ในวันที่ชีวิตได้นั่งพักอย่างสงบ มันช่วยให้ชีวิตได้ยินเสียงจากข้างในของตัวเองอย่างมากเลย ทีเดียว
ผมพยายามเรียกสติเพื่อที่จะมีสมาธิในการสะสางเรื่องหลายเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ทั้งโดยบังเอิญ และตั้งใจ
ผมพลิกเข้าดูแฟ้มบันทึกเก่าๆ ที่ค้างไว้ในคอมพิวเตอร์ พบข้อความชุดหนึ่งสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น สิ่งนั่นก็คือ
คำกลอนเวอร์ชั่น “คำเมือง” นั่นเอง
ครั้งนั้น (ปลายปี ๒๕๕๓) ผมเดินทางไปช่วยคุณจตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูรถอดบทเรียนที่โรงพยาบาลอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผมได้รับมอบหมายให้ดูแลกลุ่มประชาคม ที่หลักๆ ประกอบไปด้วย
ผู้นำชุมชน ทั้งในระบบและนอกระบบ (ที่จัดตั้งกันขึ้นเอง)
ด้วยความที่ผมเป็นคนชนบท หรือออกแนวท้องถิ่นๆ จึงช่วยให้ผมปรับตัวและปรับสภาพเข้าสู่กระบวนการ
ได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องภาษาถิ่นอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็น “สีสัน” และเป็น “ความท้าทาย”
ของการจัดกระบวนการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง
สิ่งสำคัญที่ผมค้นพบ ก็คือ “พลังของคนรากหญ้า” นั่นสำคัญมาก
อันที่จริงผมก็พอรู้และตระหนักมาแล้วล่ะว่าคนกลุ่มนี้สำคัญยิ่งกับการพัฒนาท้องถิ่นของตัวเอง หากแต่ครั้งนี้ ผมหมายถึง ผมมารับรู้ รับฟังและสัมผัสแตะต้องด้วยตนเองนั่นเอง
เวทีเล็กๆ ในวันนั้น ผมมองเห็นภาพอันเป็นเรื่องราวการพัฒนาท้องถิ่นถูกฉายซ้ำอีกหนเหมือนๆ กัน
ในหลายๆ ที่ที่ผมเคยไปมา นั่นก็คือ ช่องว่างที่ภาครัฐไม่สามารถสร้างเครือข่ายให้เกิดขึ้นได้อย่างเข้มแข็ง และไม่สามารถให้ “เครดิต” กับคนในชุมชนในการที่จะปกป้องและดูแลตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น คนทำงานในระดับท้องถิ่นหลายส่วนถูกละเลย ไม่ได้รับการดูแลอย่าง “จริงจัง” เห็นได้ชัดจากภาพของการ
“สั่งงาน อยากได้งาน แต่ไม่ติดตามกระบวนการจากต้นจนจบ” ทั้งที่ระยะการขับเคลื่อนนั้น กลุ่มคนเหล่านี้ “แบกรับ” หลายเรื่องอย่างหนักหน่วง และไม่รู้จะอาศัยศาสตร์ใดบ้างมาผสมผสานสู่การ “ข้ามให้พ้น”
เช่นเดียวกันนั้น ในอีกมุมหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าคนในท้องถิ่นก็หลงลืมเรื่องการ “ยืนหยัด”
ด้วยตนเองไปเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้การกระตุ้นจากภายนอกของภาคส่วนต่างๆ จึงเป็นกระบวนการที่น่าสนใจ แต่จะกระตุ้นอย่างไรโดยไม่ให้ท้องถิ่นจมดิ่งสู่สภาวะของการถูกครอบงำ หรือแม้แต่ "ชินชา" กับการเป็น
“ผู้รับ” แบบไม่ต้อง “ดิ้นรน” ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่งใหญ่
หากแต่ในเวทีวันนั้นยังช่วยให้ผมชื่นฉ่ำใจอยู่บ้าง เพราะ “ช่องว่าง” ที่ว่านั้น ในโซนพื้นที่ดังกล่าว ได้ก่อรูปก่อร่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นอย่างน่ายกย่อง โดยมีสำนักงานสาธารณสุขและโรงพยาบาลกำลังเชื่อมโยงเครือข่ายอย่างจริงจัง จริงใจ
ครับ, นั่นคือมุมเล็กๆ มุมหนึ่งที่ผมได้ไปสัมผัสและแตะต้องมาด้วยตนเอง
นั่นน่าจะเป็นเวทีแรกๆ กระมังที่ผมได้มีโอกาสสัญจรออกข้างนอกเพื่อเป็นวิทยากรร่วมกระบวนการกับทีมงาน ซึ่งโอกาสเช่นนั้น ก็เปิดโลกใบใหม่ให้กับผมไปโดยปริยาย
ครับ-ย้อนกลับมาถึงเรื่องราวข้อความที่ผมกลับมาพลิกเจอแบบสดๆ ร้อนๆ กันดีกว่า
ครั้งนั้น เมื่อเวทีปิดตัวลง ทั้งผมและผู้ร่วมวงสนทนายังคงติดลมสรวลเสเฮฮากันไม่หยุดหย่อน เป็นการพูดคุยกันแบบออกรสออกชาติ คล้ายคนบ้านเดียวกันมาพบปะกันก็ไม่ปาน
ก่อนล่ำลาในวันนั้น “พ่อหลวง” (ผู้ใหญ่บ้าน) ได้เขียนคำกลอนอันเป็นภาษาถิ่นเหนือ (คำเมือง) มอบไว้ให้กับผม ท่านบอกว่าเป็น "ของฝาก" สำหรับมิตรภาพที่ผมมีให้ พร้อมๆ กับทิ้งคำถามเล็กๆ ไว้อย่างสุภาพว่า “ที่บ้านอาจารย์ มีบรรยากาศแบบนี้บ้างมั๊ย ?”
ผมใช้เวลาไม่นานนักกับการอ่านคำประพันธ์อันแสนงามเหล่านั้น ถึงแม้จะตีความไม่ทะลุในทุกถ้อยคำ แต่ก็พอมองเห็นแจ่มชัดพอสมควรว่าเรื่องราวที่สะท้อนนั้น คืออะไร...และเป็นไปอย่างไรบ้าง !
และนี่คือข้อความอันเป็น "ของฝาก" ที่เป็นคำประพันธ์ในเวอร์ชั่น “คำเมือง” ที่ผมได้รับมา นะครับ (เสียดายก็แต่ ผมหาต้นฉบับลายมือที่ว่านั้นยังไม่เจอ...แต่ยืนยันว่าไม่หาย !)
...
มาฮื้อเจ้าภาพหันหน้า
มาถ่ากิ๋นเหล้า
มาเฝ้าไฮโล
มาโชว์เสื้อผ้า
มาถ่าเอาบุญ
มาอุดหนุนเจ้าภาพ
มากิ๋นลาบใกล้แจ้ง
มาแกล้งเปลี่ยนเกิบ
มาจ่วยเสริฟอาหาร
มาผลาญเจ้าภาพ
มากราบงานศพ
มาหลบๆ ล่อๆ
มาผ่อเมียเจ้าบ้าน
มาตามประเพณี
มาจีบแม่ครัว
มาหนัวกิ๋นเหล้า
มาเฝ้าเอาแก๋ง
มาแพงแม่หม้าย
มาส้ายบ่าส้ายแฮง
มานั่งสะแกงส่ายขา
...
แน่นอนครับ นั่นคือ ภาพชีวิต หรือ วิถีชีวิต ของผู้คนที่ฉายให้เห็นกลิ่นอายวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นอย่างแจ่มชัด ซึ่งบ้านผม ก็มี "นาฏการณ์" เช่นนี้เหมือนกัน
ท่านละครับ มีประสบการณ์พบเห็นภาพชีวิต หรือสีสันชีวิตเช่นนี้หรือเปล่า ?
...
หมายเหตุ
ภาพกิจกรรมสูญหายไปกับเวลา
ภาพในบันทึกเป็นภาพถ่ายล่าสุดที่ทีมงาน ม.ราชภัฏเชียงใหม่พาสัญจรผ่านไปลำพูน
จึงได้ถือโอกาสได้บันทึกภาพหล่านั้นอีกครั้ง
น่าสงสารข้อมูลที่หายไปตามกาลเวลานะครับ ;)...
เดินทางถึงเชียงใหม่ด้วยปลอดภัย พร้อมเก็บตกชีวิตสองข้างทางด้วยนะครับ
เราอาจจะได้พบกัน ณ เวทีการเรียนรู้ เลย มิได้ไปรับครับ ;)...
สวัสดีครับ อ.วัสฯ Wasawat Deemarn
ห้วงนี้ผมวิกฤตเรื่องเวลามาก
ที่นี่มีอะไรให้ขับเคลื่อนใหญ่มาก และใหญ่จริงๆ...
แต่ยังไง ก็จะปลีกตัวไปแบบ "ขัดใจ" (ที่นี่) อย่างแน่นอน 55
สำคัญตอนนี้ ผมกำลังนั่งเขียนบันทึกโรงเรียนแห่งความสุข "Coach Carter"
หลังจากตั้งหลักมานาน...และนานจริงๆ...
...รักษาสุขภาพกาย-ใจ นะครับ
อ่านของฝากคำเมืองแล้วเห็นภาพ เจออาจารย์was ฝากทักทายด้วยครับ
อยากเจอ แต่ไม่เคยได้เจอเลย เฮ้อ...
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
มาเรียนรู้ ยังอู้ กำเมือง บ่จ้าง
ส่งกำลังใจกับภารกิจการงานนะคะ
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ
ไว้ผมเจอ อ.วัสจะบอกให้นะครับ
แต่ก็อย่างว่า-
"เพิ่นลึกลับน่าดู"....
สวัสดีครับ อ.ธนิตย์ สุวรรณเจริญ
สวัสดีครับคุณปู Poo
เว้าเหนือบ่ถ่อง..(อู้กำเมืองบ่จ้าง)
เป็นกำลังใจให้เช่นกันนะครับ ทั้งการงาน ชีวิต
หรือแม้แต่การอู้กำเมือง...
สวัสดีครับ อ.ลำดวน
ชุมชนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามตั้งรกรากอยู่นี้
ก็มีชาวญ้อผู้ไทอาศัยอยู่มาก ซึ่งเป็นคนมาจากฝั่งเมืองลาว
มหาวิทยาลัยฯ ก็ไม่ดูดาย ขยับเข้าช่วยและเป็นส่วนหนึ่งในการวิจัย หรือขับเคลื่อนให้ชุมชนเกิดกระบวนการเรียนรู้ตัวเอง, รักและหวงแหนที่จะสืบทอดมรดกวัฒนธรรมตนเอง โดยปัจจุบันเข้มแข็งอย่างน่าชื่นชม
แต่ก่อน ผมเห็นชาวบ้านมาจัดรายการวิทยุที่มหาวิทยาลัยฯ โดยใช้ภาษา "ญ้อ" ของตัวเองนั่นแหละเป็นภาษาของการสื่อสารในวิทยุ และนั่นก็คือกระบวนการหนึ่งที่ช่วยย้ำให้เห็นความเป็นรากเหง้าตัวเองได้อย่างทระนง
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ
ตามมาอ่านด้วยคำว่า "คำเมือง" แล้วก็ได้สะท้อนใจกับภาพ "คนเมือง" เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นผมกลับประหวัดไปถึงเหตุที่เขาเอามาเขียน คงไม่ใช่เพียงสะท้อนปรากฏการณ์ในสังคมในท้องถิ่นให้พวกเราได้รู้หรอกครับ แต่คงอยากย้อนถามไปถึงส่วนกลางที่มักเข้าไปหยิบจับข้อมูลในท้องถิ่น เสร็จแล้วก็เงียบหายไป ปล่อยให้ท้องถิ่น"เจ็บและชินไปเอง"