มาร่วมสร้างประชาคมการสอนภาษาไทยให้มีหลักการ มีทฤษฎีและมีชีวิต
เฉลิมลาภ ทองอาจ
การสอนแบบแลกเปลี่ยนบทบาท (reciprocal teaching) เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการเรียนรู้การสร้างความรู้ ที่นักเรียนเป็น “ศูนย์กลาง” ควบคุมกระบวนการเรียนรู้การอ่าน เพื่อสร้างความเข้าใจและความหมายจากการอ่านด้วยตนเอง Palincsar และ Brown (๑๙๘๔) ได้พัฒนาวิธีการจัดการเรียนรู้นี้ขึ้นและให้ความหมายว่า “การสนทนาระหว่างครูและนักเรียน อันมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยกันสร้างความหมายจากบทอ่าน” (Howard, ๒๐๐๔: online) โดยลักษณะ การจัดการเรียนรู้ที่สำคัญ คือ นักเรียนเข้ากลุ่มเพื่อสนทนาเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน โดยครูจะเป็นผู้สาธิตวิธีสร้างความเข้าใจ บทอ่านและสนับสนุนให้นักเรียนใช้วิธีดังกล่าวสอนสมาชิกในกลุ่ม กระทั่งสมาชิกทุกคนสามารถใช้วิธีดังกล่าวได้ด้วย ตนเองในที่สุด
จากความหมายข้างต้น การแลกเปลี่ยนบทบาทในที่นี้ มุ่งเน้นไปที่การให้นักเรียนเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้สอนและ นำกระบวนการอ่านของตนเองและเพื่อนสมาชิกในกลุ่ม โดยสมาชิกมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน คือ การสร้างความเข้าใจและความหมายเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน นักการศึกษาทั้ง ๒ คนได้วิจัยพบว่าวิธีการจัดการเรียนรู้นี้สามารถพัฒนาระดับความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจให้สูงขึ้นได้ (Palincsar และ Brown, ๑๙๘๙ อ้างถึงใน Sternberg และ Williams, ๒๐๐๒: ๔๕๔) นอกจากนี้ นักเรียนยังได้เรียนรู้ “กลวิธี” การอ่านเพื่อสร้างความเข้าใจ และได้ศึกษาว่าแต่ละวิธีนั้นควรใช้อย่างไรและเมื่อใด รวมทั้งเกิดทักษะการบังคับตนเอง (self-regulated) จนสามารถใช้วิธีการอ่านเหล่านี้ในชีวิตประจำวันได้ในที่สุด (Doolittle, Nichols และ Young, ๒๐๐๖: online)
วิธีการจัดการเรียนรู้การสอนแบบแลกเปลี่ยนบทบาทนี้ มีลักษณะพื้นฐานที่สำคัญ ๒ ประการ (Alverman และ Phelps, ๑๙๙๘ อ้างถึงใน Greece Central School District, ๒๐๐๔: online) ดังนี้
๑. เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติการสร้างความเข้าใจและความหมายจากการอ่านจากโดยใช้วิธีการ ๔ วิธี คือ การตั้งคำถาม (question generating) การสรุปย่อ (summarizing) การสร้างความกระจ่าง (clarifying) และการทำนาย (predicting)
๒. เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ในลักษณะการฝึกหัดทางสติปัญญา (cognitive apprenticeship) ประเภทหนึ่ง ซึ่งให้นักเรียนศึกษาบทบาทของครูในชั้นเรียนก่อน แล้วปรับบทบาทตนเองให้เป็น “ครู” ที่จะสอนและสนับสนุนเพื่อนในกลุ่มให้สามารถสร้างความรู้และความหมายจากบทอ่านได้ด้วยตนเอง โดยใช้วิธีการทั้ง ๔ วิธีเป็นประเด็นหลักในการสนนทนาและอภิปราย
สารัตถะสำคัญของวิธีการจัดการเรียนรู้การสอนแบบแลกเปลี่ยนบทบาท คือการใช้ “วิธี” การสร้างความเข้าใจและความหมายจากบทอ่านทั้ง ๔ วิธี ซึ่งครูจะต้องเริ่มจากการสาธิตและพยายามสนับสนุนให้นักเรียนค่อยๆ ใช้วิธีการดังกล่าวได้ด้วยตนเองในที่สุด แม้ว่าระยะแรก นักเรียนอาจยังไม่คุ้นเคยกับการอ่านที่ต้องใช้วิธีการศึกษามากกกว่าเพียงการอ่านเนื้อหาปกติ แต่เมื่อนักเรียนเข้ากลุ่มสนทนาแบบแลกเปลี่ยนบทบาท นักเรียนจะสามารถใช้ข้อมูลของตนเองแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กล่าวคือ ใช้คำถามและความคิดเห็นของเพื่อนเป็นฐานการอภิปรายเพื่อพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับบทอ่าน ซึ่งผลที่ตามมา คือ นักเรียนได้พัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เข้าใจกระบวนการเรียนรู้และการใช้เหตุผล (Borich, ๒๐๐๔: ๒๒๕)
วิธีการสร้างความเข้าใจและความหมายจากบทอ่านมี ๔ วิธี ได้แก่ การตั้งคำถาม (question generating) การสรุปย่อ (summarizing) การสร้างความกระจ่าง (clarifying) และการทำนาย (predicting) แนวคิดและการนำไปปฏิบัติของ แต่ละวิธี Palincsar (๑๙๘๖) อ้างถึงใน North Central Regional Educational Laboratory (๒๐๐๔: online); Snowball and Diane (๒๐๐๕: online) และ State of Victoria Australia, Department of Education and Early Childhood Development (๒๐๐๘: online) ได้เสนอไว้สรุปได้ดังนี้
๑. การตั้งคำถาม (question generating): การตั้งคำถามเป็นวิธีที่ทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจบทอ่าน โดยนักเรียนจะต้องค้นหาหรือพิจารณาข้อมูลสำคัญ ซึ่งได้แก่ ใจความสำคัญ รวมทั้งข้อมูลที่น่าสนใจต่างๆ จากบทอ่าน ให้เพียงพอที่จะสร้างข้อคำถามได้ แล้วนักเรียนพยายามสร้างคำถามโดยใช้คำแสดงคำถามระดับสูง เช่น “เพราะเหตุใด…” “.....อย่างไร” จากนั้นนักเรียนตรวจสอบว่าสามารถตอบคำถามที่ตนเองสร้างขึ้นได้หรือไม่ ระยะแรกครูควรให้คำแนะนำและช่วยเหลือนักเรียน (scaffolding) ในการตั้งคำถาม ซึ่งมีลักษณะยืดหยุ่นได้หลายระดับ กล่าวคือ อาจเป็นคำถามที่มุ่งเน้น การถามข้อมูลสำคัญ ข้อมูลรายละเอียด หรืออาจเป็นคำถามที่มุ่งเน้นการอ้างอิงหรือประยุกต์ใช้ข้อมูลใหม่จากบทอ่าน เป็นต้น
กิจกรรมการเรียนรู้ตามวิธีตั้งคำถาม คือ ครูให้นักเรียนตั้งคำถามพัฒนาการคิดก่อนและหลังการอ่านบทอ่าน เพื่อใช้ทบทวนและกระตุ้นให้นักเรียนและเพื่อนใช้ความคิดและความเข้าใจ คำถามดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำถามระดับความรู้ความจำ ความเข้าใจ วิเคราะห์และประเมินค่า เช่น “ข้อความที่อ่านหมายความว่าอย่างไร” “ผู้เขียนต้องการเสนอแนวคิดใด” “เพราะเหตุใดตัวละครสำคัญจึงมีจุดจบเช่นนั้น” “นักเรียนคิดอย่างไรเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือตัวละครในเรื่อง” และ “นักเรียนรู้สึกอย่างไรกับพฤติกรรมของตัวละครในเรื่อง” เป็นต้น
๒. การสรุปย่อ (summarizing): การสรุปย่อเป็นวิธีการที่จะสนับสนุนให้นักเรียนสามารถหลอมรวมข้อมูลสำคัญต่างๆ ในบทอ่านให้มีเอกภาพ นักเรียนสามารถสรุปบทอ่านได้ทั้งในระดับประโยค ระดับย่อหน้าไปกระทั่งถึงระดับเนื้อความทั้งหมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชำนาญของนักเรียน เบื้องต้นนักเรียนอาจสรุปย่อได้เพียงระดับประโยคและย่อหน้า จากนั้นจะค่อยๆ พัฒนาเป็นการสรุปย่อบทอ่านทั้งบท
กิจกรรมการเรียนรู้ตามวิธีสรุปย่อ ได้แก่ ๑) นักเรียนค้นหาถ้อยคำหรือข้อความสำคัญในบทอ่านเพื่อใช้สรุปย่อ ๒) นักเรียนสรุปย่อใจความสำคัญในแต่ละย่อหน้า โดยการพิจารณาจากประโยคในความสำคัญในแต่ละย่อหน้า หรือ ๓) นักเรียนสรุปย่อใจความสำคัญของหัวข้อย่อยต่างๆ จากนั้นนักเรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับการสรุปย่อเพื่อถามเพื่อนนักเรียนในกลุ่ม เช่น “ใจความสำคัญของย่อหน้าที่อ่านคืออะไร” “เรื่องที่อ่านมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร” และ “ข้อมูลที่สำคัญที่สุดของเรื่องคืออะไร” เป็นต้น แต่ละกิจกรรมเหล่านี้ นักเรียนควรนำเทคนิค “Graphic organizer” หรือแผนภาพแสดง การจัดลำดับความคิดมาใช้สรุปย่อข้อมูลจากบทอ่าน ตัวอย่างแผนภาพที่ควรนำมาใช้สรุปย่อ เช่น แผนผังมโนทัศน์ (concept map) แผนผังโซ่ลำดับ (chain diagrams) แผนผัง 5 คำถาม (five w's diagrams- who, when, where, what, and why) แผนผังความคิดสำคัญและความคิดสนับสนุน (main idea/supporting ideas) เป็นต้น
๓. การสร้างความกระจ่าง (clarifying) : การสร้างความกระจ่างเป็นวิธีการที่สำคัญและมีประสิทธิภาพยิ่ง ในการช่วยพัฒนาความเข้าใจในการอ่านของนักเรียนที่มีปัญหาด้านการอ่าน เนื่องจากนักเรียนเหล่านี้มักไม่เข้าใจความหมายของคำหรือข้อความที่ปรากฏในบทอ่าน หลักการปฏิบัติของวิธีนี้ คือ นักเรียนตั้งคำถามถามตนเองและเพื่อนเกี่ยวกับความหมายของศัพท์ สำนวนโวหารและแนวความคิดบางประการจากเรื่อง เมื่อได้ฟังคำถาม เพื่อนนักเรียนในกลุ่มจะไตร่ตรองสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้ตนเองไม่เข้าใจบทอ่าน เช่น บทอ่านมีคำศัพท์ใหม่ มีสำนวนโวหาร สัญลักษณ์ แนวคิดหรือปรัชญาที่เข้าใจยาก เป็นต้น จากนั้นนักเรียนจะเกิดความตระหนักเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ตนเองไม่เข้าใจ แล้วคิดหาวิธีแก้ไขและพัฒนาทักษะการอ่านของตนเอง เช่น การอ่านทบทวน การซักถามและค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม เป็นต้น ผลจากการปฏิบัติวิธีนี้จะทำให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะการตรวจสอบตนเอง (self-monitor) อีกประการหนึ่งด้วย
กิจกรรมการเรียนรู้ตามวิธีสร้างความกระจ่าง ได้แก่ ๑) นักเรียนพิจารณาและระบุคำศัพท์ที่ตนเองไม่เข้าใจความหมาย ๒) นักเรียนพิจารณาโครงสร้างของบทอ่าน ๓) นักเรียนตีความและระบุมโนทัศน์หรือแนวความคิดที่ซับซ้อน ๔) นักเรียนช่วยกันพิจารณาโครงสร้างไวยากรณ์ของ บทอ่าน แล้วนักเรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับการสร้างความกระจ่างเพื่อถามเพื่อนนักเรียนในกลุ่ม เช่น “คำหรือข้อความนี้หมายความว่าอย่างไร” “คำหรือข้อความนี้สามารถกล่าวใหม่ได้อย่างไร” “ประโยคนี้มีความหมายที่แท้จริงว่าอย่างไร” และ “บทสนทนาของตัวละครแสดงความคิดของผู้เขียนอย่างไร” เป็นต้น จากนั้นนักเรียนช่วยกันค้นหาความหมายคำศัพท์ ประโยคหรือข้อความจากการพิจารณาบริบท เปิดพจนานุกรมหรือหนังสืออ้างอิงต่างๆ อ่านซ้ำ สอบถาม หรือสนทนทาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ ครูและเพื่อน เป็นต้น
๔. การทำนาย (predicting): การทำนายเป็นวิธีการที่นักเรียนคาดเดาหรือตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงในเนื้อหาช่วงต่อไป กิจกรรมดังกล่าวนี้ นักเรียนจะต้องพิจารณาและทบทวนพื้นฐานความรู้และประสบการณ์ของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือชื่อเรื่อง ครูควรเน้นให้นักเรียนพิจารณาโครงสร้างของบทอ่าน (text structure) ได้แก่ หัวข้อหลัก หัวข้อรอง ตลอดจนบริบทของเนื้อหา เพื่อให้นักเรียนเข้าใจความสัมพันธ์ของเนื้อหาส่วนต่างๆ อันจะนำไปสู่การทำนายที่สมเหตุสมผล หลักการปฏิบัติของวิธีนี้ คือ นักเรียนจะต้องตั้งคำถามเพื่อนในกลุ่มเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับต่อไป โดยให้เวลาเพื่อนในกลุ่มทบทวนประสบการณ์หรือความรู้เดิมเพื่อเชื่อมโยงกับประสบการณ์ใหม่ที่ปรากฏในบทอ่าน
กิจกรรมการเรียนรู้ตามวิธีทำนาย คือ นักเรียนพิจารณาโครงสร้างของบทอ่านว่าส่วนใดเป็นหัวข้อหลักหรือเหตุการณ์หลัก และส่วนใดเป็นหัวข้อรองหรือเหตุการณ์รอง แล้วพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างหัวข้อเรื่องหรือเหตุการณ์เหล่านั้น เพื่อตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับต่อไป แล้วนักเรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำนายเพื่อถามเพื่อนนักเรียนในกลุ่ม เช่น “จากชื่อเรื่องและหัวข้อเรื่อง เหตุการณ์ใดน่าจะเกิดขึ้นเป็นลำดับต่อไป” และ “ผลที่เกิดจากการกระทำของตัวละครในเหตุการณ์นี้คืออะไร และการทำนายดังกล่าวใช้ข้อมูลใดจากเรื่อง” เป็นต้น นักเรียนตรวจสอบสมมติฐานด้วยการอ่านเนื้อความช่วงต่อไป จากนั้นจึงสนทนาเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้สมมติฐานที่ตั้งไว้ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการจัดการเรียนรู้ของวิธีการสอนแบบแลกเปลี่ยนบทบาท
นักการศึกษาและสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ของวิธีจัดการเรียนรู้การสอนแบบแลกเปลี่ยนบทบาทไว้สอดคล้องกันว่า ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ ๔ ขั้นตอน (Wright, ๒๐๐๑: online; Sternberg และ Williams, ๒๐๐๒: ๔๕๔; Greece Central School District, ๒๐๐๔: online; Duffy (๒๐๐๒), Duke และ Pearson (๒๐๐๒) และ Williams (๒๐๐๒) อ้างถึงใน University of Central Florida , Florida online reading professional development project, ๒๐๐๕: online; Doolittle, Nichols และ Young, ๒๐๐๖: online; Slavin, ๒๐๐๖: ๒๕๒-๒๕๓) กิจกรรมการเรียนรู้แต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
ขั้นตอนที่ ๑: ครูอธิบายวิธีสร้างความเข้าใจและความหมายจากการอ่านโดยตรง (direct explanation of the strategy) ขั้นตอนนี้ ครูต้องอธิบายและแสดงการใช้วิธีสร้างความเข้าใจและความหมายจากการอ่านว่านักเรียนควรใช้เมื่อใดและใช้อย่างไร รวมทั้งเน้นย้ำให้นักเรียนเห็นความสำคัญว่าวิธีตั้งคำถาม วิธีสรุปย่อ วิธีสร้างความกระจ่างและวิธีทำนายนั้น เป็นวิธีที่นักอ่านที่ดีใช้เพื่อให้เข้าใจบทอ่านต่างๆ ดียิ่งขึ้น
แนวทางปฏิบัติ
ครูให้นักเรียนเข้ากลุ่ม กลุ่มละประมาณ ๔-๕ คน แล้วครูอธิบายวิธีสร้างความเข้าใจและความหมายจากบทอ่านทั้ง ๔ วิธี ซึ่งประกอบด้วยการตั้งคำถาม การสรุปย่อ การสร้างความกระจ่างและการทำนาย โดยกล่าวว่า นักอ่าน ที่ดีย่อมพัฒนาการอ่านเพื่อสร้างความเข้าใจของตนเองโดยใช้วิธีที่สำคัญ ๔ วิธี ได้แก่ การตั้งคำถามเกี่ยวกับใจความสำคัญและรายละเอียดต่างๆ ของเนื้อหาตอนที่อ่าน การสรุปย่อใจความสำคัญ การพิจารณาถ้อยคำ สำนวน ประโยคหรือข้อความที่ไม่เข้าใจเพื่อสร้างความกระจ่าง และการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับต่อไป จากการพิจารณาข้อมูลที่ปรากฏ เมื่อนักเรียนเข้าใจแล้ว ครูให้ใบงานกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งมีลักษณะเป็นตารางให้นักเรียนเขียนข้อมูลจากการอ่านตามวิธีสร้างความเข้าใจทั้ง ๔ วิธี ครูสามารถพัฒนาใบงานกิจกรรมการเรียนรู้ตามตัวอย่างใบงานกิจกรรมการเรียนรู้ของ Wright (๒๐๐๑: online) ซึ่งแสดงในแผนภาพที่ ๑ แล้วครูอธิบายว่าขณะอ่านให้นักเรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง สรุปย่อใจความสำคัญ พิจารณาถ้อยคำ สำนวนและประโยคที่ไม่เข้าใจและทำนายเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นในลำดับต่อไป จากนั้นให้นักเรียนเขียนลงในใบงานกิจกรรมการเรียนรู้ที่มอบให้เพื่อใช้อภิปรายภายในกลุ่มต่อไป
แผนภาพที่ ๑ ใบงานกิจกรรมการเรียนรู้ตามวิธีจัดการเรียนรู้การสอนแบบแลกเปลี่ยนบทบาท (พัฒนาจาก Lysynchuk, Pressley และ Vye, ๑๙๙๐ อ้างถึงใน Wright, ๒๐๐๑: online)
กลุ่ม..................................................... ชื่อ-สกุล.............................................
บทอ่านเรื่อง .......................................ช่วงที่ .......... วันที่ ..................................................
|
๑. การทำนาย: ให้นักเรียนใช้ข้อมูลจากชื่อเรื่องหรือหัวข้อเรื่องของบทอ่านแล้วทำนายว่าบทอ่านที่จะได้อ่านต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกี่ยวกับอะไร
........................................................................................................................................
.......................................................................................................................................
|
๒. การสรุปย่อ: ให้นักเรียนเขียนสรุปใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า (เขียนต่อด้านหลังได้)
ใจความสำคัญที่ ๑: ..............................................
ใจความสำคัญที่ ๒: .............................................
ใจความสำคัญที่ ๓: ..............................................
|
๓. การตั้งคำถาม: ให้นักเรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับใจความสำคัญ โดยใช้คำแสดงคำถาม เช่น ใคร ที่ใด เมื่อใด เหตุใด
คำถามที่ ๑: ..................................................
คำถามที่ ๒: .................................................
คำถามที่ ๓: .................................................
|
๔. การสร้างความกระจ่าง: ให้นักเรียนเขียนคำ ประโยคหรือข้อความที่ไม่เข้าใจความหมาย
………………………………………………………………………………………………………………
|
๕. วิธีการแก้ปัญหา : ให้นักเรียนเขียนวิธีการแก้ปัญหาในข้อ ๔ และระบุผลว่าสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
..........................................................................................................................................................
|
|
ขั้นตอนที่ ๒: ครูสาธิตการใช้วิธีสร้างความเข้าใจและความหมายจากการอ่านโดยใช้การคิดออกเสียง (models the strategy through the use of think-alouds) ขั้นตอนนี้ ครูให้นักเรียนพิจารณาบทอ่านที่เป็นตัวอย่าง แล้วครูกล่าวออกเสียงเกี่ยวกับกระบวนการของวิธีสร้างความเข้าใจที่ตนเองกำลังใช้ เพื่อเป็นตัวอย่างให้นักเรียนเห็นว่าครูมีวิธีการตั้งคำถาม สรุปย่อ สร้างความกระจ่างและทำนายข้อมูลจากบทอ่านนั้นอย่างไร นักเรียนจดบันทึกวิธีการต่างๆ ขณะที่ครูสาธิต จากนั้นครูเริ่มให้นักเรียนใช้วิธีสร้างความเข้าใจทั้ง ๔ วิธี กับบทอ่านช่วงต่อไป โดยใช้วิธีการคิดออกเสียง ซึ่งเป็นวิธีการ ที่มีการวิจัยพบว่าสามารถพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจได้
แนวทางปฏิบัติ
ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มอ่านเนื้อหาวรรณกรรมช่วงแรก แล้วครูสาธิตการใช้วิธีสร้างความเข้าใจและความหมายจากการอ่านแต่ละวิธี โดยการอธิบายออกเสียงเกี่ยวกับกระบวนการคิดที่เกิดขึ้นขณะที่ครูกำลังจะใช้วิธีนั้น เพื่อให้นักเรียนพิจารณาเป็นตัวอย่างว่า ครูมีวิธีการตั้งคำถาม สรุปย่อ สร้างความกระจ่างและทำนายโดยใช้ข้อมูลจากเนื้อหาช่วงแรกนี้อย่างไร นักเรียนแสดงความคิดเห็นเพื่อตอบคำถามและพิจารณาข้อมูล จากนั้นครูสรุปตัวอย่างคำถามและข้อมูลจากวิธีสร้างความเข้าใจแต่ละวิธี
ขั้นตอนที่ ๓: ครูและนักเรียนร่วมมือกันใช้วิธีสร้างความเข้าใจและความหมายจาก การอ่าน (teacher and students should collaboratively use the strategies) ขั้นตอนนี้ ครูสนทนานำอภิปรายเพื่อสร้างบรรยากาศการร่วมมือกันระหว่างครูและนักเรียน กล่าวคือ ครูและนักเรียนผลัดกันใช้วิธีสร้างความเข้าใจฯ แต่ละวิธี นอกจากนี้ ครูต้องสนับสนุนให้นักเรียนอธิบายกระบวนการทางสติปัญญาที่ตนเองกำลังใช้สร้างความเข้าใจ กิจกรรมการร่วมมือกันใช้วิธีสร้างความเข้าใจนี้ มีผลการวิจัยพบว่าจะสามารถพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจได้
แนวทางปฏิบัติ
ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มอ่านเนื้อหาวรรณกรรมช่วงที่ ๒ แล้วครูให้แต่ละกลุ่มเลือกผู้นำกลุ่มเพื่อเปลี่ยนบทบาทมาเป็นครูสอนเพื่อน แล้วใช้วิธีสร้างความเข้าใจและความหมายจากการอ่านทั้ง ๔ วิธี โดยครูเข้าร่วมกิจกรรมกับนักเรียนแต่ละกลุ่ม เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนนักเรียนที่เป็นผู้นำให้สามารถนำสนทนาเพื่อตั้งคำถาม สรุปใจความสำคัญ ทำนายเหตุการณ์หรือแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม การสนับสนุนดังกล่าว ครูสามารถกระทำได้ด้วยการอธิบายการยกตัวอย่าง การแสดงความคิดเห็นและการชี้แนะกลวิธีการตั้งคำถาม การสรุปย่อ รวมถึงชี้แนะแนวทางการค้นคว้าหรือธิบายความหมายของคำศัพท์ สำนวนและประโยคที่นักเรียนไม่เข้าใจ เป็นต้น
ขั้นตอนที่ ๔. ครูฝึกหัดให้นักเรียนใช้วิธีสร้างความเข้าใจและความหมายจากการอ่านโดยอิสระ (guided practice with students moving toward independent use of the strategies) ขั้นตอนนี้ ครูสนับสนุนและช่วยเหลือนักเรียนด้วยการให้คำอธิบายหรือสาธิตตัวอย่างเพิ่มเติม (scaffolding) จนกระทั่งนักเรียนจะเป็นผู้สามารถควบคุมและใช้วิธีสร้างความเข้าใจได้ด้วยตนเองในที่สุด รวมทั้งจะต้องสามารถประยุกต์ใช้วิธีสร้างความเข้าใจกับบทอ่านที่มีรูปแบบหรือเนื้อหาแตกต่างไปจากที่เคยอ่านได้อีกด้วย
แนวทางปฏิบัติ
หลังจากนักเรียนสนทนาแสดงความคิดเห็นตามประเด็นวิธีการสร้างความเข้าใจและความหมายจากการอ่านแต่ละวิธีแล้ว ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มอ่านเนื้อหาช่วงต่อไป ครูสนับสนุนให้ผู้นำกลุ่มนำการสนทนาด้วยตนเอง โดยเริ่มจากการนำการสนทนากลุ่มเพื่อตรวจสอบสมมติฐานที่ทำนายไว้ในขั้นที่ ๓ แล้วสมาชิกภายในกลุ่มสนทนาว่า สมมติฐาน การทำนายที่ตั้งไว้ถูกหรือไม่ถูกต้องเพราะเหตุใด จากนั้นผู้นำอาจแลกเปลี่ยนบทบาทให้สมาชิกคนอื่นๆ เป็นผู้นำกิจกรรมบ้าง ด้วยการตั้งคำถามจากเนื้อหาและถามสมาชิกภายในกลุ่ม เมื่อสนทนาและตอบคำถามแล้ว สมาชิกที่เหลือทำหน้าที่เป็นผู้นำสนทนาเพื่อสรุปย่อเนื้อหาและทำนายเนื้อหาวรรณกรรมในช่วงต่อไปตามลำดับ กิจกรรมการเรียนรู้ในขั้นตอนนี้ ครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนสนทนาแสดงความคิดเห็นโดยอิสระ และใช้การสนทนาร่วมกับนักเรียนแต่ละกลุ่มเพื่อดูแลมิให้การสนทนาออกนอกประเด็น อย่างไรก็ตาม ครูควรพิจารณาด้วยว่าควรเข้าร่วมสนทนากับนักเรียนแต่ละกลุ่มในช่วงเวลาใดจึงจะเหมาะสม ทั้งนี้ครูควรสนับสนุนให้นักเรียนได้เข้าร่วมกระบวนการเรียนรู้และสร้างความหมายจากการอ่านของตนเองอย่างอิสระ และจำกัดบทบาทในการชี้นำให้น้อยลงเรื่อยๆ กระทั่งเปลี่ยนบทบาทมาเป็น “ผู้สังเกตการณ์” ในที่สุด
แม้ปริมาณการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านวรรณกรรมปัจจุบันในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยจะลดลง แต่ครูภาษาไทยสามารถส่งเสริมให้นักเรียนศึกษาและเรียนรู้วรรณกรรมปัจจุบันได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น เมื่อครูประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้การสร้างความรู้ผ่านวิธีการจัดการเรียนรู้การสอนแบบแลกเปลี่ยนบทบาท ซึ่งเป็นวิธีสอนที่ให้ความสำคัญกับการใช้ประสบการณ์และความรู้เดิมของนักเรียนสร้างความเข้าใจและความหมายจากตัวบทวรรณกรรม วิธีการสร้างความเข้าใจและความหมายจากบทอ่านทั้ง ๔ วิธี ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ครูภาษาไทยสามารถนำไป “ไข” เพื่อเปิดประตูประสบการณ์ เกี่ยวกับโลกและชีวิตของนักเรียนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น