ช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม จะพบเห็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มักจะขึ้นให้เห็นตามบ้านเรือนต่าง ๆ ออกดอกมาให้ชมกัน แต่หลาย ๆ คนยังไม่เคยเห็นดอกของต้นไม้ชนิดนี้
คนสมัยก่อนที่นิยมปลูกต้น "คว่ำตายหงายเป็น" หรือบางคนเรียกว่า "ต้นตายใบเป็น" ไว้บริเวณบ้าน ไม่ได้เน้นในความสวยงามเวลามีดอกขึ้นเต็มที่หรอกครับ แต่ส่วนใหญ่ที่ปลูกไว้จะเน้นในเรื่องการทำเป็นยามากกว่า เพราะมีสรรพคุณทางสมุนไพรหลายอย่าง ที่ใช้มากที่สุดคือ ใบ เอามาวางบนศีรษะรักษาอาการปวดหัวได้ ถ้าวางบนหน้าอกรักษาอาการไอ หรือไม่ก็ เอาใบมาเผาไฟเล็กน้อยแล้วมาตำใช้รักษาบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้รักษาตาปลา รักษาโรคหิด และขี้เรื้อน
"คว่ำตายหงายเป็น" เป็นไม้ล้มลุกอยู่ในวงศ์: CRASSULACEAE ลำต้นตรงแข็งแรงมาก มีความสูงราว 1 ม. เปลือกเกลี้ยงสีจะออกเทาปนน้ำตาลหรือม่วงเข็ม แตกกิ่งก้านเล็กน้อย
ใบ เป็นใบเดี่ยวกึ่งประกอบ ออกเวียนสลับตามต้นและกิ่ง ใบหนาอมน้ำ รูปทรงรี กว้างราว 3-5 ซม.และยาว 5-15 ซม.โคนใบมน ปลายใบมนเช่นกันแต่จะออกแหลมเล็กน้อย ขอบใบเป็นหยักเหมือนฟันเลื่อย
ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ช่อดอกยาว 8-10 ซม.เวลาบานดอกจะห้อยลง โคนดอกสีแดงปลายดอกจะออกเหลืองเขียว เป็นรูปทรงกระบอก
ผล ออกเป็นพวงมีรูปทรงรี ด้านในมีเมล็ดขนาดเล็ก
ไม้ชนิดนี้ขยายพันธุ์ โดยการใช้เมล็ด หรือใบก็ได้
ใบนะเห็นแล้วคุ้น แต่ดอกไม่เคยเห็น แปลกและงามดี
เคยเห็นแต่ใบค่ะ ส่วนดอกเพิ่งเคยเห็นและเพิ่งรู้สรรพคุณทางยาจากบันทึกนี้
ตอนเด็ก ๆ เพื่อน ๆ ชอบชวนกันให้นำใบมาวางทับไว้ในสมุด ทิ้งไว้หลาย ๆ วันมาเปิดดูของใครมีรากงอกจากขอบใบมากที่สุด เชื่อว่าเรียนเก่งที่สุด ค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
(^__^)
จำได้ว่า สมัยเด็ก ๆ เดินไปโรงเรียนกับน้อง ๆ ยามหน้าหนาว สองข้างทางเป็นป่าโปร่ง ๆ มีพุ่มไม้ตลอดทาง จะมีดอกต้น "เผลาะแผละ" หรือ "คว่ำตายหงายเป็น" นี่แหละ ให้แวะเก็บเล่น และดูดน้ำหวานไปตลอดทาง แต่ตอนนี้ไม่ได้เห็นมานับสิบปีแล้ว ขอบคุณที่นำภาพมาให้ดูย้อนอดีต
สวัสดครับครูหยุย
คุณคนไม่มีราก