ผมนั่งอ่านหนังสือ ทบทวนความรู้ และตรวจสอบเรื่องราวต่างๆกับหนังสือเพื่อเขียนรายงานวิจัยและเขียนหนังสือ ได้เห็นบทสรุปชิ้นเล็กๆในภาคผนวกของหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับระเบียบวิธีการวิจัยแบบ PAR และการวิจัยในแนวชุมชนที่เขียนเป็นข้อความ ๑๐ ข้อ แต่ให้หลักทฤษฎีและระเบียบวิธีที่สำคัญของการวิจัยแนวนี้ได้อย่างครอบคลุม เลยขอนำมาแบ่งปันกันไว้แก่ผู้สนใจ
บทบัญญัติ ๑๐ ประการของการวิจัยชุมชน
Ten Commandments of Community-Based Research
Leland Brown *
๑. ไม่พยายามตีกรอบความคิด นิยามความหมาย, ออกแบบ, รวมทั้งวางกรอบปฏิบัติที่เบ็ดเสร็จตายตัวไปแล้วล่วงหน้า โดยปราศจากกระบวนการปรึกษาหารือกับชุมชน
๒. ให้คุณค่าของกระบวนการ เช่นเดียวกับคุณค่าต่อผลลัพธ์ที่มุ่งให้เกิดขึ้น
๓. เมื่อพบว่าจำเป็นต้องเลือกเพียง ๑ ระหว่างวัตถุประสงค์ของชุมชน กับการได้ความพึงพอใจต่อความรู้เชิงวิชาการที่ต้องการ, วัตถุประสงค์ของชุมชนจะต้องดีและเหนือกว่าอยู่เสมอ
๔. ไม่มุ่งทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมเพียงเพื่อให้ได้ข้อมูลจากชุมชน
๕. ไม่ทำการวิเคราะห์ข้อมูลชุมชนโดยปราศจากการนำเอาปัจจัยจากชุมชนเข้ามาเป็นองค์ประกอบการพิจารณา
๖. ภายหลังดำเนินการวิจัย ไม่สร้างสิ่งที่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสมใดๆให้ตกทอดเป็นภาระความรับผิดชอบต่อชุมชนและผู้เกี่ยวข้องต่างๆ
๗.ไม่เผยแพร่ข้อค้นพบการวิจัยก่อนได้ทำการปรึกษาหารือกันกับชุมชน
๘. ต้องพัฒนาทักษะและให้การสนับสนุนแก่ประชาชนในชุมชนเพื่อได้ทำวิจัยชุมชนของตน
๙. ไม่มีสิ่งใดที่ต้องกันไว้ในฐานะเพื่อปิดบังและสงวนไว้เป็นความลับ
๑๐. ต้องมีอิสรภาพในตนเองในการที่จะไม่ติดยึดและเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ ซึ่งจะมีผลต่อการเกิดอคติการวิจัย, การตั้งสมมุติฐาน, และระเบียบวิธีการวิจัย
..........................................................................................................................................................................
* Leland Brown : นักวิชาการสาธารณสุขและที่ปรึกษาของ Global Bridge Group, โอ๊คแลนด์, แคลิฟฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา ใน Meredith Minkler (Eds.).1997. Community Organizing and Community Building for Health. London : SAGE Publication.
ขอบคุณอาจารย์วิรัตน์มากครับ ที่ให้หลักการที่ควรเคารพ ผมชื่มชมบราวน์ผู้วางปทัสสถานให้ "ความเป็นเจ้าของ" กระบวนวิจัย และข้อค้นพบ เป็นของชุมชนเท่ากับหรือมากกว่าเป็นวานของนักวิชาการภายนอก
สวัสดีครับคุณหมอชาตรีครับ
ตรงที่คุณหมอเน้นนี่ สำหรับการวิจัยแนวนี้แล้วก็มีความหมายมากเลย เป็นการนับว่าว่าชุมชนไม่เพียงเข้ามาในพรมแดนการวิจัยเพียงเป็นแหล่งข้อมูลและต้องรอรับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากผลการวิจัยเพื่อนำไปเปลี่ยนแปลงตนเองเท่านั้น แต่สามารถพัฒนาการเรียนรู้และเป็นเจ้าของ เป็นนักวิจัย เป็นผู้ใช้ผลการวิจัย และเป็นผู้ได้รับผลจากการนำเอาผลการวิจัยไปใช้ทางการปฏิบัติ ซึ่งนับว่าเป็นการปรับเปลี่ยนระดับกระบวนทัศน์ทางความรู้กับการทำงานเชิงสังคม ซึ่งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มีความเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงมากกว่าเป็นผู้ตั้งรับอย่างเดียว ได้ดีขึ้น
เห็นด้วยครับ
ไม่นิยาม ออกแบบ รวมทั้งวางกรอบปฏิบัติเบ็ดเสร็จไว้ล่วงหน้า โดยปราศจากกระบวนการปรึกษาหารือกับชุมชน
แถมต้องไม่เด็ดยอดความรู้ชุมชนอย่างเดียว ชุมชนต้องได้ประโยชน์สูงสุดจากงานวิจัยนั้นๆของชุมชนด้วยครับ
เอาเด็กเกาะช้างมาฝากครับ เด็กๆๆเก่งมากๆๆครับ
http://www.gotoknow.org/blog/yahoo/443671
สวัสดีครับอาจารย์ขจิตครับ