Jane Magruder Watkins
Watkins & Kelly
David Cooperrider
Case Western Reserve University
“การเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างที่จะไม่ส่งผลต่อสิ่งใดในอนาคต สถานภาพและสิ่งต่าง ๆ จะไม่จีรังยั่งยืนกับหนทางที่ดีที่จะเกิดขึ้นภายภาคหน้า พวกเรากำลังเริ่มต้นสู่ยุคของความเหลวไหลไร้สาระ จะเกิดขึ้นอีกนาน จะเกิดขึ้นในพื้นที่อีกมากมายขนาดไหน สิ่งเหล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะเสกสรรค์ปั้นแต่งอนาคตของเราโดยเราและเพื่อพวกเรา เวลาที่เราทำนายหรือพยากรณ์สิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นแต่เพียงอย่างเดียว คือ ไม่ยืนยันที่จะเกาะติดความจริง เพราะฉะนั้นสำหรับความคิดที่กำลังคมชัดขึ้นในชีวิตที่อิสระของสาธารณะชน สำหรับความคิดที่กังคิดวิเคราะห์ ไตร่ตรองในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้รวมถึงกำลังทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมและขาดสติ เราจะเป็นอย่างไร”
จากการทบทวนเพื่อศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับรูปแบบขององค์กรสำหรับการเปลี่ยนแปลงสังคมโลกนั้น ผู้เขียนได้ทำการอธิบายและอ้างถึงสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและอธิบายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่สังคมโลกเป็นอยู่ในปัจจุบันในหลากหลายพื้นที่ โดยการทบทวนรูปแบบที่เกิดขึ้นขององค์กรตามยุคสมัยและนักวิชาการต่าง ๆ เพื่ออธิบายให้เห็นถึงวาทกรรมที่เสกสรรค์ปั้นแต่งสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่ออธิบายปัจจุบัน รวมทั้งทำนายและพยากรณ์อนาคต ความคิดที่ไม่น่าเป็นไปได้ รวมทั้งเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นที่จะเกิดขึ้นกับสังคมโลก โดยได้พูดถึงผู้นำขององค์กรต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญหน้ากับ “การจัดการเวลาแห่งความโกลาหลและวุ่นวาย” ดังนั้นผู้บริหารหรือผู้นำจะต้องเตรียมฝึกหัดและฝึกฝนตนเองให้พร้อม ตามวิธีการ ระบบกลไก เทคนิคลำดับขั้น รากฐานที่อยู่บนพื้นฐานของทฤษฎี ของ F.W. Taylor* ที่เรียกว่า “การจัดการทางวิทยาศาสตร์”
แนวความคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ของเทเลอร์ ทำให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ในยุคสมัยนี้เกิดขึ้นจากการจัดแบบวิทยาศาสตร์ นับและวัดปริมาณรวมถึงมีสมมติฐานหรือข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า องค์กรต้องมีเหตุมีผลเชิงวิทยาศาสตร์ในการปฏิบัติงาน รวมถึงการแก้ไขปัญหาและการสรุปคำตอบต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนออกมาในเชิงปริมาณ
ในส่วนแรก ของบทความนี้ เป็นการพูดโดยย้อนถึงร่องรอยประเด็นทางประวัติศาสตร์และเครื่องมือของการเปลี่ยนแปลงสังคมโลก องค์กร กระบวนการพัฒนา วิวัฒน์การจากองค์ช่วยเหลือขององค์กรธุรกิจด้านการบริการ และนำเสนอในเรื่องของความมีอิทธิพลของประเทศผู้บริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ ในช่วงเวลาแห่งความหายนะ ซึ่งปรากฎให้เห็นถึงรูปแบบของความเป็นหุ้นส่วนกันของโลก ซึ่งยังไม่แน่ว่ารูปแบบขององค์กรที่เกิดขึ้นทั้งหมดในสังคมหรือชุมชนโลกนี้จะเป็นไปได้ในอนาคต
ในส่วนที่สอง ผู้เขียนจะชี้แนะแนวทางในส่วนของแนวคิด GSCO โดย “เครือข่าย” เครื่องมือที่ใช้ในการพิจารณาไตร่ตรอง สำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลัก ๆ โดยอธิบายส่วนประกอบที่สมบูรณ์ขององค์กรภายใต้ความต้องการและความร่วมมือในทุก ๆ ระดับ
ในส่วนสุดท้าย สุดท้ายผู้เขียนจะนำเสนอรูปแบบการศึกษาองค์กร เรียกว่าการวินิจฉัยองค์กรในวิธีการจัดการตามประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างถูกต้องตามระเบียบปฏิบัติ ซึ่งสิ่งนั้นจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการสืบเสาะรูปแบบที่จะสร้างความเข้าใจสำหรับความเป็นองค์กร รวมทั้งหลักการพื้นฐานสำคัญสำหรับปลายทางของแนวคิดในการพัฒนาองค์กรนานาชาติ
วิเคราะห์ส่วนแรก
ผู้เขียนได้พูดถึง ความหลากหลายของสิ่งแวดล้อมและมิติทางวัฒนธรรมนั้น ทำให้เกิดการพัฒนาองค์กรนานาชาติบนประเด็นเรื่องของความยากจน การถูกกดขี่ การเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม สิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม และการคุ้มครองเด็ก ซึ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ได้เกิดขึ้นและมีอยู่จริงในสังคมโลก จนกระทั่งการเดินทางเข้ามาของนักแสวงบุญที่อยู่ภายใต้ชื่อของคำว่า “นักพัฒนา” (เพื่อที่จะให้เขาพัฒนาหรือเสมอภาคกัน) เพื่อจัดการและสร้างวัฒนธรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นบนดินแดนที่ถูกมองว่าเสื่อมโทรมและล้าหลังเหล่านั้น ซึ่งนำเข้ามาในรูปของ ศาสนา การศึกษาและการแพทย์เมื่อครั้งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคVSผู้รับบริจาค ฯลฯ
ซึ่งนักพัฒนาที่อยู่ภายใต้ชื่อขององค์กรและสถาบันต่าง ๆ ได้พยายามใช้เทคนิคและกระบวนการในการจัดระเบียบสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นความรู้และความจริง โดยเฉพาะในเรื่องของ “การศึกษา”
นักพัฒนาจากประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศทางตะวันตก ได้พยายามสร้างรูปแบบการศึกษาต่าง ๆ เพื่อเข้ามาครอบงำและจัดระเบียบประเทศโลกที่สามหรือประเทศที่ด้อยพัฒนาเหล่านั้น ภายใต้ชื่อของแขนงวิชาที่เรียกกันว่า “อาณาบริเวณศึกษา” อาทิเช่น เอเชียศึกษา หรือว่าไทยศึกษา โดยยึดสภาพการณ์ต่าง ๆ ของความด้อยพัฒนาของประเทศโลกที่โลกที่สามนั้นเป็นศูนย์กลาง ซึ่งทำให้เกิดการผูกขาดในการสร้างกฎเกณฑ์มาตรฐานทางด้าน “ความรู้” และ “ความจริง” ของประเทศด้อยพัฒนาต่าง ๆ เหล่านั้น รวมทั้งพูดอวดอ้างสรรพคุณของตนเองอีกว่า เขามีวิธีการในการแก้ไขปัญหาด้อยพัฒนาเหล่านั้น ซึ่งเป็นการจัดการช่องว่างต่าง ๆ ทำให้ไม่มีที่เหลือว่างให้กับภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมพื้นบ้าน รวมทั้งกีดกันปิด แทนที่ด้วยระบบความรู้ชุดใหม่ที่เรียกว่า “การพัฒนา” ซึ่งความรู้ชุดนี้จุดสำคัญอยู่ที่การพยายามปราบราบและกำจัดความด้อยพัฒนาให้หมดสิ้นไปในประเทศโลกที่สาม
จากการพยายามปราบปรามสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้นี่เองทำให้เกิดสถาบันหรือองค์กรต่าง ๆ เกิดขึ้นเพื่อจัดการสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในสิ่งที่เขากำลังจะจัดการ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารโลก องค์กรพัฒนาระหว่างประเทศ ศูนย์การศึกษาและพัฒนาระหว่างประเทศ ฯลฯ ซึ่งได้ส่งทีมสำรวจเพื่อทำการศึกษาและพัฒนา รวมทั้งวางแผนการพัฒนาให้กับประเทศต่าง ๆ มิหนำซ้ำ ยังทำการเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนในประเทศของตนเอง (ประเทศที่พัฒนาแล้ว) โดยให้ทุนหรือออกนโยบายให้รัฐบาลของประเทศด้อยพัฒนาต่าง ๆ เหล่านั้นให้ทุนการศึกษาเพื่อนำปัญญาชนจากประเทศด้อยพัฒนาเหล่านั้นมาเรียนกันอย่างมากมาย
ซึ่งการจัดตั้งหลักสูตรหรือจัดชั้นความด้อยพัฒนา กำลังพัฒนา หรือพัฒนาแล้วนั้น ได้นำเอากฎเกณฑ์ของประเทศทางตะวันตกมาเป็นมาตรวัด รวมทั้งพยายามสร้างมาตรวัดในเรื่องของเศรษฐกิจและที่สำคัญก็คือ สร้างมาตรวัดการพัฒนาในเรื่องของการเมืองการปกครอง
ผลลัพธ์ของระบบการพัฒนาแบบนี้ ทำให้มนุษย์ในประเทศโลกที่สามเหล่านั้น เป็นมนุษย์ที่ไม่มีจิตวิญญาณ ถูกมองว่าเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่มีประสิทธิภาพและเป็นมนุษย์ที่ขัดขวางการพัฒนา เป็นบุคคลที่โง่เขลา ขี้เกียจ ขาดทักษะและขาดความรับผิดชอบ จะต้องได้รับการควบคุม จัดระเบียบและพัฒนาอย่างเร่งด่วน โดยออกนโยบายการวางแผนชีวิตและครอบครัวลงมาให้อีก ซึ่งทำการโดยผ่านสถาบัน อาทิ การจัดตั้งสถาบันประชากรศาสตร์ขึ้นในประเทศต่าง ๆ
การจัดการที่เป็นระบบต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ประเทศโลกที่สามโดยเฉพาะคนในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา มีแนวความคิดที่ปลูกฝังสืบต่อกันมาในเรื่องของความสยบนบนอบความต้อยต่ำของตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นและบทพิสูจน์ความสำเร็จของการสถาปนาความสัมพันธ์เชิงอำนาจของสังคมโลกในปัจจุบัน
นอกเหนือจากนั้นยังทำการปิดกั้นกระบวนการสร้างความรู้และความเจริยญโดยไม่ยอมรับความรู้ความคิดเห็นของคนจากประเทศด้อยพัฒนา พิจาณาในเรื่องของศักดิ์ศรีและความไม่เท่าเทียมกันในการเป็นมนุษย์ โดยมองคนในประเทศโลกที่สามว่าเป็นคนที่มีแนวความคิดล้าหลัง มีการคิดและตัดสินใจอย่างไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ทำให้มีความเป็นมนุษย์ที่ด้อยกว่าประเทศทางตะวันตก ซึ่งจะต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นโดยเฉพาะความคิดความเชื่อต้องอยู่บนพื้นฐานที่สามารถวัดได้ พิสูจน์ได้ในเชิงวิทยาศาสตร์เท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นการตัดขาดชาวบ้านจากกระบวนการสร้างองค์ความรู้โดยปริยาย
จากแนวความคิดเหล่านั้นเองทำให้ประเทศที่ด้อยพัฒนาที่มีความอยากเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว พยายามชูอุดมการณ์ต่าง ๆ ตามมาตรวัดต่าง ๆ ที่เหล่าประเทศทางตะวันตกกำหนดมาให้ ไม่ว่าจะเป็น ชูอุดมการณ์ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสาธารณูปโภคให้ทันสมัยอย่างตะวัน รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน ผูกขาดการทำงานด้านการพัฒนาให้อยู่ในอำนาจของรัฐมากกว่าประชาชนและองค์กรเอกชน รวมถึงสร้างมาตรฐานวัฒนธรรมต่าง ๆ สู่การพัฒนาโดยมุ่งเน้น GDP เป็นหลัก
โดยรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ เหล่านั้นจะถูกรัฐบาลประเทศตะวันตกเข้ามาควบคุมจัดระเบียบในทุก ๆ ด้าน โดยมีสูตรสำเร็จที่จะสามารถรักษาความยากจนและความด้อยพัฒนานั้นโดยการ "เยียวยาแบบเบ็ดเสร็จ" นำความรู้ทั้งชุดเข้ามาระบบความคิดของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งทำให้เกิดความซาบซึ้งของระหว่างผู้ให้และผู้ซับ รวมทั้งยอมรับโดยดุษฎีถึงความด้อยพัฒนาของตนเอง
ทิ้งท้ายส่วนแรก
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้กำลังเกิดขึ้นในสังคมโลก องค์กรต่าง ๆ ได้สร้างเหตุการณ์และกฎเกณฑ์ขึ้นมาใช้กับสรรพสิ่งโดยเฉพาะประเทศโลกที่สาม อำนาจความรุนแรงที่แสดงออกมาในรูปของการปฏิบัติจริงในสังคม ไม่ได้ออกมาในรูปของปืนและสงครามอีกต่อไป แต่ออกมาในรูปของการควบคุม จัดสรร จัดระบบและแจกจ่ายภายใต้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้มองเห็นหรือมองไม่เห็นบางสิ่งและบางอย่าง ห้ามคิด ห้ามพูดในสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ตามแต่เจ้าของหรือผู้ที่เหนือกว่าในสังคมโลกเป็นผู้กำหนด
ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นมิได้ถูกมองในสิ่งที่ไม่ดีอีกต่อไป แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นถูกขัดเกลาออกมาให้อยู่ในรูปของสิ่งสวยงามที่เรียกว่า “ความรู้” ความรู้แบบเบ็ดเสร็จที่ถูกสร้างและสังคมจนกลายเป็นสิ่งที่ประเทศโลกที่สามรวมถึงประเทศที่กำลังพัฒนายอมรับโดยดุษฎีว่า “คุณมีความรู้และฉันไม่มีความรู้” "คุณพัฒนาแต่ฉันด้อยพัฒนา" ความสำเร็จของการพัฒนาเหล่านี้นั้นสิ่งสำคัญมิใช่เกิดขึ้นในรูปของอำนาจเชิงโครงสร้างหรืออำนาจในการใช้กำลัง แต่เป็นการสร้างอำนาจทางความรู้ผ่านกฎเกณฑ์และจารีตที่ซึมลึกเข้าสู่จิตใจของสิ่งที่เรียกว่า “มนุษย์”
*Taylorium ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ของ Federick W. Taylor (ได้รับการยกย่อง ว่าเป็น “บิดาของการจัดการแบบวิทยาศาสตร์”)
ซึ่งทฤษฎีดั้งเดิม(Classical Approaches)ทางการบริหารแบ่งออกเป็น 4 ประการหลัก ๆ ได้แก่
การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
หลักการบริหาร (Administrative Principles)
การจัดองค์การแบบทางการ (Bureaucratic Organization)
การบริหารแนวพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Approach to Management
การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) Taylor ต้องการค้นพบระบบการจัดการ “ที่เป็นเลิศ” เห็นว่าการทำงานในอดีตมักเป็นไปตามแนวทางที่ทำมาแต่เดิม และความเคยชิน ผู้ปฏิบัติงานไม่มีแรงจูงใจให้ทำงานอย่างเต็มที่ วัตถุประสงค์หลักของการจัดการ คือ การสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่นายจ้าง ควบคู่ไปกับการสร้างประโยชน์สูงสุดของลูกจ้าง การจัดการที่ดีสามารถค้นพบและศึกษาได้โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่การค้นหากฏเกณฑ์ ระเบียบ และวิธีการ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานเกิดจากการทำงานที่มีแบบแผน และเป็นไปตามแบบแผนที่กำหนดไว้ แบบแผนของงานสามารถค้นพบได้โดยวิเคราะห์หน้าที่ (Task) ระยะเวลา (Time) และการเคลื่อนไหวของการทำงาน (Work Motion) ออกเป็นส่วน หน้าที่ (Task) และการเคลื่อนไหวของการทำงาน (Work Motion) ได้รับการพัฒนาแต่ละส่วนให้ดีที่สุด นำไปสู่การค้นพบและสร้าง “วิธีที่เป็นเลิศ” ในการจัดการ ผู้ปฏิบัติงานจำเป็นต้องได้รับการคัดเลือกตามความเหมาะสม และได้รับการอบรมในหลักการเหล่านี้ หลักการแบบวิทยาศาสตร์ของ Federick W. Taylor ต้องมีการพัฒนาวิทยาการ (Science) ของงาน ประกอบด้วย กฏเกณฑ์ของการเคลื่อนไหว (Rules of Motion)v การปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน (Standardized Work Implementation) สภาวะการทำงานที่เหมาะสม (Proper Work Conditions) การคัดเลือกพนักงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับงาน มีการฝึกอบรมพนักงานอย่างดีก่อนการปฏิบัติงาน เน้นให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของวิทยาการของงานและผลสำเร็จของงาน สร้างระบบการสนับสนุนการทำงานของพนักงานเพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานทำงานได้ดีที่สุดหลักการ Scientific Management ในปัจจุบัน ระบบการตอบแทนตามผลงานที่ทำ การออกแบบงาน การคัดเลือกบุคลากรทีเหมาะสมกับงาน การฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการทำงาน ในส่วนสุดท้ายขออนุญาตนำเสนอหลังจากที่ได้รับฟังการ Review AI ของทางสคส.ในวันที่ 28 มิถุนายน 2549 ที่ผ่านมาครับ ความหมายของ "แก๊งค์ Gang" 1. กลุ่มคนที่มีความชอบเหมือน ๆ กัน 2. กลุ่มคนที่มีลักษณะเหมือน ๆ กัน 3. กลุ่มคนชอบแสดงออกในสิ่งต่าง ๆ เหมือน ๆ กัน 4. กลุ่มคนที่ถูกอีกสิ่งหนึ่งหรืออีกกลุ่มคนหนึ่งเกลียดหรือชอบเหมือน ๆ กัน 5. กลุ่มคนที่มีจุดยืนเหมือน ๆ กัน 6. กลุ่มคนที่มีการเรียกร้องความสนใจเหมือน ๆ กัน 7. กลุ่มคนที่มีนิสัยเหมือน ๆ กัน 8. กลุ่มคนที่ขาดโอกาสจากสังคมในการที่ยอมรับ ไม่เชื่อถือว่าเขาทำได้ ทำดี เหมือน ๆ กัน 9. กลุ่มคนที่ถูกสังคมจัดกลุ่มไว้อีกชนชั้นหนึ่งของสังคม จากการที่ฟังวันนั้นก็พอจะสรุปได้ประมาณนี้ครับ ขออนุญาตนำเสนอเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ และส่วนสุดท้ายขออนุญาตเพิ่มเติมทฤษฎีของมาสโลว์ที่ได้กล่าวถึงในวันนั้นเช่นเดียวกันครับ
Maslow’s Theory of Human needs
Maslow แบ่งความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ขั้นตามลำดับ
v ขั้นที่ 1: ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs)
8 เป็นความต้องการขั้นต่ำสุด เพื่อการอยู่รอดและธำรงรักษาไว้ซึ่ง ความต้องการทางชีววิทยา
8 ปัจจัย 4
v ขั้นที่ 2: ความต้องการในความ ปลอดภัย (Safety Needs)
8 เป็นความต้องการด้านความมั่นคงในการดำรงชีวิตประจำวัน ตลอดจนความปลอดภัยในชีวิตและ ทรัพย์สิน
v ขั้น 3: ความต้องการทางสังคม (Social Needs)
8 เป็นความต้องการในความรัก ความผูกพัน การเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และความสัมพันธ์ต่าง ๆ กับคนในสังคม
v ขั้นที่ 4: ความต้องการในชื่อเสียง (Esteem Needs)
8 ความต้องการในชื่อเสียง การยอมรับจากบุคคลอื่น
8 ความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเอง
v ขั้นที่ 5: การประจักษ์ตน (Self-actualization Needs)
8 เป็นความต้องการขั้นสุดท้ายของมนุษย์
เป็นความรูสึกที่สามารถใช้ความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่ มีความสำเร็จในชีวิต
Abraham Maslow’s Theory of Human needs หลักการของ Maslowv มนุษย์มีความต้องการเรียงลำดับจากขั้นที่ 1 ไปสู่ขั้นที่ 5v มนุษย์มีความต้องการ 2 ลักษณะ8 เพื่อเพิ่มพูนสิ่งที่ขาด (Deficit Principle) มนุษย์แสวงหาความต้องการเพื่อให้สมบูรณ์ตามที่ตนเองต้องการ 8 เพื่อแสวงหาสิ่งที่สูงขึ้น (Progressive Principle) ความสมบูรณ์ของความต้องการในขั้นที่ต่ำกว่าสร้างให้เกิดความต้องการในขั้นต่อไป การนำทฤษฎีของ Maslow ในการจัดการv ช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจถึงความต้องการของพนักงานในระดับต่าง ๆ นำไปสู่การให้รางวัลและความช่วยเหลือที่ ถูกต้องเข้าใจถึงปัจจัยด้านจิตวิทยาที่มีต่อการทำงานของคน นำไปสู่การออกแบบงานที่สอดคล้องกับความต้องการ (เช่น งานการกุศลจะต่างจากงานประจำ)
แว็ปมาแบบนิว เห็นเรื่องน่าสนใจแต่ยาวจังค่ะ เดี๋ยวจะกลับมาอ่านตอนค่ำ แว็ปไปทำงานต่อนะคะ
ขอบคุณมาก ๆ ครับทั้งน้องนิวและคุณ IS
ขออภัยที่ยาวหน่อยครับ แต่ลองอ่านดูนะครับ แล้วแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันครับ
ถ้าอะไรที่คุณรู้สึกว่ามันยาวยืดมากๆมันจะน่าเบื่อนะครับสรุปประเด็นแล้วลงดีใหมครับ
ขอบคุณมาก ๆ ครับคุณนรง
ถ้าอย่างไรจะสรุปประเด็นในบันทึกถัดไปนะครับ
ดิฉันมาเป็นอินเทอร์น คนที่ ๒ ของสตส. และได้รับมอบหมายงานให้อ่านหนังสือเล่มเดียวกับคุณ แต่เป็นบทที่ ๑๘ ซึ่งเป็นบทสุดท้าย หลังจากที่นำเสนอแล้ว อาจารย์วิจารณ์แนะนำให้เขียนบันทึกเรื่องที่เสนอ ก็เขียนอยู่ตั้ง ๓ ตอน เพิ่งเสร็จเรียบร้อยเมื่อวานนี้เองค่ะ
อยากชวนให้คุณลองอ่านดู จะได้มาลปรร.อะไรกันต่อไปค่ะ
ตอนนี้ขอพักการเขียนใน "สร้างสังคมโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน"ไปชั่วคราวก่อน เพราะอยากบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้ที่สคส. เป็นหลักค่ะ