425 ถ้าพรุ่งนี้ ต้องตาย ทำไงเล่า


เตรียมพร้อม

ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย...

                                                                                                                                                                                            ผลบุญ

ถ้าพรุ่งนี้ ที่ต้องตาย ทำงัยเล่า
จะมัวเศร้า เคล้าน้ำตา หาพระแสง
รีบสร้างบุญ หนุนเรือนใจ ให้แข็งแรง
ให้สติแซง แรงโศกเศร้า เขลาปัญญา

อันความตาย มิได้หมาย ว่าสิ้นสุด
เพราะกำเนิด เกิดไม่หยุด สุดกังขา
ตายคือเปลี่ยน เวียนภพชาติ แลอัตตา
กรรมนั้นหนา พาเข้าทาง สว่างดำ
(19 เมษายน 48)

 

 คนที่คิดถึงความตายคงจะเป็นผู้ที่มีความทุกข์มากจนเหลือทน คงจะท้อแท้และสิ้นหวังในชีวิตแล้ว ผมคิดว่าคงจะถูกต้องเพียงครึ่งเดียว คนที่ไม่ทุกข์ไม่สิ้นหวัง เช่นผู้ปฏิบัติธรรมบางครั้งก็ไม่ได้ทุกข์มากหรือท้อแท้สิ้นหวังถึงขนาดนั้น แต่ก็สามารถคิดถึงความตายได้บ่อยๆเหมือนกัน  เหตุผลที่คิดถึงความตายของคนประเภทหลังคือเพื่อจะได้ไม่ประมาทในชีวิต อย่างเช่นผมในขณะที่เขียนบันทึกเรื่องนี้ ก็คิดถึงความตายเสมอๆ แต่ก็มิได้มีความทุกข์มากล้นจนสิ้นหวังอยากตายแต่เป็นการเห็นทุกข์เบื่อทุกข์มากกว่า นอกจากจะเห็นทุกข์แล้วยังเพื่อให้คุ้นเคยกับภาพการตาย ที่จะต้องเข้ามาหาอย่างแน่นอน เป็นการคิดถึงก่อนตายจริง

--------------------


 ผมมักจะคิดถึงความตายเสมอๆ ไม่ใช่เพราะกลัวตาย ตรงกันข้าม ผมมองความตายเป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องเจอกัน....แม้จะเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมและพยายามดูสติดูอารมณ์ตัวเองอยู่สม่ำเสมอ ก็ต้องยอมรับว่า เวลามีความทุกข์ใจก็อดที่จะคิดถึงความตายไม่ได้ แต่ไม่คิดจะหนี จะคิดถึงในแง่เป็นเครื่องเตือนใจตนไม่ให้ประมาทในเวลาที่มีอยู่ และเพื่อใจจะได้คุ้นเคยกับความตายก่อนจะถึงวันจริง
 ถ้าพรุ่งนี้ต้องตายจะเป็นอย่างไร?
ถามตัวเองเพื่อให้ได้คำตอบ ถ้าพรุ่งนี้จะต้องตาย...ถ้าเป็นจริง ก็คงได้ตายแน่ เพราะเมื่อถึงกำหนดก็ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงได้ แต่ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ตาย ก็แสดงว่ายังไม่ถึงกำหนดตาย ก็ต้องดูวันมะรืนต่อไปและต่อๆ ไป
 ถ้าผมตาย จะโศกเศร้าเสียใจไหม...ตอบได้เลย ในขณะนี้ที่ยังมีลมหายใจเข้า-ออกอยู่นี้ว่า ไม่เสียใจ ไม่โศกเศร้า  เพราะความตายสำหรับผมยังไม่ใช่การสิ้นสุดของการเดินทาง แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากร่างหนึ่งไปอีกร่างหนึ่ง จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ก็แค่นั้น...ถ้าผมไม่เสียใจแล้วใครล่ะ จะต้องเสียใจ ก็น่าจะเป็นคนที่เกี่ยวข้อง ผูกพันกับผม คนที่รักผมในฐานะลูก ในฐานะสามี ในฐานะพ่อ ในฐานะพี่น้อง และญาติสนิท ก็คงจะอยู่ในวงแค่นั้น คนทั่วไปที่ไม่รู้จักคงไม่รู้สึกอะไร คนเหล่านี้คงจะเสียใจเป็นเรื่องปรกติธรรมดา ของการพลัดพรากจากกัน น้ำตาจะเป็นสื่อกลางในการแสดงความรู้สึกต่อการตายของผม นอกเหนือไปจากพิธีเผาศพที่จะจัดกันตามประเพณีของสังคมไทย


 การตายของผมจะหมายความว่า ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวผมในชาตินี้จะขีดเส้นใต้และขีดเส้นตายปิดปัญชีเพียงแค่นี้ในทางโลก คือหลังจากคำว่ามรณะที่จะได้รับต่อท้ายสุดในประวัติแล้ว ก็คงไม่มีคำบรรยายอื่นอีก แต่หากจะมี (ซึ่งตามหลักธรรมต้องมีต่อไปแน่ในโลกวิญญาน แต่ไม่ขออธิบาย ณ ที่นี้) ผมก็คงจะไม่รับรู้อะไร เพราะผมไปตายแล้ว คนที่รับรู้ก็คือคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่จะต้องรับกันไปทั้งผลดีและผลไม่ดี
 ผลดีในชาตินี้ของผมคงจะมีบ้าง พอให้คนที่อยู่ข้างหลังได้ภูมิใจ และชื่นใจกันตามสมควร แต่ผลไม่ดีก็น่าจะมี เหมือนกัน ซึ่ง ณ วินาทีนี้ ผมยังคิดไม่ค่อยออกว่ามีเรื่องใหญ่โตอะไรบ้าง ก็ห่วงแต่เพียงว่า หากมีผลไม่ดีประทุขึ้นมาหลังผมตาย คงจะไม่ไปกระทบคนที่อยู่ข้างหลัง โดยเฉพาะกับครอบครัวและคนที่ผมรัก เพราะผมน่าจะเป็นผู้ได้รับผลไม่ดีนั้นเองในภพอื่นต่อไป
 ความจริงถ้าเลือกได้ ผมคงเลือกที่จะตายแล้วไม่เกิดอีกดีกว่า เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นทุกข์อย่างที่ทุกคนรู้ดี แต่ก็อย่างว่า เราเป็นผู้อยากเกิดเอง....แต่ลืมความอยากนั้นไปแล้ว.....มิใช่หรือ


ถ้าทำดี กรรมก็ดี มีผลสุข
ถ้าสร้างทุกข์ สุขจะหาย ตายโศกสัญ
ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น หมั่นท่องกัน
อยู่อีกวัน รีบดันบุญ เกื้อหนุนตาม

ลาภยศถา บรรดา”ดี” ที่มีอยู่
รวยอู้ฟู่ อยู่เรือนทอง สองล้านสาม
สมบัติมาก ลากไม่ไหว ใครจะปราม
สุดท้ายหาม แต่ร่างเน่า เท่านั้นเอง
--------------------------------

2.
 ถ้าผมต้องตายในวันพรุ่งนี้ สิ่งที่จะทำในอันดับแรกคือผมจะไปกราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ในฐานะที่เป็นพระพรหมของลูก เนื่องจากขณะที่เขียนบันทึกอยู่นี้อยู่ห่างจากท่านทั้งสองหลายหมื่นไมล์  ผมจะไปกราบท่านเพื่อขออโหสิกรรมจากท่าน ว่าตั้งแต่เกิดมาเป็นคน อยู่กับท่านมาจนโต เป็นผู้เป็นคน ได้ทำกรรมทำเวรอะไรกับท่านบ้าง ไม่ว่าทั้งที่ตั้งใจก็ดี หรือไม่ตั้งใจก็ดี จะต่อหน้าก็ดีหรือ ลับหลังก็ดี ขอให้ท่านยกโทษให้ผมด้วยเพราะการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นบาปมาก
ผมจะขอพรจากท่านให้วิญญานของผมได้ไปสู่สุคติเพราะตามปรกติของโลก บุตรน่าจะตายหลังบิดามารดา แต่นี่หากผมต้องตายพรุ่งนี้ ก็จะเป็นการตายก่อนพ่อแม่ จึงต้องขออนุญาติขออภัยจากท่านที่ผมไม่มีโอกาสดูแลท่านต่อไปจนวินาทีสุดท้ายของท่าน จากนั้นผมจะขอพรท่านให้ผมเดินทางไปในทางที่ดีงามในชาติและภพหน้าต่อไป
 ถ้าผมจะตายพรุ่งนี้และได้มีโอกาสอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว ผมจะขอเลี้ยงดูท่านทั้งสองเป็นวันสุดท้าย จะทำอาหารที่ท่านชอบทาน จะนวดให้คุณแม่หายเมื่อย จะซื้อเสื้อผ้าและสิ่งของต่างๆ ให้คุณพ่อคุณแม่ จะล้างเท้าท่านทั้งสองให้สะอาดและจะพาท่านไปวัดทำบุญ ฟังเทศน์รวมทั้งปฎิบัติธรรมเป็นวันสุดท้าย
 ผมจะให้เงินพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อให้ท่านไว้ใช้และเอาไว้ทำบุญตามสมควร ผมจะทำตัวเป็นลูกที่ดีในวันนี้เพื่อให้พ่อแม่ชื่นใจและสบายใจ
 หลังจากลาพ่อแม่แล้ว ผมจะขอสั่งเสียกับภรรยาสุดที่รักเป็นคนต่อไป จะขอบคุณเธอที่เป็นคู่ชีวิตที่ดีมาตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เป็นภรรยาที่ดีที่คอยให้กำลังใจเวลาที่ผมท้อแท้ ให้ความสุขในเวลาที่ผมทุกข์ ให้ความสนุกในเวลาที่ผมเหงา ให้ความหวังในเวลาที่ผมมืดมน
ผมจะมอบทรัพย์สินเงินทองให้เธอเพื่อให้เธอสามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างไม่อายใครและในฐานะแม่ของลูกผมจะให้เธอดูแลรักษาทรัพย์สมบัติเพื่อให้ลูกในอนาคต ให้ทุกคนสามารถอยู่ได้อย่างไม่เดือดร้อนและสมฐานะ
 ผมจะบอกกับเธอตรงๆ ว่า อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน หากผมต้องตายพรุ่งนี้ เธอสามารถบริหารชีวิตครอบครัวได้ตามความเหมาะสมและที่คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอและลูก ผมไม่คิดจะให้คนที่อยู่ข้างหลังต้องมานั่งรักษาสัญญาทางใจและทนทุกข์โดยที่ผมไม่ได้อยู่ด้วย คนที่อยู่ควรจะมีอิสระในการตัดสินใจเลือกทางที่เห็นว่าสะดวกและเหมาะสม ผมคิดว่าเราต้องให้เกียรติ์คนเป็นบ้างหลังจากที่คนตายได้รับเกียรติ์ไปแล้ว
 จากนั้น ผมจะเรียกลูกๆที่ยังเด็กมาสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย ผมจะบอกกับลูกๆว่า การตายเป็นของธรรมดา เหมือนกับการที่พ่อต้องจากไปประชุมในต่างประเทศเป็นเวลาหลายสัปดาห์ การจากไปของพ่อครั้งนี้ก็เช่นกันถือว่าเป็นการจากกันเพียงชั่วคราว วันหนึ่งข้างหน้าอาจจะมาพบกันอีกก็ได้ ระหว่างที่พ่อไม่อยู่ ก็ขอให้ลูกๆเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ เชื่อฟังแม่ซึ่งนับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปจะเป็นทั้งพ่อและแม่ ขอให้เชื่อฟังปู่ ย่า ตา ยายและสุดท้ายเป็นคนดีของสังคม มีเพื่อนก็ขอให้เพื่อนดี มีคู่ก็ขอให้คู่ดี มีงานก็ขอให้งานดีและขอให้เด็กๆช่วยกันดูแลแม่และญาติผู่ใหญ่แทนพ่อ ขอให้รักแม่เหมือนเดิมและรักมากขึ้นกว่าเดิม
 ผมจะมอบทรัพย์สินเงินทองให้ลูกทุกคนตามความเหมาะสมเพื่อให้เขาใช้เป็นทุนในการเลี้ยงชีพและเป็นคนดีของครอบครัวและสังคมต่อไป
 ผมจะขอให้ลูกๆร่วมกันสวดมนต์ไหว้พระเป็นครั้งสุดท้ายของผม เพื่อทำจิตใจให้สงบเป็นกุศลและบอกเขาว่าการจากไปไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่เป็นเรื่องน่ายินดี เป็นทางเดินที่ทุกคนจะต้องเตรียมตัว ไม่วันใดวันหนึ่งก็จะต้องเดินทางมาถึงจุดนี้ด้วยกันทุกคน
 ผมจะขอไม่ให้ใครร้องไห้เพราะการจากไปของผม โดยเฉพาะคนในครอบครัวเพราะจะเป็นน้ำตาที่สูญเปล่า มิได้เปลี่ยนอะไรได้ แต่จะขอให้ทุกคนมีความอาจหาญต่อความตายและเตรียมตัวเช่นที่ผมกำลังทำอยู่นี้
 ผมจะขอทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพ่อแม่และครอบครัว จะเป็นอาหารมื้อธรรมดาที่เคยทานกัน ยังชอบไข่เจียวหมูสับ น้ำพริกปลาทู  ไข่พะโล้ ไก่ย่างและลาบ ส้มตำและต้มยำกุ้ง ก็คงแค่นี้ ซื้อร้านใกล้บ้านเหมือนเดิม จะเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตมากกว่าการไปงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ในโรงแรมห้าดาวในประเทศที่ดีที่สุดในโลกหลายเท่า
 หลังจากทานข้าวผมจะมานั่งที่ห้องรับแขก จะบอกลูกๆให้ทำการบ้านเหมือนเช่นเคย หากทำเสร็จแล้วจะให้เด็กเล่านิทานที่แต่งเองคนละเรื่องจากนั้นจะสวดมนต์ร่วมกันก่อนนอน จบลงด้วยการอธิษฐานจิตที่จบลงด้วยคำว่าสาธุ เป็นอันเสร็จพิธี หลังจากนั้นเด็กจะเข้านอนผมจะเตือนให้รีบหลับเพราะพรุ่งนี้จะต้องไปโรงเรียน
 ลูกคงนอนเล่นกันสักพักก็จะหลับไปรวมทั้งภรรยาที่นอนเป็นเพื่อนลูกจนเผลอหลับไปกับลูกด้วย ส่วนผมก็จะสวดมนต์และกราบลาครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ผมได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์มาไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่ หลวงพ่อ คุณแม่และอาจารย์ผู้รู้ทุกท่าน รวมทั้งระลึกถึงญาติธรรมทั้งหลายที่เป็นเพื่อนเดินทางในเส้นทางธรรมนี้ ผมจะนั่งสมาธิเป็นคืนสุดท้ายก่อนที่จะแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ในสากลโลกจากนั้นผมจะค่อยๆล้มตัวลงนอน.....เป็นคืนและครั้งสุดท้ายเช่นกัน คงเป็นคืนที่ผมลืมไม่ลงเป็นแน่ เพราะพรุ่งนี้จะไม่ได้ตื่นอีกแล้ว พรุ่งนี้จะได้เริ่มเดินทางไปสู่ที่ใหม่ ที่ที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร..........ว่าแล้วก็ขอหลับตาก่อนดีกว่า คงต้องเก็บแรงไว้พรุ่งนี้ด้วย

จะฝากไข้ ในตอนเช้า ของวันรุ่ง
จะขอมุ่ง สุขาวดี ที่มั่นหมาย
จะถือศีล บนถิ่นฟ้า ดาราราย
ขอเกิดตาย อีก 7 ชาติ ขาดสิ้นกรรม
(19 เมษายน 48)


----------------------------------------------

3.
หากต้องตายในวันพรุ่งนี้ ผมคงจะใช้เวลาที่เหลือน้อยนิดอยู่เงียบๆคนเดียวคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตในอดีตเท่าที่จะจำได้ โดยเฉพาะเรื่องบุญและบาปที่ได้ทำมาด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี เพราะสิ่งเหล่านี้คือบทเรียนสำคัญสำหรับชีวิตและถือเป็นประสบการณ์ที่จะทำให้เกิดปัญญาและนำติดตัวไปในภพแห่งอนาคตได้
เรื่องบุญที่ทำมานั้นเอาไว้ระลึกถึงในช่วงสุดท้ายก่อนจิตดับ ในเวลาที่เหลือน้อยนิดนี้ ขอทบทวนเรื่องบาปหรือปัญหาในชีวิตที่ทำให้เกิดความทุกข์ก่อนโดยหวังว่าเมื่อทบทวนแล้วจะได้เลิกคิดถึงทุกข์ที่ค้างคาใจเหล่านั้นแล้วจากนั้นค่อยคิดถึงบุญจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
การที่คนเราทำผิดพลาดในชีวิตหรือทำบาปให้กับตัวเองและผู้อื่นนั้น บางครั้งก็เกิดจากความไม่ตั้งใจ คือตั้งใจจะให้ดีแต่กลับไม่ดี  ตรงผลที่ไม่ดีนั้นถือว่าไม่ได้ตั้งใจและหากรุ้ว่าจะออกมาไม่ดีก็อาจจะไม่ทำ ผมเห็นว่าคนเรานั้นไม่ได้อยากจะเป็นคนเลวหรือเป็นคนไม่ดีหรอก แต่มีเหตุทำให้ต้องตัดสินใจทำไปเช่นนั้น และก็หลายครั้งที่คนเหล่านี้ถูกมองในทางลบจากคนในสังคม โดนรุมประณามว่าเลวร้ายและทำให้เกิดความรู้สึกว่าแย่จังเลย ทำไมเป็นคนอย่างนี้ ....ผมยอมรับว่าเคยมองคนอื่นในลักษณะนี้เหมือนกัน ว่าทำไมเขาจึงเป็นเช่นนี้หรือเป็นเช่นนั้น ไม่น่าจะเกิดมาเป็นคนเลย แต่........... ณ วันนี้ วันที่ผมคิดว่าจะมีชีวิตอยู่วันสุดท้าย ผมรู้แล้วว่า คนเรานั้นไม่มีใครหรอกที่อยากจะทำเลว อยากเป็นคนเลวในสายตาของคนอื่น ทุกคนอยากเป็นคนดีเป็นคนเก่งเป้นที่ชื่นชมและยอมรับของสังคมทั้งนั้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะทำตามที่หวังเช่นนั้นได้ เพราะมีเรื่องของกรรมในอดีตและปัจจัยสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันเข้ามาเกี่ยวข้อง กรรมผลักดันให้คนเราคิดจะทำในสิ่งที่ตนเคยกระทำมาก่อนในอดีตกาล ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดี  กรรมที่ว่านี้ก็มาจากเราเอง เป็นกรรมของเราเอง ไม่มีใครมายัดเยียดให้เรา.........ที่เราทำผิด(อีก)ในชาตินี้ก็เพราะเราสติอ่อนใจอ่อน พอเหตุตามมา สถานการณ์เกิดขึ้นเราก็มักจะตัดสินใจด้วยอารมณ์เดิมๆ (ที่เคยเป็นเคยมี) ทั้งที่รู้ว่าอะไรคือชั่วดี แต่บางครั้งก็มาสามารถห้ามหรือฝืนใจได้
คนที่จะเข้าใจคนเหล่านี้ได้ก็ต้องเกิดกับตัวเองก่อนคือทำอะไรที่คิดว่าถูกต้องและจำเป็นต้องทำแต่ แล้วเกิดผลกระทบต่อผู้อื่นทำให้เกิดปัญหาจึงถูกมองว่าเป็นคนเลวในสายตาของคนอื่นบ้าง 
ผมเพิ่งจะตระหนักว่า การทำผิดพลาดในชีวิตนั้นไม่ได้หมายความว่าคนนั้นจะเป็นคนเลว ทุกคนมีทั้งดีและไม่ดีปนกัน ถ้าจะบอกว่าคนอื่นเลว ตัวเองก็เลวเหมือนกันในบางเรื่อง ฉะนั้นสิ่งที่จะทำได้คือต้องเข้าใจคน เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าเขาอยากทำดีแต่ทำไม่ได้ เราควรจะสงสารมากกว่าหรือเขาทำไม่ดีเพราะเข้าใจผิด เราก็น่าจะเห็นใจและควรอโหสิกรรมให้มากกว่าที่จะคิดพยาบาท
ผมเพิ่งรู้ว่าเวลาใกล้ตาย การอโหสิกรรมเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ควรจะอโหสิกรรมในสิ่งที่คนเคยทำกับเราไว้ ไม่ว่าจะตั้งใจก็ดีหรือไม่ตั้งใจก็ดี และเราเองก็ควรอโหสิกรรมให้เขาเหล่านั้นให้หมด จะได้ไม่นำเอาอารมณ์พยาบาทติดตัวไปยังภพหน้าด้วย
นอกจากจะอโหสิกรรมให้คนอื่นแล้ว เราเองก็ต้องขอให้ทุกๆคนที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้เราด้วยเพราะเราต้องเคยไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนเป็นทุกข์เพราะเราเป็นแน่ เขาเหล่านั้นก็คงพยาบาทเจ็บใจผูกเช่นเราเหมือนกันซึ่งก็ไม่เป็นผลดีแก่ใครเลย
ผมจึงจะใช้เวลาสุดท้ายนี้ทบทวนและขออโหสิกรรมจากเพื่อนมนุษย์ทุกคน สิ่งใดที่ทำไปแล้วโดยตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ที่ไปทำให้ผู้อื่นต้องเป็นทุกข์ ขอให้อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด........
หากต้องตายในวันพรุ่งนี้
 ผมคงจะได้ทำในสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้หากต้องตายไปจริงๆ ผมอาจจะดีใจก็ได้ เพราะนั้นหมายความว่าอย่างน้อยทุกข์ในใจที่มีอยุ่ตามปรกติธรรมดานี้ก็จะมีเวลาอยู่เพียงแค่วันพรุ่งนี้............ จริงอยู่เมื่อถึงพรุ่งนี้จริงๆ อาจจะทุกข์ต่อไปก็ได้หรืออาจจะพบกับความทุกข์ในรูปแบบใหม่ๆอีก ผมก็ไม่สามารถจะรู้ได้ แต่ ณ วินาทีนี้ อย่างน้อยพรุ่งนี้ก็เป็นกำหนดเวลาที่ไม่นานเกินไป

ความเบื่อคง ปลงหมดเชื้อ เมื่อวันพรุ่ง
ทุกข์ยุ่งยุ่ง คงสิ้นไป ไม่ขับขาน
จะมุ่งหน้า หาทางสุด สุขนิพพาน
แม้ต้องเดิน อีกแสนนาน ก็จะไป
( 20 เมษายน 48)


ผมเข้าใจดีว่าคนเราเมื่อมีทุกข์แล้ว เป็นเหมือนกับความรู้สึกของคนที่วิ่งมากลางแดดมานานจนเหนื่อยอ่อนและล้าไปหมดแล้วแต่มองเห็นเส้นชัยอยู่เพียงอีก 50 เมตรข้างหน้า มันเป็นอีก 50 เมตรที่จะมีความสุขที่สุด ที่จะได้วิ่งถึงเสียที จบลงเสียทีแค่อีกอึดใจเดียว ก็คงเหมือนการที่จะต้องตายวันพรุ่งนี้ อีกแค่วันเดียว ที่จะสุขและจะทุกข์....................อีกแค่วันเดียวที่ร่างกายจะได้พักผ่อนนอนตาหลับอย่างยาวนาน จะเป็นการนอนให้คนมารดน้ำ หากศพนึกคิดในขณะนั้นได้ก็จะอุทานในใจว่า ในที่สุดก็ถึงคราวของเราที่จะมาถึงจุดนี้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
วันพรุ่งนี้ผมจะมีงานศพของตัวเองเสียที มีคนที่จะมาเสียใจตามมารยาทกับการจากไป มีพิธีศพ มีหนังสืองานศพ มีคนมาร่วมงานจากวงการต่างๆ มีพวงหรีดหลายหลายมาวางตรงหน้าที่นอนและแน่นอนคงมีคนที่ผมชื่นชมที่ผมนับถือมาร่วมงานและอาจจะมีคนที่ไม่ชื่นชมผมมาป่วนในงานก็อาจเป็นไปได้ ซึ่งผมได้แต่หวังว่าคนประเภทหลังนี้คงจะมาดูรูปผมและคงจะเปิดโอกาสให้ผมขออโหสิกรรมเป็นครั้งสุดท้ายและเขาคงจะอโหสิกรรมให้ผมด้วย ผมหวังว่านะ
ผมจะมีโอกาสได้มีชื่อลงหนังสือพิมพ์เสียที หากโชคดีก็อาจจะมีข่าวออกทางโทรทัศน์ด้วย ถ้าผมมีวิญญานที่ออกจากร่างจริง ผมคงขออนุญาตจากคนที่มีอำนาจมาดูงานศพของตัวเองบ้าง ใครๆ ก็คงอยากจะดูตัวเองในสภาพที่เป็นมนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายแม้จะถูกเรียกว่าศพก็ตาม ผมอยากจะเห็นพ่อแม่พี่น้อง ภรรยาและลูกๆเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่วิญญานของผมจะไปท่องเที่ยวในภพใหม่ซึ่งอาจจะมีโอกาสเห็นหรือไม่มีโอกาสเห็นโลกมนุษย์อีกก็เป็นได้
หลังจากงานศพของผม ชื่อของผมก็คงเลือนหายไปกับวันและเวลา เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ไปก่อนหน้านี้ ผมเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีเรื่องราวอะไรเป็นพิเศษหรือยิ่งใหญ่ ..............ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะหากต้องตายในวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นเวลาที่ผมรอคอยแต่เพียงผู้เดียวและจะเป็นวันที่ทำให้ผมมีความสุขมากเพราะอย่างน้อยก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นลำดับ จะดีหรือไม่ดี

ต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้

ถ้าต้องตาย ตะวันรุ่ง วันพรุ่งนี้
ฤามีดี ที่ทำไว้ ให้โหยหา
ฤามีกรรม มาตามทัน บั่นบุญญา
จะโศกา หรืออิ่มบุญ หนุนดวงมาลย์
---------------------------------------------

 

4.

หากต้องตายในวันพรุ่งนี้ ผมขอสำนึกบาปทั้งปวงที่เคยทำมาในชาตินี้ ทั้งที่จำได้ จำไม่ได้ ที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ที่ทำให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนในรูปแบบต่างๆนานา.....ขอบันทึกไว้ตรงนี้ว่า ผมสำนึกผิดแล้วว่า ผมไม่ควรทำสิ่งเหล่านั้นกับท่าน หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงไม่ทำในสิ่งที่ทำไปแล้วเด็ดขาด เพราะผมรู้แล้วว่าไม่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเพื่อนร่วมโลกนั้น ไม่ว่าใครจะผิดใครจะถูก สิ่งที่ได้รับด้วยกันทั้งสองฝ่ายก็คือความทุกข์แสนสาหัส ไม่มีใครในโลกนี้ที่อยากจะทุกข์หรอก ไม่มีใครอยากทำผิด ทุกคนอยากทำถูก ทำถูกใจคนอื่น แต่สิ่งที่ทำไปนั้น จำเป็นต้องทำ ณ วินาทีนั้น เช่นนั้นซึ่งบางครั้งก็อธิบายในขณะนั้นไม่ได้
เมื่อผมสำนึกผิดแล้วผมก็อยากจะขออโหสิกรรมจากทุกท่าน ขอให้พวกเขาทราบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้ทำไปผมไม่ได้ตั้งใจจะให้คนอื่นทุกข์เลย ขอทุกท่านโปรดอย่าอาฆาตเลย ขอให้ท่านรู้ว่าตลอดเวลาที่ท่านทุกข์และเข้าใจว่าผมเสวยสุขอยู่นั้น ผมเองก็ทุกข์เหมือนเช่นท่าน ทุกข์ไม่น้อยไปกว่าท่านเพราะผมไม่สามารถจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่จะทำให้ท่านกลับมาเป็นสุขได้ ขอให้ท่านได้รู้เถิดว่าตั้งแต่วันที่ท่านทุกข์ผมเองก็ทุกข์ที่รู้ว่าท่านทุกข์ ท่านกินไม่ได้นอนไม่หลับ ผมก็กินไม่ได้นอนไม่หลับเหมือนกับท่าน เพราะผมเองก็เป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนท่าน มีเลือดเนื้อเหมือนท่านทุกประการ
หากจะถามว่าทำไมผมจึงทำสิ่งที่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อนและเป็นทุกข์ ผมก็จะขอตอบ ณ เวลานี้ว่าผมไม่เคยมีความคิดอยากจะให้คนอื่นเดือดร้อนหรือมีความทุกข์เพราะผมเลย และหากสลับกันได้ผมพร้อมจะทุกข์แทนคนอื่นด้วยซ้ำไป แต่บางสิ่งบางอย่างที่ผมไม่อาจได้ทำไปในเวลานั้น เพราะเกินอำนาจของผมเอง และด้วยระเบียบ หรือระบบอะไรก็ตาม ที่ทำให้ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่กำหนดเอาไว้ ผมทำอย่างอื่นไม่ได้ เพราะผมเองก็ตกอยู่ภายใต้กำหนดกฎเกณฑ์นั้นๆ เช่นกัน
ผมเพิ่งรู้ว่าผมเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้นเองที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบทางโลกเช่นทุกคน ตำแหน่งทางโลกเป็นหัวโขนที่เล่นบทบาทไป ถ้าถามว่าอยากทำไหม ก็บอกได้เลยว่าไม่อยากทำแต่ต้องทำ ถ้าให้เวลาย้อนกลับมาได้ ผมก็จะไม่ทำสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว ก็คือทุกสิ่งที่ทำให้คนอื่นต้องเดือนร้อน

ไม่อยากเกิด เลิศอีกแล้ว แนวมนุษย์
ทุกข์ที่สุด สุขที่สุด จนถลำ
วังน้ำวน วนเวียนว่าย ตายกระชัง
เหมือนถูกขัง บังทางออก หลอกจิตเรา
(23 เมษายน 48)

ผมเข็ดแล้ว การมีตำแหน่งในสังคมโลกที่ต้องใส่หัวโขนแสดงบทบาทต่างๆ ให้คุณให้โทษกับคนอื่นๆ  หากทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์แก่คนอื่นก็เป็นที่รักใคร่ของคนเหล่านั้น หากทำสิ่งที่เกิดผลลบต่อคนอื่น ไม่ว่าจะมีเหตุผลใดหรือทำถูกต้องตามกฎระเบียบใดก็ตาม ก็จะถูกเกลียดชังจากผู้ที่ได้รับผลกระทบนั้น ผมคงจะไม่รับตำแหน่งทางสังคมใดๆ อีกแล้วเพราะที่ผ่านมาทุกข์อันใหญ่หลวงของผมก็คือการทุกข์ใจกับคนที่เดือดร้อนเพราะการกระทำตามระเบียบทางโลกของผม ถึงแม้จะถูกต้องแต่ก็ไม่วายได้รับความทุกข์ใจมาจนถึงทุกวันนี้


ขออโห -สิกรรม ทำท่านไว้
ไม่ตั้งใจ ให้ท่านทุกข์ สุขเหือดหาย
ไม่เคยคิด สะกิดแผล ระเคืองคาย
หากเจ็บตาย แทนได้ ก็จะยอม

ผมขอใช้บันทึกนี้ ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรของผมทุกท่าน ทั้งในอดีตชาติ และชาตินี้ ที่ตั้งใจก็ดี ที่ไม่ตั้งใจก็ดี ที่รู้ตัวก็ดีที่ไม่รู้ตัวก็ดี ขอจงยกโทษ อโหสิกรรมด้วยและขอให้บุญกุศลที่ผมได้ทำมาจนถึงวันพรุ่งนี้ที่จะต้องตาย ตกแก่เจ้ากรรมนายเวรของผม ขอให้เขาเหล่านั้นมีความสุขมีความเจริญยิ่งๆขึ้นไปและได้มีโอกาสปฎิบัติธรรมและบรรลุมรรคผลนิพานในอนาคตกาลด้วยเถิด....สาธุ

ถ้าพรุ่งนี้ ที่ต้องตาย ทำงัยเล่า
อย่ามัวเศร้า เคล้าน้ำตา หาพระแสง
รีบสร้างบุญ หนุนเรือนใจ ให้แข็งแรง
ให้สติแซง แรงโศกเศร้า เขลาปัญญา

อันความตาย มิได้หมาย ว่าสิ้นสุด
เพราะต้องเกิด เกิดไม่หยุด สุดกังขา
ตายแล้วเปลี่ยน เวียนภพชาติ แลอัตตา
กรรมนั้นหนา พาเข้าทาง สว่าง-ดำ
(19 เมษายน 48)

 


ผมคงจะตายในวันพรุ่งนี้...........ถ้าหากถึงกำหนด จึงอยากจะสะสางหนี้ทั้งหลายที่มีก่อนจะถึงวันนั้น ที่ได้บันทึกมาทั้งหมดนี้ตั้งใจว่า...................จะทำวันนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุด เพื่อที่ว่าพรุ่งนี้จะได้ไม่กังวลในหนี้กรรมของตนมากนัก เพราะได้เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว แต่หากถึงพรุ่งนี้ยังไม่ตาย ก็คงเตรียมตัวต่อไปสำหรับวันต่อๆไป ที่จะเป็นวันพรุ่งนี้สำหรับผมเสมอ อย่างน้อยผมก็จะไม่ประมาทในชีวิต หากวันพรุ่งนี้ต้องตายจริงๆ......................และวันพรุ่งนี้ก็จะมีความหมายสำหรับผมตลอดไป
ขอจบลงด้วยกลอนโลกสว่างว่าด้วยความตายที่ผมใช้เป็นเครื่องเตือนใจตนเองเสมอมา

อันความตาย หมายไม่ได้ ว่าเมื่อไหร่
    เกิดกับใคร ได้ทั้งนั้น หมั่นท่องหนา
    ทารกเด็ก เล็กผู้ใหญ่ วัยชรา
    มรณา มาเยือนได้ ทุกวัยวัน
     เมื่อไม่รู้ ก็จงอยู่ อย่าประมาท
    คนฉลาด สร้างบุญ ไว้ไม่โศกศัลย์
    ยิ่งบุญมาก ก็สุขมาก รับประกัน
    ตายไม่พรั่น มั่นในสุข ตลอดไป
         ผลบุญ
         ( 16 มิย.2540)

-----------------------------------------------------
ด้วยความปรารถนาดีและหวังว่าข้อเขียนนี้จะเป็นประโยชน์ในการเตือนใจ

ญาติธรรมทุกท่านไม่ให้ประมาทในชีวิต                                                       

ผลบุญ

มิถุนายน 2548   

เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์

 

หมายเลขบันทึก: 389788เขียนเมื่อ 1 กันยายน 2010 00:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 06:41 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

สวัสดีครับ

เพื่อนผมคนนึงเคยต้ังโจทย์คล้าย ๆ กันนี้

แต่ระยะเวลายาวกว่า จากพรุ่งนี้เป็นเดือนหน้า

สิ่งที่เพื่อนผมทำคือเขียนหนังสืองานศพด้วยตัวเองครับ

หนังสือเล่มนั้นเขียนเสร็จนานแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้ใช้ครับ

คุณ หนานเกียรติ ครับ

เป็นการปลงธรรมสังเวชครับ

ในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต เราคิดปลงเช่นนั้นจริงๆ

การนึกถึงความตาย ก็ทำให้ไม่ประมาทในชีวิตครับ

ผมเตือนตัวเองมาจนในทุกวันนี้ครับ

เพิ่งไปงานศพคุณพ่อเพื่อนของลูกสาว จากไปด้วยโรคหัวใจวายโดยไม่ได้สั่งลา

เรายังรู้สึกสงสารคนที่ยังอยู่และคนที่จากไป

หลังจากอ่านบทความนี้ทำให้ได้คิด

คุณ แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช ครับ

คนที่จากไปอย่างกระทันหัน ไม่มีสักคนเลยครับที่เตรียมตัว(เตรียมใจ)ล่วงหน้า

การเตรียมทำใจตายก่อนตายจึงเป็นเรื่องที่สร้างสถานการณ์ล่วงหน้าเพื่อที่จะให้มีสติเมื่อถึงเวลานั้นครับ

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับผู้อ่านครับ

สวัสดีค่ะ

เข้ามาอ่านตั้งแต่เมื่อวานแต่ยังไม่ได้เม้นท์ค่ะ  วันนี้ติดตามมาอ่านอีกรอบ 

ตอนแรกก็เคยกลัวตาย  ภายหลังได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้นและได้ฟังท่าน ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา บรรยายไว้เช่นเดียวกันว่า  "ความตายสำหรับผมยังไม่ใช่การสิ้นสุดของการเดินทาง แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากร่างหนึ่งไปอีกร่างหนึ่ง จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง"

ได้แต่คิดว่าต้องทำความดีเพิ่มขึ้น  และทำเสมอ ๆ แม้กระทั่งการคิดก็ควรคิดดี  เพื่อเป็นกุศลภายในภพหน้าค่ะ

ขอขอบพระคุณค่ะ

ครูคิม ครับ

เราต้องอยู่อย่างไม่ประมาทจริงๆ ครับ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้  
ดังนั้นถ้าไม่คิดถึงความตายเลย จะทำให้หลงอยู่กับอนาคตที่คาดหวังและคิดว่าแน่นอนครับ

ก็เป็นเพียงการเตือนสติตนเองและพยายามทำในสิ่งที่สามารถทำได้ในปัจจุบันครับ

ขอบคุณที่แวะมาทักทายและให้ข้อคิดเห็นนะครับ

เจริญสุขครับ

 

"ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย" ... ย้ายมาแล้วนะครับ

นี่คงเป็นบันทึกเริ่มต้น ... ;)

ขอบคุณครับ

คุณ Wasawat Deemarn ครับ

ครับ ลองหาในเน๊ตแล้ว หาไม่พบครับ เลยนำมาลงให้เป็นการจัดการความรู้ครับ

หากพรุ่งนี้ ไม่มาจริงๆ จะได้เป็นประโยชน์กับผู้อื่นบ้าง 

สวัสดีค่ะท่านเอกฯ

เมื่อก่อนกลัวๆ ค่ะกลัวตายมากๆ และไม่อยากพูดเรื่องความตาย เวลาป๋าอี๋พูดเรื่องตายทีไร จะร้องไห้ .. พอโตแก่พรรษาหน่อยก็สบายๆ ค่ะ เมื่อวานก็เพิ่งคุยกับรุ่นพี่ ๆ เรื่องตายๆ

แต่ก็ยังไม่อยากตายค่ะ ยังไม่ได้ไปอินเดียเลย ;) ขอบพระคุณบันทึกดีๆ นี้ค่ะ

คุณ poo ครับ

จริงครับ คนเรากลัวจายและไม่อยากตายทุกคนครับ

แต่ถึงจะอยากหรือไม่อยาก ก็ต้องตาย เพราะเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้องมีการแปรเปลี่ยน จึงอยุ่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะเอาความตายมาเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตเราในขณะที่ยังไม่ตาย

การคิดถึงความตาย มองความตาย เข้าใจความตายที่จะมาในอนาคต ทำให้เราได้สติครับและไม่ประมาทตามที่พระพุทธองค์ทรงเตือนพวกเรา

ขอบคุณที่แวะมาทักทายและระลึกถึงความตายนะครับ

 

สวัสดีค่ะ

ความคิดเกี่ยวกับเรื่องความตายของดิฉัน เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆค่ะ

แรกทีเดียว กลัวตาย เพราะไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน กลัวไปนรก

ต่อมา ยังไม่อยากตาย เพราะไหนๆก็เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้ศึกษาศาสนาพุทธ ก็อยากมีชีวิตเพื่อศึกษาไปนานๆ ศึกษาให้มากที่สุด

ต่อมา ไม่กลัวตาย เพราะถึงไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน แต่ไม่มีความกลัวในที่ที่อาจต้องไป

ปัจจุบันแม้จะคิดถึงความตายเสมอ แต่ก็เฉยๆค่ะ

อยู่ก็ได้ ตายก็ตามแต่

ขอบคุณค่ะที่แวะไปเยี่ยมกัน

และบันทึกดีๆที่ชวนคิดค่ะ

คุณณัฐรดา ครับ

ขอบคุณครับ ขอให้มีความสุขครับ

คุณพลเดชคะ.....

เกี่ยวกับความตาย น้าจ้ารู้สึกเฉยๆค่ะ ยอมรับเกี่ยวกับความตายค่ะ ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพราะ ขออนุญาติใช้คำพูดนี้

Death comes in its own time, in its own way.

แต่ก็จะดีใจที่เวลาคิดถึงใคร แล้วเขายังอยู่และแน่นอนเราก็ยังอยู่ อิอิ...ก็ได้มีโอกาสเข้ามาทักทาย...

น้องแตงยังสนุกสนานกับการสีไวโอลินอยู่ใช่ใหมคะ? คุณยายน้าจ้าเอาใจช่วยค่ะ... :-)

น้าจ้าครับ

งั้นเราต่างคนก็ต่างดีใจนะครับ ที่เรายังอยู่ ได้มีโอกาสทักทายสนทนากันตามเดิม

ก็เพราะความตาย หมายไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ น่ะครับ จึงต้องคิดถึงความตายไว้บ้าง

อย่างน้อยก็ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวเราเอง ครอบครัวหรือคนที่เรารัก

ก็เพียงต้องพยายามให้เกิดปัญหากับคนอื่นน้อยที่สุด หลังจากเดินไปกับความตายครับ

น้องแตงแตงยังคงก้าวหน้ากับการเรียนไวโอลินอยู่ครับ ปีหน้าคงได้สอบเลือนขั้นไปอีก

ขอบคุณคุณยายจ้าครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท