ตั้งใจว่าตลอดเดือนนี้จะพูดคุยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ "แม่" ให้มากที่สุด เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ "วันแม่" ที่จะมาถึง และเป็นการรำลึกถึง "พระคุณแม่" ร่วมกับผู้คนทั้งแผ่นดินไทย
จากการที่ตัวเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือ และเป็นขาประจำแม็กกาซีนฉบับหนึ่งที่วางจำหน่ายประจำอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง เมื่อได้อ่านคอลัมน์หนึ่งในแม็กกาซีนฉบับนี้ทำให้ได้รับความรู้ที่ตัวเองไม่ทราบมาก่อน (แต่คนอื่นอาจจะรู้แล้ว) จึงอยากจะนำมาบอกเล่าพูดคุยกัน เช่น
Anna M. Jarvis สตรีชาวอเมริกันเป็นผู้ริเริ่มให้จัดงานวันแม่เป็นคนแรก โดยเธอผลักดันให้สหรัฐอเมริกา และสากลประเทศส่วนใหญ่ (40 กว่าประเทศ) ถือว่าวันอาทิตย์สัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคม เป็นวันแม่ และยังกำหนดให้ "ดอกคาเนชั่น" เป็นดอกไม้ประจำวันแม่ประดับไว้ที่ประตูหน้าบ้าน หรือกลัดไว้บนอกเสื้อ ซึ่งถ้าแม่ของใครยังมีชีวิตอยู่จะใช้ "ดอกคาเนชั่นสีชมพูหรือสีแดง" หากใครที่แม่เสียชีวิตไปแล้วจะใช้ "ดอกคาเนชั่นสีขาว"
ส่วนประเทศไทยเราเคยมีการจัดงานวันแม่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2486 ที่สวนอัมพร กรุงเทพฯ จ.ลำปาง จ.นครราชสีมา และ จ.เพชรบุรี พร้อมกันทั้งสี่แห่ง จัดได้ครั้งเดียวก็หยุดไปเพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาจัดอีกครั้งปี 2493 โดยรัฐบาลกำหนดให้วันที่ 15 เมษายนเป็นวันแม่แห่งชาติ ซึ่งการจัดงานก็จัด ๆ หยุด ๆ อยู่หลายครั้ง
จนในที่สุด เมื่อ พ.ศ.2519 รัฐบาลจึงประกาศให้วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เพื่อเป็นการยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นแม่ และเทิดทูนพระเกียรติคุณในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จย่า โดยกำหนดให้ "ดอกมะลิ" เป็นดอกไม้ประจำวันแม่ของประเทศไทย นับแต่นั้นมา
เมื่อไรที่ตัวเองได้เห็น "ดอกมะลิ" มักจะคิดถึง "แม่" อยู่เสมอ เพราะแม่เป็นคนช่างเก็บ.... "วันแม่" ทุก ๆปี ลูก ๆ จะมีของขวัญพร้อม "ดอกมะลิ" ให้แม่เสมอ แม่ก็จะน้ำไหลออกตาด้วยความปลื้มและเก็บ "ดอกมะลิ" เหล่านั้นไว้ไม่เคยทิ้ง เคยนึกว่าถ้าลูกทุกคนให้ "ดอกมะลิ" แม่ทุกวัน แม่จะมีที่เก็บไหมเนี่ย....
อารมณ์นี้ อยากบอกว่า "รักแม่ม๊าก...มาก"...........
เป็นความรู้ใหม่ และเต็มไปด้วยความรู้สึกจริงๆ
คิดถึงค่ะ...ครูอ้อย