เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมและคณะอาจารย์ในหลักสูตรปริญญาโท สาขาการบริหารจัดการการศึกษา(หลักสูตรนานาชาติ) ภาควิชาศึกษาศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พานักศึกษาของเราไปศึกษาดูงานการจัดการศึกษาของประเทศสิงค์โปร์
นักศึกษาของเรามาจากศรีลังกา จีน ไทย ภายในกลุ่มที่มาจากประเทศเดียวกันก็มีความแตกต่างกันในความเป็นพื้นถิ่น พูดและคิดคนละภาษา แวดล้อมด้วยสภาวการณ์สังคมที่หลากหลาย นับถือศาสนาต่างกัน ดังนั้น จึงมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ สังคม และวัฒนธรรม ส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารของสถานศึกษาและหน่วยงานทางการศึกษา บางส่วนเป็นครูของสถานศึกษาเอกชน อัตลักษณ์ทางสังคมวัฒนธรรมและความเป็นตัวตนทางวิชาชีพ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งต่อกระบวนการศึกษาเรียนรู้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในแง่ประสบการณ์ชีวิตต่อโลกกว้างและประสบการณ์ทางการศึกษาแล้ว ผมให้นึกชื่นชมยินดีไปกับกลุ่มนักศึกษาที่เขามีโอกาสผ่านการได้มาศึกษาเรียนรู้ที่ประเทศไทยในห้วงชีวิตหนึ่งของเขาในครั้งนี้มากเป็นอย่างยิ่ง ว่านอกจากทั้งได้มาศึกษาในขั้นสูงจากมหาวิทยาลัยชั้นยอดของไทยแล้ว ก็ได้ประสบการณ์ต่อโลกกว้างทั้งจากประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย และประเทศที่พัฒนาก้าวหน้ามากแล้วของโลกอย่างสิงคโปร์ ซึ่งผู้คนเป็นจำนวนมากกว่าจะได้ประสบการณ์ในโพ้นทะเลมากมายอย่างนี้ก็คงต้องใช้เวลาและสิ่งต่างๆในชีวิตมากพอสมควร
แต่ความตระหนักต่อโอกาสการเรียนรู้และสร้างประสบการณ์ให้ตนเองอย่างกว้างขวางผ่านการศึกษาดูงานในครั้งนี้ จะไปคาดหวังให้นักศึกษาทำสิ่งต่างๆให้หนักเพื่อเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆให้ได้มากที่สุดอย่างที่น่าจะเป็นนั้น ก็คงจะเหลวไปทั้งสองอย่าง ทั้งต้องมัวพะวักพะวน ถูกจำกัดกรอบให้เสียความประทับใจในโอกาสที่หาได้ไม่บ่อยนักอย่างนี้ กับการที่จะกลายเป็นทำให้งานเรียนรู้ แปรเป็นสิ่งที่น่าเบื่อและอยากให้ผ่านไปไวๆ
กระนั้นก็ตาม เมื่อได้ไปแล้ว ก็ต้องทำให้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของชีวิต ผมกำหนดในใจว่าจะต้องมุ่งสื่อสะท้อนให้เขาได้เห็นโอกาสอันมีคุณค่ามากอย่างนี้ เพื่อให้คนของเราอันได้แก่กลุ่มนักศึกษา ได้ประสบการณ์เรียนรู้และนำกลับติดตัวไปอย่างมีความหมาย ให้ดีที่สุด
ผมจึงให้ความอิสระและร่วมสร้างความผ่อนคลายที่สุดแก่นักศึกษา แต่พยายามเข้าถึงและเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆเพื่อนำกลับไปเวิร์คช็อปและนำกลับมาเปิดประเด็นการศึกษาเรียนรู้กันให้เข้มข้นเท่าที่จะมีโอกาส ซึ่งผมเองก็พลอยได้เรียนรู้ไปด้วยว่า ด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้ ผมจะสร้างโอกาสให้นักศึกษาได้สิ่งต่างๆไปด้วยให้มากที่สุดได้อย่างไร แน่นอน...ผมได้หลายอย่างจากการสร้างความตั้งใจเล่นๆอย่างนี้ไปด้วย มากเหมือนกัน
ความระลึกรู้และการเฝ้าดูแล พร้อมกับพยายามทำให้ตนเองเป็นแหล่งประสบการณ์ให้กับนักศึกษาของเราที่ต่างก็จากบ้านเมืองตนเองมาไกลดังกล่าว ให้ความรู้สึกที่ดีมากแก่ตัวผมเองอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ผมรู้สึกว่านักศึกษาคนหนุ่มคนสาวของเราเป็นคนในรุ่นที่มาทีหลัง ผมจึงควรให้เขาได้งอกงามอยู่กับความอิสระและความเป็นตัวของตัวเอง และเป็นหน้าที่ของผมกับคณาจารย์ที่จะต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเพิ่มพูนให้กับพวกเขา พวกเขาเป็นนักศึกษาและเรามีหน้าที่ที่จะต้องดูแล ทำให้เขามีความสุข ได้ความเชื่อมั่นและความแข็งแกร่งต่อการสร้างประสบการณ์ให้แก่ตนเองในสภาพแวดล้อมที่เราดูแล เป็นผู้ชี้นำ และเป็นพี่เลี้ยงให้
การได้ประสบการณ์ ได้ความคิด และเกิดบทเรียนที่ดีๆ บางครั้งจึงได้จากวิธีดำเนินการดังกล่าวนี้ไปด้วยอย่างไม่ได้คาดหวังไว้ก่อน ในขณะที่เฝ้ามองดูกระบวนการสังคมแห่งเรียนรู้ที่เกิดไปเองอย่างเป็นธรรมชาติ ก็ได้เรียนรู้เจริญภาวนาสร้างสมความเมตตาและรู้สึกอ่อนโยนในใจ ช่างเป็นวิถีการเรียนรู้ที่ประหลาด เนื่องจากมุ่งสู่การให้ที่พุ่งไปยังผู้อื่นและเขาก็ได้รับกระบวนการเรียนรู้ สร้างสรรค์สิ่งดีๆแก่ตนเอง แต่ขณะเดียกัน ก็กลับเป็นพลังกล่อมเกลา ให้อารมณ์แห่งการเจริญสติภาวนา สังเกตและเพิ่มพูนต่ออาการภายในตนเองบางอย่างได้เกิดขึ้นและได้มีความสุขไปด้วย
ผมได้เห็นโลกแห่งการเรียนรู้บนกิจกรรมชีวิตง่ายๆและเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง เป็นการเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกันและสร้างความงอกงามไปด้วยกันของผู้คนที่มาจากต่างสังคมวัฒนธรรม...กลุ่มนักศึกษาของเราเป็นครูด้วยการแสดงให้ดู
ผมถ่ายรูป และเดินเก็บเกี่ยวเรื่องราว เก็บเป็นข้อมูลไว้เพื่อบอกเล่าและถ่ายทอดโลกรอบข้างผ่านมุมกล้อง เล่นกับศิลปะการถ่ายภาพให้เพลิดเพลิน พร้อมกับทำสื่อการเรียนรู้ เก็บข้อมูลสะสมเพื่อการศึกษา
เช้าวันหนึ่ง หลังกินข้าวเช้าและรอขึ้นรถเพื่อไปศึกษาดูงาน ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง ผมก็เอาโน๊ตบุ๊คซึ่งได้โหลดภาพจากกล้องดิจิตัลที่ผมบันทึกไว้แต่ละวันมานั่งเปิดดูและจัดการไฟล์ให้เป็นหมวดหมู่สำหรับเก็บไว้ใช้ในโอกาสต่างๆ ระหว่างที่นั่งทำ นักศึกษาบางคนก็เริ่มเตร่เข้ามานั่งเลียบๆเคียงๆ เมื่อดูไปแล้วเกิดชอบใจภาพไหนก็เริ่มเอ่ยปากพูดคุย คุยกับผมยังได้อรรถรสไม่พอ ก็ชักส่งเสียง ถ่ายทอดสู่กันฟังแก่คนโน้น คนนี้
ก็เหมือนกับนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในท่ามกลางเพื่อนฝูง ตราบใดที่เรานั่งอ่านเงียบๆก็จะยังคงสามารถอยู่ในโลกส่วนตัวได้ แต่ถ้าหากเผลอออกปากบอกเล่าอย่างขาดๆหายๆหรือวิพากษ์วิจารณ์ไปด้วย ซึ่งทำให้เกิดภาวะข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ ในทางจิตวิทยาการศึกษาแนวเกสตัลต์หรือการเรียนรู้ความเป็นส่วนรวมนั้น ก็มีแนวอธิบายได้ว่า การคุยและวิจารณ์สิ่งที่ตนเองดูให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆได้ยินนั้น ทำให้สามารถเข้าใจได้เพียงบางส่วน และเมื่อเกิดสิ่งใดที่ขาดหายไปนั้น แทนที่จะทำให้คนเพียงพอกับการเรียนรู้ในส่วนที่มีอยู่และเลิกสนใจส่วนที่ขาดหาย ก็จะกลายเป็นเกิดปรากฏการณ์อีกแบบ
กล่าวคือ คนเราจะมุ่งแสวงหาความสมบูรณ์ให้ครบถ้วนโดยพยายามต่อเติมส่วนที่ขาดหาย.....อยากรู้ให้ครบ พลันก็ต้องวางมือและผละจากสิ่งที่กำลังต่างก็ทำกันอยู่ชั่วคราวเข้าไปแย่งและขอแบ่งกันดูให้หายสงสัย ซึ่งทำให้ผมได้เห็นอีกมิติหนึ่งในบทบาทของศิลปะสื่อภาพถ่ายว่าไม่เพียงสร้าง Talk of the town และเป็นเงื่อนไข Agenda setting ได้เท่านั้น แต่กำลังขับเคลื่อนและจัดวางสังคมได้อีกด้วย
ผมตื่นเต้นกับพัฒนาการของกลุ่มที่เกิดการรวมตัวกันจากการดูภาพถ่ายและก่อเกิดปฏิสัมพันธ์เชิงสังคม การสนทนา และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างสนุกสนาน จึงขอเดินออกไปถ่ายรูปบันทึกเหตุการณ์ชั่วขณะหนึ่งนี้ไว้ได้หลายแง่มุม
ผลก็คือเกิดการตีวงเข้ามาดูด้วยกัน นำเสนอส่วนที่ตนเองเห็นและรู้แก่ผู้คนรอบข้าง ขณะเดียวกันก็มุ่งค้นหาส่วนที่ตนเองขาดอยู่จากผู้อื่น การได้ประสบการณ์และการเรียนรู้ที่เพิ่มพูนขึ้น จึงได้ผ่านการปฏิสัมพันธ์และสร้างความเป็นส่วนรวมให้เกิดขึ้นด้วยกัน ก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ทางสังคม...ต่างเรียนรู้และร่วมกันสร้างประสบการณ์ทางสังคม ที่สามารถข้ามกรอบ ข้ามพรมแดนความแตกต่างกัน ได้หลายอย่าง
เมื่อหลายคนมาดูด้วยกัน แหล่งประสบการณ์เดียวกันก็เกิดปฏิสัมพันธ์กับความแตกต่างหลากหลายที่มากับกลุ่มนักศึกษานานาชาติ ก่อให้เกิดกระบวนการทางสังคมซ้อนขึ้นมาบนกิจกรรมการดูภาพถ่าย เกิดการปฏิสัมพันธ์กันอย่างคึกคัก หลากหลาย สนุกสนาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์และประกอบสร้างสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้น ทั้งการสะท้อนทรรศนะต่างวิถีคิด การอธิบายขยายความและปะติดปะต่อข้อมูลจากหลายแหล่งประสบการณ์ การได้แสดงตนทั้งในบทบาทเจ้าของเรื่อง ตลอดจนการเป็นผู้รับฟังและเสริมความเป็นตัวของตัวเองให้แก่ผู้อื่น
ชุมชนการเรียนรู้ก่อตัวและเกิดการจัดการตนเองอย่างเลื่อนไหล ทุกคนมีส่วนร่วมและได้บทบาทอันเหมาะสมของตนเองโดยไม่ต้องจัดวางบทบาทและให้โครงสร้างเชิงหน้าที่อย่างเป็นสูตรสำเร็จ รู้ความพอประมาณของส่วนรวมและเห็นกาลเทศแห่งตน ความพอดี พอประมาณ
ไม่เพียงกลุ่มนักศึกษาเท่านั้น กลุ่มครูอาจารย์ก็สามารถสานกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ภาพถ่ายมีพลังขับเคลื่อนกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ขึ้นมาได้อย่างมีพลัง อีกทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างผสมผสาน โดยเฉพาะการเรียนรู้เพื่อจะพัฒนาตนเองให้เข้าถึงความเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเดียวกัน ที่ทุกคนต่างก็ยังคงมีความเป็นตัวของตัวเองไปด้วย
การขับเคลื่อนพลังชุมชนแห่งการเรียนรู้ เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้การรวมกันของกลุ่มคน มีความหมายต่อการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้อย่างทวีคูณให้กัน ไม้ใช่สังคมแห่งความแปลกแยก แข่งขันช่วงชิงการเอาเปรียบ พัฒนาภาวะแห่งตนที่คับแคบ ทว่า ก่อให้เกิดความสุขและความดีงามที่ห้วงชีวิตหนึ่งได้มีโอกาสได้มาพานพบ เพิ่มพูนประสบการณ์และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความหมายแก่ชีวิตให้กัน นับว่าเป็นวิชาเพื่อการอยู่ร่วมกันนานาชาติที่ไม่สามารถเรียนรู้และเข้าถึงได้อย่างลึกซึ้งอย่างนี้จากห้องเรียนและหนังสือตำรา
ภาพถ่ายและการนำเสนอ จัดวางวิธีคิด รวมทั้งสร้างสถานการณ์การเรียนรู้ได้อย่างยืดหยุ่นหลากหลายอยู่เสมอ เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ง่าย ใกล้มือ แต่มีพลังมากอย่างยิ่ง ทำให้ศิลปะและความงามของภาพถ่าย เป็นเครื่องมือและวิธีเขียนความงามลงไปบนการสร้างคนและสร้างสังคม ข้ามข้อจำกัดทางสังคมวัฒนธรรมได้ แม้ในแง่มุมเล็กๆ แต่ก็สร้างสรรค์โอกาสให้สิ่งที่เป็นไปได้ยากได้เกิดขึ้นไปบนรายทางชีวิตของเราได้อยู่เสมอ.
วิชา การอยู่ร่วมกัน...นี้เข้ากับบรรยากาศพอดีเลย ก็คือวิชาปรองดองนั่นเอง
กราบนมัสการพระอาจารย์มหาแลครับ
สวัสดีครับท่านอาจารย์วิรัตน์ การอยู่ร่วมกันนานาชาติ ไม่นึกว่าจะเป็นวิชา อ่านจากบันทึกท่านทำให้ได้ขบคิด
และเห็นความงาม ในความหลากหลาย ของคนนานาชาติ ที่สำคัญคนต่างชาติต่างเผ่าพันธ์มาอยู่ร่วมกันคือต้องมี ธรรมที่ไกล้เคียงกัน
เป็นสะพาน สื่อ ถึงกัน ซึ่งต่างก็ได้เรียนรู้กันและกัน และการได้สื่อสารกันด้วยภาพ ก่อเกิดกระชับได้รวดเร็ว
("ผมได้เห็นโลกแห่งการเรียนรู้บนกิจกรรมชีวิตง่ายๆและเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง เป็นการเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกันและสร้างความงอกงามไปด้วยกันของผู้คนที่มาจากต่างสังคมวัฒนธรรม...กลุ่มนักศึกษาของเราเป็นครูด้วยการแสดงให้ดู")
ขอบคุณ ศิลปภาพถ่าย ที่ทำให้คนรักกัน
ขอบคุณอาจารย์ ใช้ภาพสื่อสารทำให้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ไม่เหมือน วาทะกรรมของคำว่า"ปรองดอง"ที่หลายได้นำมาพูด แต่มองไม่เห็นปลายทาง เพราะหลงวนเวียนอยู่กับการคิดค้นออกแบบให้คนอื่นทำ ก้าวข้ามไม่พ้น.....คนต้องมีธรรมเท่ากัน
สวัสดีครับ ท่าน วอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei-- ครับ
สวัสดีครับท่านอาจารย์ขจิตครับ
มองเห็นความสุขสดชื่นจากภาพถ่ายงดงามนี้นะคะ..มนุษยสัมพันธ์นานาชาติ เคลื่อนจาก solid state เข้าสู่ liquid state มากขึ้น ดังนั้น การปรับสมดุลของชีวิตเพื่อความสุข จึงเป็นทางเลือกที่ควรใส่ใจนะคะ..balance is beautiful..
เยาวชนกล้าใหม่-ใฝ่รู้ปี ๕
สวัสดีครับคุณพี่นงนาทครับ ชอบแนวคิดเหล่านี้จังเลยละครับ.....