก้วตอนเช้านั้น แท้ที่จริงเพื่อช่วยให้ขับถ่าย เพราะเถ้าแก่ทั้งหลาย กินแต่ข้าวขาวกินหมูกินไก่ ผักไม่ค่อยกิน เพราะถือว่าผักเป็นอาหารของคนจนหมอจีนจึงใช้วิธีนี้สอนคนท้องผูก แต่ถ้าเรากินข้าวกล้อง ผักผลไม้มากพอก็ไม่จำเป็นต้องแค่นดื่มน้ำเช่นนั้น
กับดักสุขภาพประการที่ 2
นอนดึก ตื่นสาย คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า การนอนแม้จะจำเป็น แต่ดึกๆมักมีเรื่องน่าดูในจอโทรทัศน์ หรือไม่ก็บนจอคอมพิวเตอร์เลยตากสายตาดูโทรทัศน์ดึกๆ วัยรุ่นเล่นคอมฯ แช็ตกันเพลินจน 5 ทุ่ม สองยามแล้วเข้านอน กะว่าตื่นเอาสายๆก็ทดแทนจำนวนชั่วโมงการนอนได้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัยรุ่นที่ต้องรีบไปเรียนหนังสือแต่เช้าหรือวัยทำงานที่ต้องแข่งขันเบียดแทรกตัวเองไปทำงานแต่เช้ามืด
ด้วยเหตุนี้ คนนอนดึก ตื่นเช้ามืด จำนวนชั่วโมงการนอนก็ไม่พออยู่แล้วสุขภาพย่อมเสียสุดๆ ส่วนคนนอนดึกตื่นสาย ก็ใช่ว่าสุขภาพจะดีนานเข้าสุขภาพก็เสื่อมสุดๆอีกเหมือนกัน เหตุผลเพราะแท้ที่จริงสัตว์ต่างๆล้วนมีโครงสร้างของสรีระร่างกายที่กำหนดว่าสัตว์นั้นเป็นสัตว์กลางวัน หรือสัตว์กลางคืน อย่างค้างคาว นกฮูก แมวเหมียวต้องถือเป็นสัตว์กลางคืน เพราะมีเรดาร์ มีตาโต เอาไว้ใช้งานตอนกลางคืนแต่คนเราต้องสังกัดเป็นสัตว์กลางวัน
เดิมทีเดียวสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดแรกของโลกคือตัวซาลาแมนเดอร์มีตาอยู่ 3 ดวง ตาดวงที่สามเป็นเกล็ดอยู่ตรงกลางหน้าผาก คอยทำหน้าที่รับแสงตะวันเวลากลางวันแสงสว่างจะทำให้เกล็ดนี้สร้างฮอร์โมนซีโรโตนินทำให้มันแจ่มใสออกมาหากิน เวลากลางคืนเกล็ดนี้จะสร้างฮอร์โมนเมลาโตนินทำให้มันง่วงเหงา เข้ารูนอน ครั้นวิวัฒนาการจนมาเป็นคนเกล็ดนี้จมลึกเข้าไปในหน้าผาก กลายเป็นต่อมเหนือสมอง หรือ ต่อมไพเนียลยังคงสร้างฮอร์โมน 2 ชนิดนี้สลับกันอยู่ หรือเรียกอีกทีต่อมนี้คือนาฬิกาชีวภาพที่ปลุกเราให้ตื่นเช้าและกล่อมเราให้เข้านอนโดยอัตโนมัติ
การตากแสงไฟดึกๆจึงเป็นการรบกวนต่อมไพเนียลซึ่งเป็นนายเหนือต่อมฮอร์โมนทั่วร่างกายมันส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมอง ไปไทรอยด์ ต่อมหมวกไต รังไข่ และอัณฑะถ้าต่อมไพเนียลทำงานผิดเพี้ยน ฮอร์โมนทั่วร่างกายก็ผิดเพี้ยนไปด้วยงานวิจัยชิ้นหนึ่งของหมอลลิตาสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ซึ่งอาจารย์ร็อกกี้เฟลเลอร์จูงใจให้ทำทดลองให้ส่องไฟให้หนูทดลองตลอดคืน ทำอยู่เช่นนั้นหลายๆวันปรากฏว่าหนูทดลองถึงกับแท้งลูกนี่แสดงถึงความสำคัญของต่อมไพเนียลซึ่งถึงกับสร้างความแปรปรวนของระบบฮอร์โมนในร่างกายเพียงเพราะว่าแสงไฟที่สาดส่องให้อย่างไม่เป็นเวลา
งานวิจัยอีกชิ้นในสหรัฐฯทดลองในพยาบาลเวรดึกกลุ่มหนึ่งให้ออกเวรแล้วเดินผ่านอุโมงค์มืดๆไปเข้านอนอีกกลุ่มให้เดินผ่านแสงตะวันยามเช้า ไปเข้านอนเมื่อเจาะเลือดเปรียบเทียบระดับฮอร์โมนของร่างกายพบว่าพยาบาลกลุ่มหลังฮอร์โมนแปรปรวนไปหมดขณะที่กลุ่มแรกฮอร์โมนยังอยู่ในเกณฑ์ปกตินี่ก็อิทธิพลของแสงตะวันที่เจ้าตัวรับเข้าไปผิดเวลา
แท้ที่จริงแล้ว คนเราจึงควรนอนหัวค่ำ ตื่นเช้า แทนที่จะตากแสงไฟอยู่จนดึกๆ
กับดักสุขภาพประการที่ 3
กลัวโคเลสเตอรอล จนไม่กล้ากินไข่ แต่ไพล่ไปดื่มนม นิตยสาร Time ในอเมริกาตีพิมพ์ตั้งแต่เดือนกันยายน 1999 บอกว่า "Cholesterol-Good News"ยืนยันว่า โคเลสเตอรอลในเลือดของคนเรา สร้างจากภายในตัวเราเองถึง 90% มีเพียง10% ที่เป็นผลกระทบจากโคเลสเตอรอลในอาหารและวัตถุดิบที่สร้างโคเลสเตอรอลคือกรดไขมันอิ่มตัวดังนั้นไข่ซึ่งเป็นแหล่งของโคเลสเตอรอลจึงได้รับการถอดออกจาก Black listทางโภชนาการที่อเมริกา แต่ตรงกันข้ามแหล่งของกรดไขมันอิ่มตัวหลายอย่างได้รับการบรรจุให้กลายเป็นตัวที่ถูกเพ่งเล็งทางสุขภาพตัวสำคัญได้แก่ นม เนย ชีส รวมทั้ง peanut butter
ผลยืนยันได้ในเชิงปฏิบัติที่เป็นจริง ดังจะเห็นว่า ประเทศไทยซึ่งถูกประโคมให้กลัวไข่กันมามากกว่า 10 ปีจนปัจจุบันคนไทยกินไข่เพียง 130 ฟอง/คน/ปี แต่คนไทยดื่มนมกันไม่อั้นเพราะถูกประโคมข่าวว่ายิ่งดื่มนมยิ่งสุขภาพดีผลปรากฏว่าคนไทยมีโรคไขมันเลือดสูงมากขึ้นๆทุกปีรวมทั้งโรคอ้วนทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ไทยมีโรคไขมันเลือดสูง 50%ของประชากรในเมือง แม้แต่เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปีพูดง่ายๆว่าอยู่ในวัยอนุบาลก็มีไขมันเลือดสูง 25% ของประชากรเด็กเหล่านี้ยังไม่ได้กินอย่างอื่นแน่ แต่ถูกป้อนให้ดื่มนมไม่อั้น
มาดูอย่างประเทศจีนบ้าง จีนกินไข่มากกว่าเรา คือ 330 ฟอง/คน/ปี กินไข่มากกว่าเรา 3 แต่คนจีนมีโรคไขมันเลือดสูงต่ำกว่าคนไทยการดื่มนมจึงเป็นกับดักสุขภาพที่ต้องละเลี่ยง ที่สนุกไปกว่านั้นก็คือ ปัจจุบันทั่วโลกในประเทศที่มีการศึกษาสูงกำลังหันมาส่งเสริมการบริโภคไข่ ลดละการดื่มนม ที่เบลเยี่ยมมีประดิษฐกรรมใหม่เขาสร้างไข่ชนิดใหม่ เรียกว่า ไข่โคลัมบัส ไม่ใช่ไข่ของคนที่คริสโตเฟอร์โคลัมบัสหรอกนะครับ แต่เป็นไข่ที่นอกจากกินแล้วโคเลสเตอรอลไม่สูง(ซึ่งไข่ทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น)แต่ไข่โคลัมบัสใช้กระบวนการเลี้ยงไก่ด้วยอาหารพื้นบ้านซึ่งเขาถือว่าอาหารพื้นบ้านจะมีสัดส่วนของโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6ที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ เมื่อมาเลี้ยงไก่ด้วยวิธีนี้จะทำให้ไขมันจำเป็นในร่างกายถูกต้องไปด้วยเป็นผลให้กินไข่โคลัมบัสควบคุมโคเลสเตอรอลในเลือดได้อีกต่างหาก
จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องอดกินไข่ยกเว้นแต่ว่าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว มีนิสัยชอบกินนม กินเนยก็ขอแนะนำให้งดเนย งดนม กินไข่อย่างเดียวโคเลสเตอรอลจะไม่สูงอย่างแน่นอน
กับดับสุขภาพ ประการที่ 4
ไม่กินไขมันเลย เพราะกลัวอ้วน เราถูกรณรงค์ให้หลีกเลี่ยงการกินไขมัน เพราะกลัวอ้วน กลัวไขมันเลือดสูงจนคนจำนวนหนึ่งกลัวไขมันเกินกว่าเหตุตนเองยังสุขภาพแข็งแรงไม่ได้ป่วยเจ็บเป็นโรคอะไร แต่ไม่กินไขมันเลยเป็นเวลาหลายๆปี จนกลายเป็นภาวะพร่องไขมัน แท้ที่จริงเราต้องรู้ว่า ไขมันเป็นสารอาหารกลุ่มหนึ่งที่ร่างกายต้องใช้ในร่างกายของเรามีไขมันอยู่ 3 ชนิดใหญ่ๆ หนึ่งคือโคเลสเตอรอลสองคือไตรกลีเซอไรด์ และสามคือฟอสโฟไลปิดเราใช้โคเลสเตอรอลเป็นแหล่งวัตถุดิบในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์และสร้างฮอร์โมนเพศกับฮอร์โมนคอร์ติโซลส่วนไตรกลีเซอไรด์เป็นแอ่งพลังงานในกระแสเลือด เพื่อหนุนช่วยน้ำตาลในเลือดส่วนฟอสโฟไลปิดเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างเซลล์ประสาท ฯลฯ
จึงเห็นการหลีกเลี่ยงอาหารไขมัน จนถึงกับไม่กินเลยทั้งๆที่สุขภาพเป็นปกติอยู่นั้น นานๆเข้าก็จะเกิดโรคจะยกตัวอย่างกรณีสุดขั้วกรณีหนึ่ง ผมเคยพบนิสิตมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งเดินเข้ามาหาผมด้วยน้ำหนักตัว 35 กก. จินตนาการเหมือนกับไม้แขวนเสื้อลอยมาอย่างนั้นแหละ แต่เธอเข้ามาหาผม พร้อมกับบอกว่า "หนูต้องการลดน้ำหนักค่ะ" เธอมีความคิดว่าน้ำหนักตัวขนาดนั้นของเธอยังไม่เป็นที่พอใจบอกว่าอยากให้หุ่นผอมเพรียวเหมือนสาวที่เดินบนแค็ตวอล์กด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่กินน้ำมันทุกชนิดผมมองปราดเดียวที่ใบหน้าและผิวพรรณของเธอก็บอกได้เลยว่าเธอกำลังป่วยด้วยภาวะพร่องไขมัน คือผิวแห้งและหน้าตาหม่นหมองมากถามประวัติอีกหน่อยก็พบว่า ผมเธอร่วงเป็นประจำ และที่สำคัญก็คือเธอขาดประจำเดือนมาได้กว่าปีแล้ว
นั่นเป็นเพราะว่า ภาวะที่พร่องไขมัน ร่างกายก็ขาดวัตถุดิบไปสร้างฮอร์โมนเพศทั้งสำหรับสุขภาพของผิวพรรณ และเส้นผมอีกด้วย น่าเสียดายว่าความเข้าใจผิดๆประการนี้ทำให้แม้กระทั่งนิสิตปีสี่ของมหาวิทยาลัยอย่างเธอต้องหลงผิดไปตามแสงสีของแฟชั่นคิดดูก็น่าใจหาย ผมนึกถึงกฎแห่งการอยู่รอดของดาร์วิน ที่บอกถึงการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติสัตว์ใดแข็งแรงกว่าย่อมอยู่ได้ สัตว์ใดที่อ่อนแอกว่าก็สูญพันธุ์ไปในที่สุดสังคมมนุษย์ก็คงเช่นเดียวกัน คนใดฉลาดกว่ารู้จักแสวงหาความรู้ที่ถูกต้องและดำเนินชีวิตที่ชอบที่ควรก็อยู่รอด แต่คนใดไม่ฉลาดหาความรู้หรือหลงไปในทางอวิชชา สุดท้ายก็ทำลายสุขภาพตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอยังอาจหมดโอกาสสืบพันธุ์อีกด้วย อย่างกรณีขาดประจำเดือนของสาวหลงรายนี้ธรรมชาติก็คงบอกว่า "สาวน้อย เธอจงอย่ามีประจำเดือนและอย่าสืบสกุลมีลูกมีหลานเถอะนะ"นี่คือการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติตามกฎของดาร์วินอีกเหมือนกัน
มีกรณีตัวอย่างขนาดเบาๆอีกตัวอย่างหนึ่ง คือพี่สาวของผมเองซึ่งไปได้ตำแหน่งงานดีๆ ที่วิทยุแห่งชาติ นครปักกิ่ง ประเทศจีนโน่นเธอเป็นผู้รักสุขภาพเช่นเดียวกันและมักจะดูแลตัวเองและสามีเรื่องระดับโคเลสเตอรอลในเลือดด้วยเหมือนกันเธอกินข้าวกล้อง กินผัก กินปลาและกินผลไม้สม่ำเสมอ เมื่ออยู่เมืองไทยเธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ชอบกินไขมัน เมื่อไปอยู่ปักกิ่ง เธอก็ยังคงควบคุมอาหารเหมือนเมื่ออยู่เมืองไทยเธอสู้อุตส่าห์หาข้าวกล้องที่เมืองจีนมาหุงกินเป็นประจำนับเป็นการแสวงหาที่ยากลำบากมาก เพราะคนจีนยังไม่ตื่นตัวเรื่องกินข้าวกล้องแต่สามีเธอก็สู้อุตส่าห์หามาให้ครอบครัวได้กินกันจนได้ สิ่งที่เธอกังวลก็คือ อาหารปักกิ่งล้วนแต่เป็นอาหารมันๆทั้งนั้นซึ่งขัดกับนิสัยการคุมไขมันของเธอ เธอจึงพยายามกินอาหารปักกิ่งให้น้อยที่สุดตื่นเช้าต้มข้าวต้มกินกับกับข้าวง่ายๆ ตอนเที่ยงจำต้องกินอาหารจีน แต่พอตกเย็นบ่อยครั้งที่เธอจะไม่กินข้าว จะกินแต่ผลไม้แทน
ผลปรากฏว่า เมื่อตกเข้าหน้าหนาว เธอมีอาการหนาวจนแทบจะทนไม่ไหวและก็ไม่ค่อยรู้สึกสดชื่นเหมือนเดิม พอดีผมไปเยี่ยมเธอที่ปักกิ่งและกินอาหารอยู่ในบ้านด้วยกัน ก็เป็นอันถึงบางอ้อเพราะแท้ที่จริงเธอคุมน้ำมันจนสุดขั้วเกินไปนั่นเอง ธรรมชาติบำบัดจะบอกว่า "กินอยู่ตามวัฒนธรรมพื้นบ้าน" ผู้คนในเมืองไหนๆจะมีประเพณีการกินอยู่ตามวัฒนธรรมของตัวเอง การที่ผู้รักสุขภาพอย่างเธอไปอยู่เมืองจีนซึ่งมีอากาศหนาวกว่าบ้านเรามากนัก แล้วฝืนตัวเองไม่กินอาหารมันๆ ก็ย่อมพร่องแคลอรี จนเสี่ยงที่จะเกิดเจ็บป่วยได้นั่นเอง สำหรับคนไทยอยู่เมืองไทยอย่างเรา หลักปฏิบัติง่ายๆในเรื่องไขมันก็คือกินอาหารแต่ละมื้อให้มีอาหารจานที่มีไขมันสัก 1 อย่าง เช่น มีผัดผักมีไข่เจียว มีไก่ทอด จานใดจานหนึ่งในแต่ละมื้อนั่นคือทางสายกลางที่เลือกเดินได้
กับดักสุขภาพ ประการที่ 5
กินผลไม้จนล้นเกิน น้ำตาลขึ้น ไขมันสูง ผลไม้น่ะ ดี เพราะเป็นแหล่งของวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซีเบต้าแคโรทีน และถ้ากินสม่ำเสมอในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ช่วยจรรโลงสุขภาพได้ อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งในโลกย่อมมี 2 ด้านอยู่เสมอ ผลไม้ทุกชนิดมีรสหวานจึงเป็นแหล่งที่มาของน้ำตาลในเลือดชัดๆอยู่แล้วและคนที่เป็นเบาหวานที่รักษาด้วยยา หมออาจจะอนุโลมให้กินผลไม้โดยแบ่งกินทีละไม่เกินผลไม้ 2-3 กลีบเป็นต้นแต่สำหรับสูตรรักษาเบาหวาน-กินเนื้อกินผักแบบบัลวี เราก็ไม่ให้กินผลไม้เลยซึ่งจะคุมเบาหวานลดลงได้เร็วมาก ภายใน 10 วัน
ทีนี้สำหรับคนทั่วไป ผลไม้ย่อมกินได้อย่างเป็นทางสายกลางแต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่กินผลไม้อย่างสุดขั้ว แล้วเกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ ประการหนึ่ง คนที่กินผลไม้หวานจัด เช่นทุเรียน ขนุน ลำไยเหล่านี้มักจะเกิดอาการร้อนในได้ เรื่องนี้ต้องอธิบายด้วยทฤษฎีแมกโครไบโอติกส์ ซึ่งบอกว่า ผลไม้เป็นสุดขั้วของพลังหยิน กล่าวคือในประเทศเขตร้อนพลังหยางมีมาก ต้นไม้จึงเอาพลังหยินของมันมุดลงดิน แล้วไปผลิออกเป็นผลไม้หล่อเลี้ยงธรรมชาติด้วยสุดยอดพลังหยินของมัน คน สัตว์กินผลไม้หน้าร้อนก็ชื่นใจแต่ถ้ากินมากเกินไป พลังหยินที่รับเข้าไปมาก จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังหยางสุดขั้วจึงเกิดอาการเจ็บคอร้อนในได้แมกโครไบโอติกส์ชนิดสุดโต่งจึงไม่แนะนำให้กินผลไม้เมืองร้อนเลยแต่ผมมักจะแนะนำว่า เราอยู่เมืองร้อน ย่อมกินได้อย่างทางสายกลาง
ประการที่สอง บางคนกินผลไม้เพราะต้องการคุมอาหารมื้อเย็นคือไม่กินข้าวมื้อเย็น แต่กินผลไม้โดยหวังที่จะลดน้ำหนัก หรือลดไขมันเลือดผลก็คือ น้ำหนักตัวยิ่งขึ้น ไขมันเลือดยิ่งไม่ลด เหตุผลก็คือ ผลไม้มีความหวานเมื่อกินแทนข้าว เจ้าตัวก็หลงกินไม่บันยะบันยัง จึงเพิ่มน้ำตาลในเลือดและถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันในเลือดคนกินหวานทุกชนิดก็เสี่ยงต่อไตรกลีเซอไรด์สูง และไตรกลีเซอไรด์มีมากก็ถูกเก็บไว้ที่แก้มก้น และพุงกระทิได้ จึงไม่แคล้วอ้วนอยู่ดี
กับดักสุขภาพประการที่ 6
ถือเอาวิตามิน อาหารเสริม เป็นคำตอบสุขภาพ ผมจำได้ว่าเมื่อบริษัทวิตามินจากออสเตรเลียจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เมื่อ15 ปีที่แล้ว ผมได้รับการติดต่อจากเพื่อนซึ่งเป็นเภสัชกรที่เป็นตัวแทนของบริษัทวิตามินนี้ให้ช่วยเผยแพร่ความคิดเรื่องวิตามินให้แก่ผู้บริโภคขณะนั้นเมืองไทยยังไม่ค่อยมีคนรู้จักประโยชน์ของการกินวิตามินยังไม่รู้จักคำว่า free radicals และไม่รู้จักคำว่า anti-oxidantแม้ว่าความรู้ทางธรรมชาติบำบัดในยุโรป สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียจะมีเรื่องราวเหล่านี้มากมายแล้วก็ตามเพราะขณะนั้นช่วงห่างระหว่างความรู้ในประเทศตะวันตกกับประเทศไทยจะล่าช้ากว่ากันประมาณ 10 กว่าปี
ความรู้การแพทย์แบบแผนรู้จักวิตามินในฐานะสารตัวเล็กๆที่ช่วยป้องกันตาบอดกลางคืน รักษาเหน็บชา ป้องกันลักปิดลักเปิดซึ่งนับวันโรคเหล่านี้จะหมดไป เมื่อผู้คนในสังคมอยู่ดีกินดีกันมากขึ้นแต่ไม่รู้จักบทบาทใหม่ของวิตามินในอีกด้านหนึ่งจำได้ว่าขณะนั้นผมเขียนบทความธรรมชาติบำบัดในมติชนสุดสัปดาห์ตั้งแต่ต้นปี 2534จึงได้แนะนำเรื่องของสาร อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นคำบัญญัติใหม่โดย ศ.ดร.ไมตรีสุทธจิตต์ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และวิตามินก็มีบทบาทเป็น สารต้านอนุมูลอิสระมีความรู้เหล่านี้พิมพ์เผยแพร่เป็นพ็อกเก็ตบุ้กโดยสำนักพิมพ์รวมทรรศน์และจัดเสวนาสุขภาพเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดบรรยายเรื่องราวทางสุขภาพให้ผู้คนมาร่วมกันฟังเป็นจำนวนมากๆและเป็นที่มาของมหกรรมสุขภาพในขอบเขตต่างๆทั่วประเทศที่มีกันอยู่ในยุคปัจจุบันนี้และรวมทรรศน์ก็ได้จักมหกรรมธรรมชาติบำบัดสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ 13ปี
การบรรยายความรู้เรื่องวิตามินในฐานะแอนติออกซิแดนต์ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวเรื่องโรคเสื่อมของร่างกายและหันมาสนใจกินอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะแนวคิดของผมก็คือวิตามินมีอยู่แล้วในพืชผัก ผลไม้ การจะป้องกันรักษาโรคหัวใจหลอดเลือดกระทั่งโรคมะเร็ง ก่อนอื่นให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมากินอยู่อย่างไทยเสียก่อนส่วนวิตามินที่กินเป็นเม็ดๆนั้น ใช้เมื่อจำเป็นแต่ก็ทำให้วิตามินและอาหารเสริมในเมืองไทยเริ่มขายดี
กระนั้นก็ตาม ก็มีแพทย์จำนวนหนึ่งในสมัยนั้นที่ไม่เข้าใจได้กระทบกระเทียบว่า "การกินวิตามินรังแต่ทำให้น้ำปัสสาวะของคนเราแพงขึ้นเท่านั้นเอง" พูดง่ายๆว่าเปล่าประโยชน์ที่จะกินวิตามิน เนื่องจากพวกเขาในขณะนั้นยังไม่รู้เรื่องของfree radicals กันเลย ครั้งเมื่อเห็นว่าวิตามินซีธรรมชาติกำลังขายดิบขายดีก็มีแพทย์อีกจำนวนหนึ่งบอกว่า "ระวังกินวิตามินซีมากๆจะเป็นนิ่วในไต" ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ถ้าจะพิจารณากลไกการดูดซึมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกาย ตามปกติในลำไส้ของเราจะมีreceptor ซึ่งเป็นประตูเปิดรับวิตามินซีประตูเหล่านี้จะเปิดปิดมากน้อยตามความต้องการของร่างกายในแต่ละขณะคนปกติต้องการวิตามินซีต้านอนุมูลอิสระวันละประมาณ 1,000 มก.ถ้ากำลังเครียดอาจเพิ่มความต้องการเป็น 2,000 มก.ถ้ากำลังเป็นหวัดความต้องการจะเพิ่มเป็น 4,000-6,000 มก.และถ้าเป็นมะเร็งอาจมีความต้องการเพิ่มเป็น 10 พัน-50 พัน มก.ถ้าร่างกายยังไม่ต้องการวิตามินในระดับนั้น การกินวิตามินซีมากเกินความต้องการก็จะไม่ดูดซึมและถ่ายทิ้งไป ทำให้เกิดอาการท้องเสียเหมือนอย่างที่ใครสักคนหนึ่งกินมะขามมากๆแล้วท้องเสียนั่นแหละการเกิดนิ่วในไตจากวิตามินซีจึงเกือบจะเป็นไปไม่ได้
การกินวิตามินแพร่ไปเหมือนไฟลามทุ่ง ภายในระยะเวลา 3 ปีต่อจากนั้นและยิ่งแพร่อย่างรวดเร็วเมื่อมีกิจการขายตรงแบบ MLMชาวบ้านกลุ่มแรกๆที่กินวิตามินกันอย่างไม่อั้น ก็คือ ชาวบ้านระดับไฮโซไฮซ้อนั่นเอง มิไยว่าผมจะพร่ำบอกให้ ปรับชีวิตเปลี่ยนอาหาร กินอยู่อย่างไทยซะก่อนก่อนที่จะกินวิตามิน เพราะต้องอยู่ประการหนึ่งว่าสารธรรมชาติเหล่านี้มีมากมายมหาศาลสกัดกลั่นอย่างไรก็เอาออกมาเป็นเม็ดๆไม่ได้หมดเพียงแค่ฟลาโวนอยด์ก็มีในธรรมชาติแล้ว 4,000 ชนิด แคโรทีนมีอยู่ 600 ชนิดและสารผักมีอีกมากกว่า 10,000 ชนิดแต่ภูมิปัญญามนุษย์นั้นสามารถสกัดออกมาได้เพียง 100 กว่าชนิดเท่านั้นเองดังนั้นถ้าจะคอยกินวิตามินโดยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหารก็นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย กระนั้นก็ตามกิเลสของคนเรา ก็ทำให้ผู้คนมิได้สนใจในคำเตือนนี้เท่าไรนักจะมุ่งเอาแต่วิธีง่ายๆ คือคอยซื้อหาวิตามินมากิน กินแก้อ้วน กินให้หุ่นดีกินให้ผิวสวย กินให้ไม่ท้องผูก
มีปรากฏอยู่บ่อยครั้งที่ผมถูกเชิญไปบรรยายให้สโมสรชาวไฮโซทั้งหลายฟังพิธีกรรมของบุคคลเหล่านี้ก็แปลก คือเวลาเชิญเราไปบรรยายเขาจะเร่งให้เรารีบๆกินอาหารให้จบๆไปก่อนแล้วเมื่อสมาชิกของเขามากันพอสมควรแล้ว ทีนี้เขาจะเสิร์ฟอาหารให้สมาชิกแล้วเชิญเราขึ้นพูด นับว่าไฮคลาสพอสมควร คืออย่างน้อยๆเราก็ไม่ใช่ตลกคาเฟ่ซึ่งมีจุดขายอยู่ที่ให้ผู้คนกินข้าวเคล้าเรื่องตลกต่างกันตรงที่ว่าเนื้อหาของเราที่บรรยาย คุณภาพคับแก้วประจุไว้ด้วยสาระวิชาการ นั่นต่างหาก พอบรรยายเสร็จ เขาก็เชิญเรานั่งร่วมโต๊ะ ทีนี้ละท่านผู้ไฮโซทั้งหลายจะพากันมาถามเป็นส่วนตัวว่าวิตามินตัวนั้น ตัวนี้กินได้ ไม่กินดี เป็นต้นหลายๆท่านจะพกกระเป๋ามา 2 ใบ ใบหนึ่งเป็นกระเป๋าสตางค์อีกใบหนึ่งเป็นกระเป๋าวิตามิน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า"จะกินวิตามินเหล่านี้สักแค่ไหน แต่ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหารเล่นกินโต๊ะจีน กินอาหารฝรั่งอย่างที่เรากินกันมื้อนี้ กินไปอีกกี่ขวดก็จะป่วยง่าย ตายเร็วอยู่ดี" ก็มีคนพยักหน้า เชื่อผมอยู่หลายคน แต่ผู้จัดคงรู้สึกถึงความตรงไปตรงมาของผมจากนั้นก็เคยไม่กล้าเชิญผมไปบรรยายให้ไฮโซไฮซ้อวงนั้นอีกเลย
ครับ ในแนวคิดของบัลวี เราถือว่า คนเราจะหายป่วยเจ็บการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งแต่เมื่อป่วยเจ็บเสียเต็มประดา อย่างใครที่เป็นภูมิแพ้ เป็นมะเร็งการเอาอาหารที่เขาสกัดมาเป็นเม็ดเข้มข้นมากินเข้าไป และถ้าไม่ป่วยไม่เจ็บก็ไม่จำเป็นต้องกินวิตามิน
อย่าทำให้ปัสสาวะของท่านแพงขึ้นด้วยวิตามินที่เกินความจำเป็นแค่กินอาหารให้ถูกส่วน กินผักผลไม้เยอะๆ ก็ได้รับวิตามินเพียงพอแล้วละครับ
กับดักสุขภาพ ประการที่ 7
กินสมุนไพร คิดว่าปลอดภัยเสมอไป ยุคนี้เป็นยุคของการคืนสู่ธรรมชาติและเมื่อพูดถึงธรรมชาติใครๆก็มักจะนึกถึงสมุนไพรมีผู้รักสุขภาพจำนวนไม่น้อยที่หนีจากการกินยาแผนปัจจุบันแล้วหันไปกินยาสมุนไพรโดยคิดอย่างเถรตรงว่า ขึ้นชื่อว่าสมุนไพรแล้วย่อมไม่มีผลร้ายแต่ประการใด นั่นนับเป็นความเข้าใจผิดประการหนึ่ง
แท้ที่จริงขึ้นชื่อว่ายาสมุนไพรก็หมายถึง สิ่งที่กินเพื่อบำบัดรักษาโรคแต่นำมาจากพืชและสัตว์ ถ้ามาจากสัตว์ก็เรียกว่า สัตว์สมุนไพรถ้ามาจากพืชก็เรียกว่า พืชสมุนไพรในสัตว์และพืชย่อมมีสารอินทรีย์จำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะออกฤทธิ์ช่วยบำบัดรักษาโรคให้กับคนเราสารอินทรีย์เหล่านี้ย่อมต้องการปริมาณที่พอเหมาะ ไม่น้อยเกินไปไม่มากเกินไปในการออกฤทธิ์รักษาโรค ทีนี้เมื่อจะใช้สมุนไพรในการรักษาโรค จึงต้องศึกษาวิธีการใช้และปริมาณการใช้ให้ถ่องแท้เสียก่อน ในอดีตที่ผ่านมาเคยมีกรณีใหญ่ๆที่ใช้สมุนไพรรักษาโรคอย่างไม่ถูกวิธีจนถึงขั้นเกิดอันตรายร้ายแรงกับผู้ใช้เช่นการใช้ผลมะเกลือคั้นน้ำกะทิเพื่อถ่ายพยาธิถ้าทำอย่างผิดวิธีก็ถึงขั้นทำให้เด็กที่กินถึงกับตาบอดได้ อีกกรณีหนึ่งคือ การใช้ใบขี้เหล็กรักษาอาการนอนไม่หลับแกงขี้เหล็กที่คนไทยรู้จักกันดี สามารถกินกันได้อย่างสนิทใจและมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ช่วยไม่ให้ท้องผูก และนอนหลับสบายอีกด้วยต่อมามีการค้นพบว่าใบขี้เหล็กยังมีสารยาซึ่งออกฤทธิ์ช่วยให้นอนหลับจึงมีความพยายามที่จะทำใบขี้เหล็กให้เป็นยาสมุนไพรสำเร็จรูปที่ใช้ง่ายเป็นชนิดเม็ดและกระบวนการผลิตก็กระทำกันอย่างง่ายๆโดยใช้ใบขี้เหล็กตากแห้งบดเป็นผงแล้วทำเป็นเม็ดขึ้นมาเลยซึ่งแม้แต่องค์กรรัฐวิสาหกิจทางด้านเภสัชกรรมก็ยังเป็นผู้นำหน้าในการผลิตขี้เหล็กเม็ดขึ้นมาวางจำหน่ายในท้องตลาด อย่างไรก็ดี เมื่อขี้เหล็กแคปซูลเหล่านี้ เข้าถึงผู้บริโภคอยู่พักใหญ่ก็เริ่มมีข้อสังเกตจากแพทย์ระบบทางเดินอาหารหลายท่านว่าเริ่มพบผู้ป่วยด้วยโรคตับอักเสบที่ไม่พบสาเหตุอื่นนอกจากประวัติที่ว่าได้กินขี้เหล็กแคปซูลมาพักหนึ่ง
หลังจากได้ติดตามค้นคว้ากันอยู่พักหนึ่ง ก็มีผลยืนยันออกมาว่าผู้คนที่มีเอนไซม์ตับเพิ่มขึ้นสูงเหล่านั้นต้องพิษจากสารบางอย่างในใบขี้เหล็กนั่นเองเป็นผลให้ต้องมีการประกาศให้เลิกใช้ยาเม็ดขี้เหล็กไปทั่วประเทศ อย่างไรก็ดี คำถามมีว่าเหตุใดคนโบราณจึงกินแกงขี้เหล็กโดยไม่ปรากฏอันตรายขึ้น เหตุผลน่าจะอยู่ที่ว่าบรรพบุรุษของเรากินขี้เหล็กโดยเอามาแกงความร้อนได้ทำลายสารพิษบางอย่างในขี้เหล็กไปแล้ว จึงปลอดภัยในการกินแต่เมื่อนำใบขี้เหล็กผงมาทำเป็นเม็ด ไม่ได้ผ่านกระบวนการทำความร้อนสารพิษจึงยังคงอยู่
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การกินอยู่อย่างบรรพบุรุษได้แฝงไว้ซึ่งภูมิปัญญาในการเลือกกินเลือกอยู่ในปลอดภัยไร้โรคแต่เมื่อคนสมัยใหม่คิดจะสุขภาพดีทางลัดโดยลัดภูมิปัญญาของท่านด้วยกรรมวิธีสมัยใหม่ อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
กับดักสุขภาพ ประการที่ 8
ไปฟิตเนส แต่เสียเงิน เสียสุขภาพ สมัยหนึ่งกระทรวงสาธารณสุขนึกสนุกขึ้นมาจะพาคนไทยเต้นแอโรบิกส์ให้ได้จำนวนมากๆเพื่อลงกินเนสบุ๊คก็แห่กันไปเต้นกันย็อกแย็กอยู่วันเดียวเพื่อให้ได้ชื่อว่าลงบันทึกที่สุดในโลกเล่มนั้น งานนั้นเล่นเอาท่านอาจารย์เสมพริ้งพวงแก้ว สร้างความใจหายใจคว่ำให้แก่ลูกๆทั่วประเทศด้วยห่วงว่าท่านจะเกิดอาการไม่สบายขึ้นมาอย่างกระทันหัน โชคดีว่าไม่เป็นอะไรแต่เบื้องลึกของงานดังกล่าวเสื้อเหลืองถูกแจกจ่ายไปโดยกะเกณฑ์กันให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกันไปเต้นกันให้มากๆทั้งๆที่คนเต้นจำนวนไม่น้อย เกิดมาในชีวิตก็ไม่เคยออกกำลังกายเลยแต่ไปเพราะใจที่ถูกกะเกณฑ์ และไปเพราะมีเสื้อเหลืองบังคับอยู่ มาในวันนี้เสื้อสีเหลืองถูกเปลี่ยนมือเปลี่ยนสถานที่สวมไปอยู่แถวสวนลุมพินีเสียแล้วนั่นแสดงถึงความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่งแต่เหนือสิ่งอื่นใดพฤติกรรมเต้นแอโรบิกหมู่สะท้อนถึงความเห่อตามสมัยนิยมไปอย่างนั้นเอง คนอีกจำนวนหนึ่ง เข้าฟิตเนสอย่างไม่รู้จักจุดมุ่งหมายของฟิตเนสให้ดีพอคิดแต่จะไปวิ่งลดน้ำหนัก บางทีอาจเสียเงินแล้วอาจเสียสุขภาพก็ได้ ก่อนอื่นคำว่าฟิตเนสมีความหมายกว้างไกลกว่าการวิ่งสายพานหรือเล่นลูกน้ำหนักเพราะฟิตเนสหมายถึงความแข็งแรงของร่างกาย ซึ่ง Garry Null และ Martin Feldmanได้ให้คำนิยามไว้ว่า Fitness ในโลกยุคปัจจุบันประกอบด้วย 3 ประการคือ
1.Cardio-vascular Fitness ความแข็งแรงของหัวใจหลอดเลือด
2.Immunity Fitness ความแข็งแรงของภูมิต้านทาน
3.Anti-oxidant Fitness ความแข็งแรงของการล้างพิษอนุมูลอิสระ
ความแข็งแรงทั้ง 3 ประการจะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม ออกกำลังกายแอโรบิกส์ที่ 60% Maximumheart rate ในระดับดังกล่าวจะได้ทั้งการฝึกฝนหัวใจหลอดเลือดเข้าสู่ภาวะแอโรบิกส์ ขณะเดียวกันอนุมูลอิสระก็เกิดขึ้นไม่มากไม่น้อยโดยอนุมูลอิสระจำนวนพอเหมาะจะกระตุ้นภูมิต้านทานให้แข็งแรงพอดิบพอดีถ้าออกกำลังมากไปกว่านั้น อนุมูลอิสระจะเกิดขึ้นล้นเกิน ทำให้ภูมิต้านทานลดต่ำและเป็นเหตุให้ร่างกายสึกหรอเพิ่มขึ้นอีกด้วย
นอกจากออกกำลังกายแล้ว ผู้ออกกำลังกายยังต้องรู้จักการกินอาหารที่เหมาะสมกินผักผลไม้ให้มากเพื่อลดอนุมูลอิสระ ถ้ากินได้มากเพียงพอ คือ 5ส่วนบริโภคต่อวันก็จะได้สารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอโดยไม่ต้องกินวิตามินชนิดเม็ดแต่ประการใด
การออกกำลังกายยังต้องกระทำทั้งทางร่างกาย และทางจิตด้วยการออกกำลังทางจิตทำได้โดยฝึกลมหายใจ ฝึกลมหายใจให้ยาวจนถึงระดับ 6 ครั้ง/นาทีจะนำจิตเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งหรือสมาธิ การเข้าฟิตเนสนั้นดีอยู่หรอก แต่ควรสนใจใช้อย่างมีคุณภาพประการต่างๆดังนี้:
1.ออกกำลังกายตามความสามารถของตน ไม่ใช่เร่งตัวเองไปตามแรงเชียร์ของพนักงานปัจจุบันฟิตเนสส่วนหนึ่งจ้างพนักงานโดยจ่ายตามเปอร์เซ็นต์ที่พนักงานคนนั้นเรียกได้จากลูกค้าจึงเกิดการ "เชียร์แขก" กันสุดขั้วไปข้างหนึ่ง หลายคนกล้ามเนื้อฉีก เอ็นอักเสบแล้วกลายเป็นจุดอ่อนไม่สามารถออกกำลังกายไปตลอดชีวิต
2.ฟิตเนสมิได้มีไว้ลดน้ำหนักสถานเดียว ต่อให้วิ่งคนลิ้นห้อยอาจเผาพลังงานไปเพียง 120-150 กิโลแคลอรีด้วยเวลาประมาณ 30 นาทีซึ่งเท่ากับข้าวต้มหมูชามเดียว ใครที่กินราดหน้าก็ต้องวิ่งถึง 45-60นาทีโดยประมาณ วิ่งสายพานอย่างเดียวจึงไม่ใช่สรณะของการลดน้ำหนักต้องปฏิบัติอย่างองค์รวมและผู้ประกอบการฟิตเนสก็ควรแสวงหาความรู้และแนวทางปฏิบัติอย่างองค์รวมเพื่อลูกค้าของตน
3.อุตส่าห์เสียเงินสมัค<
ดีค่ะ คนไทยกำลังเห่อสุขภาพและกังวลกับความงาม
โดยมุ่งใช้อาหารเสริม detox กันยกใหญ่
3.อุตส่าห์เสียเงินสมัครฟิตเนสแล้ว ก็ควรใช้อย่างสม่ำเสมอ กว่าร้อยละ 80ของสมาชิกฟิตเนส มักเห่อประเดี๋ยวประด๋าว ใช้เพียงไม่กี่ครั้งก็ทิ้งเงินไปนี่คือบริโภคนิยมอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่น่านิยมเสียทั้งเงินแถมไม่ได้สุขภาพอะไรกลับมานอกจากบัตรหนึ่งใบที่ได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกฟิตเนส
กับดักสุขภาพ ประการที่ 9สวนกาแฟ แก้ได้ทุกโรค คนไทยเห่ออะไรกันง่ายๆ โดยทำตามกันเป็นกระแสจึงมักจะสุดขั้วไปทางใดทางหนึ่ง เรื่องการสวนกาแฟก็เช่นเดียวกันเกิดเสียงร่ำลือกันว่า สวนกาแฟทำให้ผอมจากคำให้การของดารานางแบบคนหนึ่งจากนั้นกระแสสวนกาแฟก็เบ่งบานผมเอาที่เหลือมาต่อให้ครับผม
เครดิต www.ladytip.com