(๒)
เช้าวันที่ ๒๔ มีนา ฉันตื่นแต่เช้าเดินสำรวจรอบๆ บ้าน เล่นกับน้องแมวที่มาเคล้าแข้งเคล้าขา แวะสบตากับเจ้าวิลลี่ น้องหมาที่ตัวโต๊โตและต้องประเมินอารมณ์กันเล็กน้อย เพราะถ้าเจ้าวิลลี่มีอารมณ์ดีใจจะกระโจนเข้าหาแบบขาแทบท่วมหัว วิลลี่นะลิลลี่ฝากรอยเท้าเอาไว้เต็มเสื้อไปหมด ..
เมื่อได้เวลาทานข้าวทานปลา ซึ่งอาหารเช้ามื้อนี้มีน้ำพริกปลาย่างแนมด้วยผักบุ้ง ถั่วผักยาว ทั้งสีเขียวและสีม่วง สด กรอบ ไม่มีสารพิษแน่นอน ผักอิซึกต้ม ที่แม่บุญมา คำศรีจันทร์ เตรียมไว้ให้ ฉันบอกแม่บุญมาเมื่อแม่จะตักข้าวให้ฉันอีก ว่า 'คุณพ่อมักจะบอกให้กินข้าวน้อยๆ กินกับเยอะๆ' แต่แม่บุญมาตอบว่าผิดกับบ้านนี้ที่ต้อง 'กินข้าวเยอะๆ จะได้อิ่มๆ' ซึ่งฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธข้าวกล้องร้อนๆ อร่อยๆ อีก ๑ ทัพพีที่แม่ตักให้ เมื่ออิ่มหนำและพักพุงเต็มที่ สายๆ จึงพากันข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม จาก ฝั่งบ้านนอก (เรียกอย่างที่ชาวบ้านเรียกขานกันในสมัยก่อน) ไปยัง ฝั่งบ้านห้วย ระยะทางประมาณ ๑ ถึง ๒ กิโลเมตร ผ่านท้องทุ่งนาอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ลมพัดเย็นสบาย เสียงรถอิแต๋น แท๊ก แท๊ก วิ่งสวนผ่านไป แหม๋ได้อารมณ์จริงๆ ..
แม่บุญมา อาจารย์วิรัตน์ น้าโอ น้องสาวของแม่บุญมา พาเดินและชี้ชวนดูโน่น ดูนี่ ดูนั่น เลี้ยวเข้าบ้านโน้น แวะเข้าบ้านนี้ แนะนำให้ฉันได้รู้จัก ได้กราบคารวะใครต่อใคร ที่อยู่ในช่วงว่างเว้นจากการทำนา แต่หันมาปลูกพืชผัก ทำขนมจีนบ้าง ทำขนมลอดช่องบ้าง ทำงานฝีมือ หรือกำลังวิดบ่อดักจับปลา บ้างก็นำของเหล่านี้ไปขายในตลาดหนองบัว ฉันรู้สึกซาบซึ่งในความมีไมตรีของคนฝั่งบ้านห้วยเป็นอย่างยิ่ง ...
'บริเวณนี้ คือ บ้านหลังเดิมของพี่ ก่อนย้ายไปบ้านโน่น ฝั่งบ้านนอก แต่ตอนนี้รื้อไปหมดแล้วเพราะไม่มีใครอยู่' สิ้นเสียงของอาจารย์วิรัตน์ ฉันจึงหันไปมอง และต้องรีบหยิบกล้องขึ้นมาบันทึกภาพเอาไว้ เพราะนี่คือสิ่งที่ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่า ฉันกำลังอยู่ในสถานที่เกิดเหตุของ ดังลมหายใจ ผืนดินชีวิตเลยนะนี่ ประนึงจะเดินทะลุกระจกทวิภพแบบแม่มณีมาเลยเชียว ..
-----------------------------------------------
เรื่อง/ภาพ : ณัฐพัชร์ ทองคำ
กล้อง : Kodak Z981
-----------------------------------------------
Retouching : ผศ.ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์
ตอนที่ ๑ : มนต์เสน่ห์หนองบัว
--------------------------------------------------------------
ตอนที่ ๒ : ผืนดินชีวิต บ้านต้นเรื่อง 'ดังลมหายใจ'
ตอนที่ ๓ : แม่ ครอบครัว ชีวิต : ลมหายใจ
*พี่ใหญ่มา up date link อีกหนึ่งบันทึกค่ะ เป็นหัวข้อลำดับที่ ๒ ของ "กลุ่มดังลมหายใจ"
ถอดบทเรียน"ดังลมหายใจ" : (๒) บทเรียนที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจของสายสัมพันธ์ในครัวเรือนและชุมชน
สวัสดีค่ะ พี่ใหญ่นงนาท
บันทึกแบบนี้น่าอ่านดีนะครับ เพลินดี สั้นกระชับ เหมือนพาเดินเที่ยวหาประสบการณ์
ขอแจมด้วยการทำรูป Retouching มาให้เห็นภาพเพิ่มขึ้นอีกครับ
บ้านกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มบ้านที่ตั้งอยู่รวมกันหลายหลังคาเรือน แต่เดิมนั้นมี ๔ ครัวเรือน แต่ในแต่ละครัวเรือนมีคนหลายรุ่นอยู่ด้วยกันนับแต่รุ่นยายทวด ยาย แม่ ลูก เป็นศูนย์กลางของกลุ่มบ้าน โดยมีครัวเรือนของลูกหลานแตกขยายออกไปตั้งบ้านอยู่โดยรอบต่อๆไปอีกเชื่อมต่อกันเป็นหมู่บ้านต่อเนื่องกันหลายหมู่บ้านเลียบไปตามแนวลำคลองธรรมชาติและเดินทะลุถึงกันได้หมด
ภาพเดียวมีค่ากว่าคำร้อยคำอีก
ช่างน่าประทับใจที่มีเรื่องราวประกอบงดงาม
สวัสดีค่ะ อาจารย์วิรัตน์
สวัสดีค่ะ อาจารย์โสภณ
ภาพเพิ่มเติมพี่อาจารย์ยอดเยี่ยมมากมาย...ตอนนี้ฝนตกหนักทางใต้ ต้นไม้วิ่งได้..วิ่งจากเนินเขาลงมาบนถนน..ภาพถ่ายเก่าคงเป็นบันทึกได้ดีนะคะน้องณัช..ส่วนนครปฐมเรา..เพื่อนรักกันโทรมาจากสระบุรีว่า..เฮ้ยๆอ้อยน้ำจากเขื่อนมันวิ่งมากรุงเทพฯ3วัน..แล้วมันจะเข้านครปฐมกี่ช.ม.ถึง...เลยพูดกะเพื่อนแบบติดตลกว่า..เราไม่รู้ เพราะเราจมน้ำไปแล้ว..ฮาๆ
ภาพเก่าที่บ้านเกิด...
สวัสดีค่ะ พี่ครูอ้อยเล็ก
ชานบ้าน จะเหมือนกับขนบการทำบ้านเรือนของชาวบ้านในชุมชนเกษตรกรรมและชุมชนในชนบท โดยก็จะมีลักษณะเป็นพื้นที่ใช้สอยและเป็นองค์ประกอบจัดวางทางสังคมอยู่ในตัวเอง เรื่องเล่าและเรื่องราวเป็นจำนวนมากในชีวิตของคนชนบทจะก่อเกิดขึ้นที่ชานบ้าน เมื่อเด็กก็จะนั่งฟังนิทานและเรียนรู้ดวงดาวกับท้องฟ้า สืบทอดความรู้กันในชานเรือน ใช้ดูแลญาติพี่น้อง ลูกหลาน และชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วย ต้อนรับขับสู้ผู้คนที่ไปมาหาสู่กัน
นอกจากนี้ก็มีลานบ้าน ซึ่งตอนนี้หมดสภาพไปแล้ว การมีลานบ้านเกิดจากวิถีการผลิตที่ต้องใช้แรงงานจากวัวควาย การนวดข้าว อีกทั้งเกิดจากขนาดครอบครัวและแบบแผนการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันของคนหลายรุ่น เมื่อไม่มีเด็กๆ วัวควาย และการเดินไปมาหาสู่กัน ตลอดจนการต้องกองลอมข้าว นวดข้าว เหล่านี้ ลานบ้านและกิจกรรมที่ต้องอยู่กับผืนดินเป็นส่วนใหญ่ก็หายไป พัฒนาการอย่างนี้เป็นการบันทึกสภาวการณ์สังคมและทำให้เราสามารถอ่านวิถีชีวิตของชุมชนต่างๆได้เป็นอย่างดีเช่นกันนะครับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์วิรัตน์