ในระบบสังคม รวมทั้งระบบต่างๆในธรรมชาตินั้น จะประกอบไปด้วยความเป็นเอกภาพของความแตกต่างหลากหลายและซับซ้อน การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์พบว่าในรายละเอียดของหิมะที่ดูขาวโพลนดาดดื่นเหมือนกันทั่วไปหมดนั้น แท้จริงแล้วโครงสร้างระดับผลึกของหิมะแต่ละผลึกไม่เหมือนกันไปทั้งหมดเลย ต้นมะม่วงพันธุ์เดียวกัน แต่ละต้นก็มีรายละเอียดไม่เหมือนกันเลย
ขณะเดียวกัน ในท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายกันนั้น สิ่งต่างๆก็มีความเชื่อมโยงและมีระบบเกาะเกี่ยวสร้างความเป็นองค์รวมของทั้งหมดร่วมกัน ดังนั้น ความแตกต่างหลากหลาย ความซับซ้อน กับความเชื่อมโยงและเกาะเกี่ยวกันเพื่อสร้างความลงตัวในความเป็นส่วนรวมด้วยกัน จึงเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของสิ่งที่เราเห็นอยู่รอบตัว ในทางศิลปะก็มีวิธีเข้าถึงและสื่อแสดงโครงสร้างเชิงระบบและการจัดวางตนเองเพื่ออยู่ร่วมกันของสิ่งต่างๆดังกล่าวโดยวิธีการทางศิลปะด้วยเช่นกัน อีกทั้งเชื่อว่าจะมีความน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าวิธีอื่นๆ
ความแตกต่างหลากหลาย เป็นพื้นฐานของความงามอย่างหนึ่ง
ในระบบธรรมชาติและในวิธีการทางศิลปะ
หากเปรียบเข้ากับระบบชีวิตและระบบสังคมแล้ว ความแตกต่างหลากหลายและการมีความจำเพาะตนของสิ่งต่างๆ ก็เปรียบเสมือนความเป็นปัจเจกและความเป็นท้องถิ่นนั่นเอง ซึ่งถ้าหากขาดมิติความเชื่อมโยงและขาดการจัดการองค์ประกอบด้านความส่งเสริมและเกื้อหนุนกัน ให้เกิดมิติที่สามอย่างสมดุลและลงตัวแล้ว ความแตกต่างและการมีความจำเพาะตนดังกล่าว ก็จะแสดงตนได้เพียงความเป็นเอกเทศระดับปัจเจกและระดับท้องถิ่นเท่านั้น ไม่สามารถก่อเกิดมิติความเป็นซึ่งกันและกันหรือไม่สามารถสร้างมิติความเป็นส่วนรวมด้วยกันได้
วิธีที่จะสามารถบันทึก บอกเล่า และถ่ายทอดความเป็นจริงของสิ่งต่างๆในลักษณะนี้ได้อย่างลึกซึ้งที่สุดนั้น บางกรณีภาษาพูดและเขียนอย่างเดียวก็อาจจะมีข้อจำกัดหรือมิเช่นนั้นก็ไม่สามารถทำได้เลย ทำให้การสร้างความรู้และการแสดงความจริงที่จำเป็นมีข้อจำกัดไปด้วย ภาษาภาพถ่าย งานศิลปะ และการวาดภาพ จึงอาจจะเป็นคำตอบและสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ซึ่งในทางศิลปะนั้น วิธีหนึ่งของการจัดการกับความแตกต่างก็คือการใช้แนวคิดเกี่ยวกับสัดส่วนของแสง-เงา ขนาด สีสัน และการจัดวางให้เกิดความสมดุล-ลงตัว ซึ่งเราสามารถศึกษาเรื่องนี้ได้จากแนวคิดเรื่องสีคู่ตรงข้ามและคู่ความขัดแย้ง ขอให้ท่านลองพิจารณาศิลปะในภาพถ่ายต่อไปนี้
ขนาดของเรือเป็นกลุ่มก้อนของแสงเงาและสีสันที่เป็นชุดเดียวกัน คือ กลุ่มของสีเขียว ซึ่งเจิดจ้าและแตกต่างกระโดดออกจากภาพรวม ขณะเดียวกัน สีแดงของร่มก็เหมือนเป็นลูกขัดที่พอดี ช่วยเสริมกันให้เกิดเรื่องราวเคลื่อนไหวอยู่ในภาพ ร่วมกันบอกเล่าและสื่อแสดงธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่สวยงาม น่ารื่นรมย์ ในขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว สีเขียวของเรือและสีแดงของร่มนั้นเป็นสีคู่ตรงข้ามและมีความโดดเด่น แรงพอที่จะสะดุดความสนใจหรือเป็นพระเอกนางเอกของเรื่องราวได้พอกัน เพราะสีคู่ตรงข้ามและความขัดกัน ได้เกิดจังหวะที่ลงตัวจากการจัดวางตนเองใหม่ [ ภาพ : สระบัว บ้านสวนศิลปะและเรียนรู้ชุมชน บ้านของผู้เขียนและครอบครัวที่บ้านห้วยส้ม ตำบลสันกลาง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ]
กลุ่มสีแดงของชุดนาฏศิลป์ เก้าอี้ และเสื่อ กับกลุ่มสีเขียวและชุดนาฏศิลป์อีกกลุ่มหนึ่งที่ด้านขวา เป็นกลุ่มสีที่ตรงข้ามและขัดแย้งกัน ทว่า จากในภาพ เรากลับจะเห็นว่าองค์ประกอบทั้งหมดมีความเชื่อมโยงและส่งเสริมรายละเอียดของกันและกันให้งดงามและลงตัวได้อย่างพอดี [ ภาพ : การแสดงศิลปะนาฏศิลป์ ของนักเรียนโรงเรียนชลบุรีราษฏร์อำรุง ในเวิร์คช็อปพัฒนาการสอนสำหรับครูและผู้สอนศิลปะที่ไม่ได้จบทางศิลปะ ของกลุ่มครูและสถานศึกษาในชลบุรีและกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก เมื่อปี ๒๕๔๙ ที่อ่างศิลา ชลบุรี ]
ภาษาภาพและการเห็นโลกของสรรพสิ่งในแนวคิดทางทัศนศิลป์
ความสามารถเห็นสีสันและแสงเงาต่างๆในธรรมชาตินั้น หากอธิบายด้วยวิธีการทางศิลปะ ก็จะอธิบายได้ว่า ความสามารถในการเห็นทั้งหมดของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตนั้น เกิดจากการผสมผสานกันของสีและน้ำหนักแสงเงาพื้นฐานจำนวนหนึ่งซึ่งเรียกว่าแม่สี และแสงเงาดำ-ขาว
แม่สีพื้นฐานนั้นมีอยู่หลายระบบ แต่ที่รู้จักกันแพร่หลายสำหรับคนทั่วไปมากที่สุดคือแม่สีวัตถุธาตุในระบบสีของมันเซลล์ (Colorimetry, Munsell Color System) ของ ศาสตราจารย์อัลเบิร์ต เอช.มันเซลล์ (Professor Albert H. Munsell,1900s) ซึ่งประกอบไปด้วยแม่สี ๓ สี คือ สีแดง เหลือง และน้ำเงิน แม่สีทั้ง ๓ สีของแม่สีวัตถุธาตุนี้ เมื่อผสมในสัดส่วนที่เท่าๆกันแล้วก็จะได้สีดำ[๑] ซึ่งในทางศิลปะจะเรียกว่า ระดับคุณค่าของสี (Values) ที่จะทำให้เข้มขึ้นหรืออ่อนลงด้วยการเพิ่มน้ำหนักดำลงไป (Shading) หรือเพิ่มน้ำหนักสีขาวลงไป (Tint) ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทั้งในแนวดิ่งและในแนวระนาบของสีต่างๆ เป็นระบบสีอันซับซ้อนและขยายออกไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น น้ำหนักดำและขาว จึงนับว่าเป็นวิถีทรรศนะต่อความจริงในขั้นพื้นฐานของสิ่งต่างๆ[๒] อีกมิติหนึ่งด้วยเช่นกัน [๓][๔]
แม่สีทั้ง ๓ สี บวกกับน้ำหนักอ่อนแก่ของแสงเงาดำ-ขาวนี้ จะสามารถผสมให้เกิดสีใหม่ๆอีกหลากหลายที่จิตรกรและผู้ซึ่งใช้ศิลปะทำงานในสาขาต่างๆ สามารถใช้บันทึกและถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ดังที่ต้องการได้ทั้งหมด
แต่ในวงจรสี หรือในความเป็นจริงของธรรมชาติ จะมีสีคู่ตรงข้ามอยู่ด้วยกันไปด้วย เราเริ่มรู้จักตัวอย่างสีคู่ประกอบหรือความเป็นตรงกันข้ามที่แสดงด้วยสี เริ่มจากสีเขียวกับสีแดง ซึ่งเป็นโครงสีหลักในภาพเรือและร่มสีแดงในภาพตัวอย่างที่เรานำมาศึกษาภาพแรก
สีเขียวกับสีแดงเป็นสีคู่ตรงข้าม ซึ่งในทางศิลปะและงานทัศนศิลป์สาขาต่างๆนั้น จะยอมรับว่าวัตถุและองค์ประกอบในชิ้นงานที่มีสีแดงหรือสีเขียวนั้น จะแรง หรือมีพลังในการกุมเรื่องราวทั้งหมดของภาพได้พอกัน ดังนั้น หากปรากฏเท่าๆกันแบบ ๕๐ : ๕๐ ดังภาพบน ก็จะเกิดภาวะต่างแสดงความความจำเพาะตน เปรียบได้กับเกิดความเป็นปัจเจกหรือความเป็นท้องถิ่น แยกออกจากกันอย่างเอกเทศ เหมือนมีสองเรื่องราวในกรอบสถานการณ์เดียวกัน แต่ขาดการเสริมกันให้เกิดเรื่องราวในมิติที่สามและมิติเชิงลึกอื่นๆที่จะก่อเกิดสืบเนื่องตามมาจากการเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์กัน เมื่อมอมงทั้งสองสี เราจะเห็นว่าต่างอยู่บนระนาบเดียวกัน จะบอกว่าสีใดสีหนึ่งเป็นพื้นและสีใดสีหนึ่งเป็น Form และจุดเด่น ก็ไม่สามารถเกิดมิติเชิงลึกให้สามารถจำแนกในลักษณะนี้ได้
สีม่วงกับสีเหลือง เป็นสีคู่ประกอบกันในระดับพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับแม่สี หากปรากฏเท่าๆกันแบบ ๕๐ : ๕๐ ดังภาพบน ก็จะเกิดความจำเพาะตน แยกออกจากกันอย่างเอกเทศเหมือนมีสองเรื่องราวในกรอบสถานการณ์เดียวกัน แต่ขาดการเสริมกันให้เกิดเรื่องราวในมิติที่สามและมิติเชิงลึกอื่นๆที่จะก่อเกิดสืบเนื่องตามมาจากการเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์กัน
สีน้ำเงินกับสีส้มแดงหรือสีแสด เป็นสีคู่ประกอบกันในระดับพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับแม่สี หากปรากฏเท่าๆกันแบบ ๕๐ : ๕๐ ดังภาพบน ก็จะเกิดความจำเพาะตน แยกออกจากกันอย่างเอกเทศ เหมือนมีสองเรื่องราวในกรอบสถานการณ์เดียวกัน
น้ำหนักดำกับขาว เป็นคู่ประกอบกันในระดับพื้นฐาน หากปรากฏเท่าๆกันแบบ ๕๐ : ๕๐ ดังภาพบน ก็จะเกิดความจำเพาะตน แยกออกจากกันอย่างเอกเทศ เหมือนมีสองเรื่องราวในกรอบสถานการณ์เดียวกัน แต่ขาดการเสริมกันให้เกิดเรื่องราวในมิติที่สามและมิติเชิงลึกอื่นๆที่จะก่อเกิดสืบเนื่องตามมาจากการเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์กัน จะกล่าวว่าสีขาวอยู่บนพื้นดำหรือสีดำอยู่บนพื้นขาว ก็ไม่สามารถเจาะจงได้ หรือไม่สามารถกล่าวถึงมิติดังกล่าวนี้ได้เพราะองค์ประกอบภาพไม่มีโครงสร้างสำหรับจัดวางตนเองในมิตินี้ ต่างแยกออกจากกันเป็นสองส่วนและสามารถแสดงเรื่องราวของตนเองได้โดยไม่มีความสะท้อนซึ่งกันและกันเลย หากแยกออกจากกันก็จะได้เรื่องราว ๒ เรื่องที่เป็นอิสระต่อกัน
แบบแผนความงามและความเป็นศิลปะ มิติมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ในสิ่งรอบตัวของเรา
จากการผสมผสานกฏ ๓ ส่วน เข้ากับหลักอัตราส่วน ๒๐ : ๘๐ ของ Form and Space
หากเราสามารถจัดวางองค์ประกอบและแก้ปัญหาเชิงวิธีคิด เพื่อให้ความแตกต่าง ความเป็นสิ่งตรงข้าม ความขัดแย้งแตกต่าง ดังที่กล่าวถึงในข้างต้นเหล่านี้ กลายเป็นองค์ประกอบที่มีการดำรงอยู่เฉพาะตน บอกเล่าและสื่อแสดงสิ่งต่างๆในนามของตนเองได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน ก็สามารถร่วมกันบันทึกและถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆให้เห็นมิติความเป็นองค์รวม เกิดความสวยงามและลงตัว ดังภาพตัวอย่างในข้างต้นได้ ด้วยการนำเอากฏ ๓ ส่วนมาใช้ร่วมกับแนวคิดเกี่ยวกับสัดส่วน ๘๐ : ๒๐ เพื่อจัดความสมดุลและสร้างตำแหน่งความเป็นศูนย์รวมความสนใจ ให้สิ่งที่แตกต่างกัน กลายเป็นองค์ประกอบสร้างเรื่องราวร่วมกัน ดังอธิบายด้วยแผนภาพต่อไปนี้
เมื่อเราถ่ายภาพ เขียนรูป รวมทั้งมองและสัมผัสกับโลกรอบข้าง เราสามารถพัฒนาแผนที่และแบบแผนในการจินตนาการต่อสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องอีกหนึ่งขั้นจากการพัฒนาแผนที่กฏ ๓ ส่วนไว้จัดการระบบการคิดเพื่อเห็นแบบแผนศิลปะและการจัดวางตนเองของสรรพสิ่งในธรรมชาติด้วยลีลา ความสมดุล และความลงตัว อย่างมีศิลปะ ด้วยการเห็นสัดส่วนขนาดต่างๆบนพื้นที่การเห็นโลกของสรรพสิ่งซ้อนลงไปบนแผนที่กฏ ๓ ส่วน
การจัดวางสีคู่ประกอบ สีคู่ตรงข้าม และสิ่งที่มีน้ำหนักแสงเงาตลอดจนขนาดและทิศทางที่ขัดแย้งและโดดเด่นพอกัน หากไม่สามารถสร้างความเชื่อมโยงที่เสริมกัน ก็จะกลายเป็นหลายเรื่องราวหลุดออกจาก Theme หลักของภาพ วิธีทำให้สามารถคงเรื่องราวความแตกต่างหลากหลายไว้ได้ทั้งหมด แต่ขณะเดียวกัน ก็กลับเกิดเรื่องราวอย่างใหม่ที่สีที่ตรงข้ามกันสร้างขึ้นใหม่ร่วมกันก็คือ จัดวางตำแหน่งความสนใจด้วยสัดส่วน ๒๐ : ๘๐ ดังภาพ โดยให้สีใดๆและองค์ประกอบใดๆทำหน้าที่เป็นตัวเด่นกลายเป็น Form อีกสีก็จะกลายเป็นทำหน้าที่เป็นพื้น และต่างร่วมเป็น Theme สร้างเรื่องราวเป็นภาพเดียวกัน เราลองทดลองดูได้ดังภาพต่างๆต่อจากนี้
สีแดงเป็น Form และสีเขียวเป็นพื้น : จากภาพที่นำมาอยู่ด้วยกันและในสัดส่วนที่เท่าๆกันดังในข้างต้น สีแดงและสีเขียวต่างบอกเล่าตนเองอย่างจัดจ้าน หากเป็นการบันทึกและถ่ายทอดเรื่องราวก็เรียกได้ว่ามี ๒ คอนเซ็ปต์หรือหลายเรื่องราวที่แยกออกจากกันได้ ไม่มีเรื่องราวในมิติที่สาม แต่เมื่อนำมาจัดวางโดยผสมผสานกฏ ๓ ส่วนกับอัตราส่วน ๒๐ : ๘๐ ของพื้นและ Form ก็กลับเกิดชีวิตและความเคลื่อนไหวบางอย่างขึ้นมาซึ่งแต่เดิมไม่เคยมีมาก่อน
เราจะสังเกตได้ว่าสายตาของเราจะพุ่งไปที่สีแดงซึ่งมีขนาดเล็กลง ทว่ากลับมีความน่าสนใจ กลายเป็นจุดรวมความสนใจ ขณะเดียวกับ สีเขียวซึ่งก็แรงและโดดเด่น ก็กลับมีบทบาทในการเป็นพื้นหลัง ฉากหลัง และช่วยกันคุม Theme ทำให้สีแดงขนาดเล็กลงแต่กลับโดดเด่นขึ้น อีกทั้งทั้งหมดเป็นองค์ประกอบเดียวกันที่แยกออกจากกันไม่ได้ ต่างจากในภาพแรกๆซึ่งสีแต่ละคู่ต่างมีสัดส่วนที่เท่ากันเป็น ๕๐ : ๕๐ นั้น จะสามารถแยกออกจากกันเป็นคนละเรื่องราวได้ต่างหากของแต่ละสี
ที่สำคัญก็คือ เราจะสังเกตได้ว่าโดยที่องค์ประกอบทุกประการก็ยังคงมีเท่าเดิม ทว่า ด้วยการทำให้เกิดมิติความสัมพันธ์ในเชิงสัดส่วนและตำแหน่งตามกฏ ๓ ส่วน จาก ๒ สีที่แสดงเรื่องราวอันจำกัดเพียงมิติเดียวและระนาบเดียว ก็จะเห็นได้ว่าได้เกิดอีกมิติหนึ่งขึ้นมาคือ มิติเชิงลึก สีแดงและ Form ใดๆที่ถูกนำมาจัดวางในตำแหน่งดังกล่าว ก็จะกลายเป็นองค์ประกอบที่โดดออกมาอยู่หน้า ทำหน้าที่เป็น Form และกุม Theme ของภาพทั้งหมด ในขณะที่อีกสีก็เกิดบทบาทใหม่เป็นพื้นหลัง และกุมบรรยากาศของภาพทั้งหมดไว้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
สีแดงกลับเป็นพื้นและสีเขียวเป็น Form : จากภาพนี้ โดยที่ก็ยังใช้สีเขียวและแดงคู่เดิม แต่เราก็กลับจะเห็นว่าสายตาของเราเปลี่ยนพุ่งความสนใจไปยังสีเขียว ขณะเดียวกัน สีแดงสดซึ่งก็แรงและโดดเด่น ก็กลับมีบทบาทในการเป็นพื้นหลัง ฉากหลัง และช่วยกันคุม Theme ทำให้สีเขียวขนาดเล็กลงแต่กลับสะดุดความสนใจ สว่างและโดดเด่นขึ้น อีกทั้งทั้งหมดเป็นองค์ประกอบเดียวกันที่แยกจากกันไม่ได้เช่นกัน
เราจะสังเกตได้ว่า ความน่าสนใจ ความเป็น Theme หลัก และความหมายที่จะบอกว่าสิ่งใดคือพื้นหลังและสิ่งใดคือ Form นั้น แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่ที่ความเป็นสีเขียวหรือสีแดง ทว่า อยู่ที่สัดส่วนและจังหวะของการจัดวาง หากลองเปลี่ยนเป็นสีคู่ประกอบอื่นๆเหมือนกับเปลี่ยนสีแดงและเขียวดังที่แสดงให้ดูนี้ ก็จะให้ผลเหมือนกัน โครงสร้างและแบบแผนดังกล่าวนี้จึงไม่ได้มีอยู่ในสิ่งที่เห็น แต่อยู่ในจินตนาการและการนำมาใช้ออกแบบการปฏิบัตินั่นเอง
สีแดงเป็น Form และสีเขียวเป็นพื้น : จากภาพนี้ แม้เปลี่ยนตำแหน่งจากมุมล่างขวา ไปอยู่มุมบนซ้ายของกฏ ๓ ส่วนแล้ว สายตาของเราจะพุ่งไปที่สีแดง ขณะเดียวกัน สีเขียวสดซึ่งก็แรงและโดดเด่น ก็กลับไปทำบทบาทในการเป็นพื้นหลังและช่วยกันคุม Theme ทำให้สีแดงขนาดเล็กลงแต่กลับสะดุดความสนใจและโดดเด่นขึ้น อีกทั้งทั้งหมดเป็นองค์ประกอบเดียวกันที่แยกออกจากกันไม่ได้
ความสมดุลและความลงตัวเป็นภาพเดียวกัน ในขณะที่แต่ละองค์ประกอบย่อยก็แสดงตนเองไปด้วยอย่างเป็นตัวของตัวเอง แสดงตนเองออกมาพร้อมกับร่วมกันสร้างเรื่องราวให้เกิดขึ้นอีกมิติหนึ่งที่แต่เดิมนั้นแต่ละสีไม่มีในลักษณะดังกล่าวนี้อยู่ เกิดจากการจัดวางองค์ประกอบต่างๆ ให้มีโครงสร้างและระบบความสัมพันธ์กันในแบบแผนที่ผสมผสานกันของตำแหน่งความสนใจตามกฏ ๓ ส่วนและสัดส่วน ๒๐ : ๘๐ ของ Form และพื้นหลังนั่นเอง
การเรียนรู้และสร้างความเชื่อมโยงไปสู่การช่วยขยายพรมแดนความรู้ความเข้าใจ
เราสามารถเรียนรู้ที่จะนำเอาวิธีการทางศิลปะดังกล่าวนี้ผสมผสานเข้ากับการบันทึกถ่ายทอดเหตุการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ ตลอดจนกิจกรรมชีวิต การงาน รวมทั้งสังคมและสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็จะยิ่งทำให้งานทางความรู้มีความสมบูรณ์มากขึ้นทั้งมิติความจริง ความดี และความงาม
ตัวอย่างเช่น หากนำเอาเรื่องราวเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้และการทำงานในวิถีชุมชน มาถ่ายทอดเพื่อให้เข้าใจหลักคิดของการเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างการจัดความสัมพันธ์กันขององค์ประกอบย่อยหรือการเปลี่ยนแปลงระดับกระบวนทัศน์ของบางสิ่ง ว่ามีความแตกต่างเป็นคนละภาวะจากสภาพเดิมอย่างไรโดยใช้ศิลปะบันทึกและถ่ายทอด เราก็สามารถตีโจทย์ให้สื่อสะท้อนออกมาเป็นแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์กันในมิติสัดส่วนดังกล่าวนี้ได้เช่นกัน
กล่าวคือ จากความเป็นสีแดงที่แต่เดิมเคยเป็นจุดสนใจ เมื่อเปลี่ยนเป็นพื้นหลัง แม้ยังคงความแรงของความเป็นสีแดงอยู่ แต่ก็กลับมีบทบาทที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากเป็นตัวชูโรงไปสู่การเป็นพื้นหลัง ซึ่งในทางปรากฏารณ์ทางสังคมนั้น ความเปลี่ยนแปลงในลักษณะดังกล่าว มีนัยต่อการเปลี่ยนแปลงระดับความสัมพันธ์เชิงอำนาจจากการถือเอาตนเองเป็นศูนย์กลางอำนาจไปสู่การถือเอาผู้เรียนและผลที่จะเกิดขึ้นร่วมกันเป็นศูนย์กลาง ซึ่งก็อาจใช้แสดงการเปลี่ยนบทบาทของการสอนและการบรรยายแบบถือเอาผู้สอนและเนื้อหาเป็นศูนย์กลาง จากความเป็นสีแดงที่เป็นจุดเด่น ก็กลายเป็นสีแดงที่สามารถเล่นบทเป็นพื้นหลัง สู่การเป็น Fac : Facilitator หรือ วิทยากรกระบวนการ ซึ่งมีบทบาทอยู่เบื้องหลังและส่งเสริมให้องค์ประกอบอื่นแสดงศักยภาพต่างๆออกมาด้วยตนเอง สร้างความงดงามของกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในแนวทางที่แตกต่างออกไปจากเดิม อย่างนี้เป็นต้น
การเข้าถึงทรรศนะและหลักการพื้นฐานที่สุดดังกล่าวนี้ ก็จะทำให้เราสามารถทำงานเชิงความคิดและพลิกแพลงการแสดงความจริงให้เหมาะสมไปตามบริบทได้ดีขึ้น โดยจะสามารถตระหนักถึงภาวะความจริงของสิ่งต่างๆได้มากยิ่งๆขึ้นเป็นลำดับไปด้วยว่า ความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งเดียวกันและมีธรรมชาติที่เป็นอย่างที่เป็น ที่โลกแห่งความความรู้และผู้คนที่แตกต่างสาขาประสบการณ์กัน ใช้วิธีการทางความรู้ที่ต่างกัน เหมือนเดินเข้าประตูและหน้าต่างคนละบาน สู่ห้องเดียวกัน เท่านั้น
ศิลปะ วิทยาศาสตร์ ภูมิปัญญาปฏิบัติจากวิถีชีวิตชุมชน รวมทั้งศาสตร์และความรู้แขนงต่างๆ ก็เปรียบเสมือนบานหน้าต่างและประตู ที่ผู้คนต่างก็สามารถเข้าออกได้หลายทางด้วยกันดังกล่าวนั้น ขณะเดียวกัน ความมีชีวิตจิตใจของมนุษย์ ก็เป็นพื้นฐานที่มนุษย์ล้วนมีด้วยกันทุกคน และสุขภาวะของการอยู่ร่วมกัน ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการเหมือนกันทุกผู้ทุกนาม จึงเหมือนห้องเดียวกันและเป้าหมายที่มีความร่วมกันอยู่ภายใต้ความแตกต่างหลากหลาย ดังนี้เป็นต้น
เมื่อเห็นความเชื่อมโยงกันได้อย่างนี้ เราก็จะสามารถเดินอย่างไร้กรอบจำกัดมากยิ่งๆขึ้นเป็นลำดับ เติบโตงอกงามควบคู่ไปกับความสามารถขยายความกว้างขวางของการปฏิบัติและเรียนรู้ไปบนการดำเนินชีวิต ทำหน้าที่การงาน และการพัฒนาตนเองอยู่เสมอของเรา
วิธีนำไปใช้ในสถานการณ์จริงของการถ่ายภาพและเขียนรูป
เราสามารถใช้หลักเกณฑ์นี้สร้างสรรค์มุมมองทั้งสำหรับการถ่ายภาพ เขียนรูป และมองโลกรอบข้างเพื่อเห็นจังหวะและลีลาต่างๆในความเป็นศิลปะอยู่ในธรรมชาติ โดยประเมินและสังเคราะห์ให้เห็นแบบแผนของสีสันที่มีความเป็นสีตรงข้ามกัน แล้วเลือกให้สีที่โดดเด่นออกจากภาพรวม ให้มีขนาดประมาณ ๒๐ : ๘๐ พร้อมกับจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งของจุดสนใจตามกฏ ๓ ส่วนตามความเหมาะสม ก็จะเกิดองค์ประกอบภาพที่มีความเป็นศิลปะพร้อมกับสิ่งที่ถูกจัดวางในตำแหน่งดังกล่าว ก็จะทำหน้าที่เป็น Theme เชื่อมโยงองค์ประกอบรอบข้างให้กลายเป็นเอกภาพ สร้างเรื่องราวต่างๆให้เชื่อมโยงเป็นชุดเหตุการณ์เดียวกัน
ปัจจุบันกล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพ มักจะมีเส้นตารางอยู่ในช่องมองภาพ ตารางดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากหลักคิดเกี่ยวกับกฏ ๓ ส่วนและการสร้างอัตราส่วน ๘๐ : ๒๐ ของ Space และ Form เพื่อใช้สายตามองและจัดวางองค์ประกอบภาพให้ได้ความเป็นศิลปะสำหรับบันทึกภาพในจังหวะต่างๆนั่นเอง
ลองกลับขึ้นไปพิจารณาภาพถ่ายสองภาพข้างบน เราก็จะสามารถเห็นแบบแผนดังกล่าวสอดแทรกเป็นระบบและโครงสร้างการจัดวางตนเองของสิ่งต่างๆอยู่ในปรากฏการณ์รอบตัวของเรา และเราก็จะสามารถบันทึกถ่ายทอดสิ่งที่เกิดจากมุมมองและการมองเห็นซึ่งก็จะสามารถสะท้อนความจำเพาะตนของเราเองด้วย ให้ออกมาเป็นภาพถ่ายและการเขียนภาพต่างๆออกมาได้
แผนที่และแบบแผนในการจินตนาการดังกล่าวนี้สามารถนำไปใช้กำกับการถ่ายภาพ บันทึกข้อมูลภาพ และวาดภาพต่างๆ เพื่อสร้างความรู้และจัดการความรู้ ซึ่งในหลายโอกาสภาษาพูดและภาษาเขียนจะไม่สามารถเข้าถึง.
..............................................................................................................................................................................
หมายเหตุและเชิงอรรถ :
[๑] ระบบ'แม่สีของแสง'จะเป็นอีกแบบหนึ่ง และเมื่อผสมกันแล้วก็จะได้สีขาวหรือไม่มีสี, ส่วน'แม่สีทางการพิมพ์'จะมี ๔ สีและต่างไปจาก'แม่สีวัตถุธาตุ'กับ'แม่สีของแสง' แต่เมื่อผสมกันแล้วก็จะได้สีดำเช่นกัน, ระบบ'สีในคอมพิวเตอร์'นั้นจะมีการเปล่งแสงเหมือนกับแม่สีของแสงมาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น จึงใช้แนวคิดทฤษฎีสีของแสงทำงานได้สอดคล้องกว่าการใช้ทฤษฎีแม่สีวัตถุธาตุอย่างที่คนทั่วไปรู้จัก, ผู้ที่มีความแตกฉานเรื่องแม่สีและศิลปะการจัดวางสีนั้น จะสามารถเป็นมืออาชีพที่ต้องใช้ศิลปะและความเชี่ยวชาญในขั้นสูง เช่น เป็น Ligthing Engineer, เป็น Screen Play Artist, เป็นผู้เชียวชาญในการคิดค้นสีและผสมสี เหล่านี้เป็นต้น, การค้นพบระบบสีมันเซลล์เกิดจากความพยายามวิจัยดินและการจำแนกดินด้วยหลักเกณฑ์ด้านสีของดิน จากนั้น จึงพัฒนาต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ, ในประเทศที่ก้าวหน้าหลายประเทศจะมีห้องปฏิบัติการวิจัยระบบสีและสร้างเป็นองค์ความรู้ที่สมบูรณ์เพื่อใช้ในงานศิลปะและการพัฒนาอุตสาหกรรมอีกหลายสาขา เช่น ระบบสีของประเทศญี่ปุ่น, ระบบสีของประเทศสวีเดน, ระบบสีของเยอรมัน, เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้น แม่สีวัตถุธาตุที่รู้จักแพร่หลายสำหรับคนทั่วไปในสังคมไทยนั้น จึงเป็นเพียงระบบสีแบบหนึ่ง ซึ่งในหลายประเทศก็อาจจะไม่คุ้นเคยและมีระบบสีอีกอย่างหนึ่งใช้ก็ได้
[๒] ในทางทฤษฎีการศึกษา, จิตวิทยาการศึกษา, ทฤษฎีการเรียนรู้และการเรียนการสอน ถือว่าสีต่างๆนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีด้วยตนเองอยู่ในธรรมชาติ แต่เป็นวิธีคิดหรือเป็นสิ่งที่จะต้องสร้างเป็นมโนทัศน์และความหมายต่อสีต่างๆขึ้นมารองรับ ดังนั้น จึงก่อเกิด รู้จัก มีความหมายและมีบทบาทต่อชีวิตประจำวัน ตลอดจนมีบทบาทต่อการสร้างสังคมและวัฒนธรรมของสังคมต่างๆขึ้นมาได้ก็ด้วยการที่ต้องกำหนดรู้และเรียนรู้กระทั่งเกิดเป็นข้อตกลงร่วมกันขึ้นในบริบทหนึ่งๆของสังคม
[๓] งานศิลปะแบบเซนและงานศิลปะพู่กันจีนแนวหนึ่ง รวมทั้งการทำงานวาดเส้นและภาพถ่ายขาวดำแบบสีเดียว หรือ ภาพแบบ Monochrome มักจะบันทึกและบอกเล่าด้วยสีดำอย่างเดียว โดยให้ความสำคัญว่าเป็นการสร้างประสบการณ์ทางศิลปะเพื่อเป็นเงื่อนไขให้ผู้คนเข้าถึงประสบการณ์ทางจิตใจที่ลึกซึ้ง โดยสร้างความเป็นสีสันและความเป็นจริงขึ้นจากกระบวนการทางปัญญาซึ่งอยู่ภายในตนเอง หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า แนวคิดของวิธีการทางศิลปะภาวนาดังกล่าวนี้ เชื่อว่าความเป็นสีสันต่างๆก็คือจิตใจของเรานั่นเอง ความเป็นจริงและโลกของสีสันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายนอกตัวของมนุษย์ แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใจของเรา ความจริงที่สุดของเราก็คือปัจจุบันขณะของจิตใจและสติในการตื่นรู้ของเรานั่นเอง ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องเขียนรูปและทำให้มีสีสันเบ็ดเสร็จ การเขียนให้มากสีกลับเป็นภาวะการปรุงแต่ง ในขณะที่การมุ่งเขียนด้วยสีดำ ก็จะถือว่าเป็นศิลปะของกระบวนการบรรลุธรรมด้วยวิถีแห่งปัญญา เป็นศิลปะของจิตใจ มักมีรูปแบบการเขียนเพื่ออยู่กับตนเองและสร้างงานศิลปะเพื่อใช้เป็นเงื่อนไขแวดล้อมในการเข้าถึงธรรมด้วยกระบวนการภายในของตนเอง ของผู้ชม
[๔] แผนภาพแสดงระบบสีในทฤษฎีสีของมันเซลล์
ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก Google ที่ : http://en.wikipedia.org/wiki/Munsell_color_system
คงต้องเรียนรู้องค์ประกอบศิลปะ
ขอบคุณค่ะที่นำมาถ่ายทอด ขออนุญาตเลียนคำพูดคุณอุ้มบุญ ข้างบนด้วยค่ะ
สวัสดีครับคุณอุ้มบุญครับ
วันนี้กว่าจะเข้ามาดู มาแก้ไข ทักทายและตอบกันได้ ก็เล่นเอาเหงื่อตกเลยครับ ผมคิดว่าคอมพิวเตอร์ผมเสียอีกแล้วเสียอีก แต่ดูๆแล้วคนอื่นๆก็เจอใช่ไหมครับ
ขอให้มีความสุขในการบ่มความคิดและติดดาบฝีมือออกไปใช้ทำงานอย่างสนุกยิ่งๆขึ้นนะครับ
สวัสดีครับคุณครูกอไก่ครับ
หากมีแนวในการมองอย่างนี้จนคุ้นเคย เหมือนกับเป็นแผนภาพในหัวหรือกรุ่นอยู่ในจินตนาการอยู่ตลอดเวลาได้แล้วละก็
รับรองได้เลยครับว่าจะเป็นมือถ่ายภาพที่ส่องเลนส์ไปถ่ายภาพอะไรตรงไหนก็สวยแน่นอนครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์
มาขอเรียนรู้ด้วยคนค่ะ
สวัสดีครับคุณณัฐรดาครับ
วันนี้มีหมู่มิตร บล๊อกเกอร์ และคนติดตามผลงานของคุณณัฐรดาในบล๊อกโอเคเนชั่นถามถึงคุณณัฐรดาแน่ะครับ
*ขอบคุณค่ะ..มาเรียนรู้สู่การปฏิบัติ..
* พี่ใหญ่เก็บภาพดอกไม้หลากสีในสวนที่บ้านมาฝากค่ะ..ตอนจัดสวนคิดถึงความลงตัวเหมือนกัน ทั้งรูปทรงและสีสรร..ตามใจชอบ..
สวัสดีครับพี่ใหญ่ครับ
มันเยอะ หลายหลาก และออกดอกคึ่กคั่กขนาดนี้เชียวหรือครับ
คนปลูกดอกไม้ต้นไม้ขึ้นงอกงามดีนี่เขาว่าเป็นคนมือเย็นดีนะครับเนี่ย
สวัสดีครับคุณแสงแห่งความดีครับ
ติดดาบความคิดและเสริมกำลังให้คุณแสงแห่งความดีและมือถ่ายภาพ
เพื่อทำงานบันทึกและถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเองให้หลากหลายมากยิ่งๆขึ้นไงครับ
ตามมือที่ไปจูงมาค่ะ
ตั้งใจอ่านอย่างแรง เพราะเป็นคนชอบศิลปะ
แม้จะไม่รู้เรื่องศิลปะเลย
อ่านแล้วทำให้รู้เลยว่าต้องเรียนรู้ การถ่ายภาพอีกมากๆ
ขอบคุณมากๆนะคะ
เอามาฝากเผื่อดูแล้วอยากมาเที่ยวกับครอบครัวเจ้า
มาอีกครั้ง อยากขออนุญาตเอาประโยคบางประโยคไปใช้บ้าง
ไม่ว่ากันนะคะ
สู่การเป็น Fac : Facilitator หรือ วิทยากรกระบวนการ ซึ่งมีบทบาทอยู่เบื้องหลังและส่งเสริมให้องค์ประกอบอื่นแสดงศักยภาพต่างๆออกมาด้วยตนเอง สร้างความงดงามของกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในแนวทางที่แตกต่างออกไปจากเดิม อย่างนี้เป็นต้น
สวัสดีครับคุณมนัญญาครับ
คิดว่าใครที่ไหนกัน เป็นทีมสุขภาพของสันทรายนี่เอง
ผมคุ้นชื่อปางอุ๋งจัง แต่ดูสนสามใบแล้วอย่างกับไม่เคยเห็นเลย ดูเป็นธรรมชาติดีจังเลยนะครับ อันที่จริงการเป็นทีมจัดกระบวนการให้คนระดมความคิดและทำงานด้วยกันเป็นกลุ่ม-เป็นเครือข่ายนั้น ทีมสันทรายเก่งนะครับ มีคนทำงานเชื่อมโยงกันได้หลายระดับ ทีม อสม.ก็เข้มแข็ง
ขอขอบคุณดอกไม้และกำลังใจจากทุกท่านครับ
krukorkai ขจิต ฝอยทอง ณัฐพัชร์ นาง นงนาท สนธิสุวรรณ ✿อุ้มบุญ ✿