เรื่องราวคนนอกกะลา [1]: เริ่มต้นเดินทางไปสำนักนอกกะลา
-----------------------------
ผมตั้งต้นเริ่มที่จะเขียนเรื่องราวการเดินทางไปยังโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาอยู่หลายครั้ง เงื้อง่าแต่ก็ยังไม่ได้เริ่ม เข้าใจว่าผมยังไม่ตกผลึกเพียงพอที่จะเขียนเล่า
ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ได้ก้าวเข้าสู่วงจรแห่งโอกาสตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าผมโชคดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการรับรู้เรื่องราวดีๆ ผ่านหนังสือ “โรงเรียนนอกกะลา” และมีโอกาสเจอครูวิเชียร ไชยบัง ในงานปาฐกครั้งหนึ่งที่กรุงเทพฯ
แล้ววันนี้ผมได้นั่งทานอาหารเย็นภายใต้บรรยากาศแห่งมิตรภาพ ร่วมกับ ครูวิเชียร ไชยบัง และ คุณ James Clark พร้อมกับครูสาวอีกสองท่านที่ตัวอำเภอลำปลายมาศ
ครูสาวคนหนึ่งเธอถามผมว่า “ผมรู้จักครูใหญ่ได้อย่างไร?”
ผมตอบเธอว่าเป็น “ธรรมะจัดสรร” หรือไม่ก็ “กฎแห่งแรงดึงดูด” ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสเจอกับกัลยาณมิตรอีกหลายๆท่านที่ผมไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบเจอ และผมก็ได้เจอ พร้อมกับร่วมงานด้วย
หลายชั่วโมงจากกรุงเทพฯ สู่ปลายทางลำปลายมาศ ผมไม่คิดว่าจะใช้เวลามากมายขนาดนี้ ผมเริ่มเดินทางออกจากกรุงเทพราวสองโมงเช้า รถติดตั้งแต่ออกจากบ้าน กว่าเดินทางไปถึงขนส่งก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง เหตุก็เพราะวันหยุดยาวนั่นเอง ทุกคนต่างก็คงเดินทางกลับบ้านนอก เพื่อไปพักผ่อนกับครอบครัวและทำบุญในวันสำคัญ
ยังไม่พอหลังจากที่จับรถเพื่อเดินทางมุ่งหน้าไปภาคอีสาน โดยรถทัวร์ไปโคราช ที่เพื่อนผมเคยบอกว่าใช้เวลาไม่เกินสามชั่วโมง เอาเข้าจริงรถก็ติดตั้งแต่ออกกรุงเทพ จนถึงวังน้อย และหมวกเหล็ก จากสามชั่วโมงเป็นห้าชั่วโมงกว่าๆ เล่นเอากว่าจะถึงโคราชผมดูสะบักสะบอม แต่ก็ยังโชคดีที่เพื่อนคนหนึ่งมาโฉบรับผมที่ขนส่งโคราช ไปทานข้าวปลาอาหารให้อิ่มหนำก่อนเดินทางต่อไปยังลำปลายมาศ โดยเขาอาสาขับรถไปส่ง ถึงจุดหมายปลายทางราวทุ่มเศษ วันทั้งวันผมใช้ชีวิตอยู่บนรถจริงๆ
ครูวิเชียรชักชวนผมมาพูดคุยกับครูที่ลำปลายมาศหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ผมรับปากและตกลงตามวันเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า แม้ว่าผมเองเพิ่งเดินทางไกลไปทำงานที่ ด่านซ้าย จ.เลย กลับมา กทม.นอนไม่ถึงห้าชั่วโมง แต่ผมรู้สึกว่าการเดินทางไปลำปลายมาศครั้งนี้มีความหมาย และผมก็ใจจดจ่อกับปลายทางที่ผมจะได้ไปสัมผัส สำนักนอกกะลา
หลายๆครั้งที่ผมพยายามเพียรถามถึงรายละเอียดที่จะให้ผมไปพูดคุยกับครูที่นี่ แต่ครูวิเชียร ยังคงตอบคำถามผมด้วยคำพูดเดิมๆว่า “ประเด็นอะไรก็ได้ และจัดเวลาได้ตามสะดวก”
คำตอบเปิดกว้างแบบนี้ทำให้ผมต้องมานั่งคิดกับตัวเองหลายวันเลยทีเดียว เพราะข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายผมน้อยมาก เมื่อโจทย์เปิดกว้างขนาดนี้ ผมเองก็คงต้องทบทวนตัวเองเป็นการใหญ่ว่า ผมมีอะไร? และควรแลกเปลี่ยนกับคุณครูที่ลำปลายมาศอย่างไร?
เป็นเรื่องลำบากใจไหม? หากคิดเร็วๆผมก็คิดว่า ผมค่อนข้างลำบากใจ และเห็นท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกของอนาคต แต่หากมองอีกมุมก็เป็นความผ่อนคลายผ่านความไร้กรอบของทั้งผมและครูวิเชียร หากเริ่มต้นแบบนี้ผมก็พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้...
“ทุกสิ่งถูกกำหนดไว้แล้ว”
ผมเชื่ออย่างนั้น และผมก็เชื่ออย่างนี้กับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ หากผมจะต้องพบกับสิ่งที่เป็นสิ่งใหม่ และท้าทายอยู่เสมอ ภารกิจที่ผมควรทำก็คือ ทำให้ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย
ผมรับรู้อย่างหนึ่งว่าบททดสอบครั้งนี้ ถูกรัดตรึงด้วย “มิตรภาพ” และ “ศรัทธา”
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
๒๗/๐๗/๒๕๕๓
ศาลายา,มหิดล
สวัสดีค่ะน้องเอก
พี่คิมก็เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ตอนโทรศัพท์คุยกันนั้นยังเพิ่งเริ่มออกเดินทางกลับ
ขออภัยค่ะ เข้าระบบไม่ได้ กำลังชั่งใจว่า...จะรวบรวมพลังมาเขียนบันทึกเหมือนกัน...ค่ะ
เสียดายมากที่เวลาตรงกัน
พี่ครูคิม
ทุกอย่างถูกจัดไว้เเล้วจริงๆครับ หากมีวาสนาคงได้ร่วมงานกัน
ผมจะรออ่านเรื่องราวจากหนองปลาหลดครับ หากเวลาไม่ตรงกันผมก็คงได้ไปงานนั้นครับ
สวัสดีค่ะ
เข้าระบบได้แล้วค่ะ มีพละกำลัง "บอกกล่าวผู้มีอุปการะคุณ" ก่อนค่ะ งานนี้เก็บโจทย์มามากมายค่ะ คุยกันไว้ว่าจะต้องตามไปเก็บการบ้านอีกสัก ๒ คืน
มันมากค่ะน้องเอก
---แวะมาเยี่ยมชมค่ะ
---พอดีเคยไปดูงานที่โรงเรียนนี้...ทึ่งในแนวความคิดของคุณครูใหญ่
---หากทุกโรงเรียนทำได้อย่างนี้คงดีไม่น้อยนะคะ
ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับพี่ครูคิม ผมจะรออ่านเรื่องราวจาก หนองปลาหลด นะครับ
คุณ modtanoi
ผมคิดว่า ทั้งวิธีคิด เเละ มุมมอง คือสิ่งที่ควรนำไปขยายผลต่อ เเม้ทำในภาพใหญ่ไม่ได้(เพราะมีข้อจำกัดอย่างที่เราทราบ) ผมก็คิดว่า น่าจะปรับวิธีิคดของคนเป็นครูได้ครับ
ผมขอให้กำลังใจครับ..
สวัสดีคะคุณเอก รอติดตามอ่านนะคะ เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจคะ
พี่แก้วเคยเกริ่นว่าน่าจะชวนคุณเอกมาถอดบทเรียนให้กับพยาบาลศรีนครินทร์บ้าง
พี่ไก่ครับ
ที่ลำปลายมาศ ผมไม่ได้ไปถอดบทเรียนหรอกครับ ไปพูดคุยกับครู เรียนรู้กับครู เเละผมเองก็ได้รับพลังที่ดีๆกลับมา
วันนี้ยังรู้สึกมีความสุข
เคยซื้อหนังสือ ผอ. โรงเรียนนี้มาอ่านเหมือนกันครับ สมัยเข้ารอบรางวัลพานแว่นแก้วเมื่อปีสองปีนี้ อยากบอกว่าท่านเป็นผู้มีความสามารถมากครับ มีวิสัยทัศน์ หายากครับผู้นำแบบนี้
นับว่าพี่เอกโชคดีมากๆๆครับที่ได้เดินทางเ็บเกี่ยวตลอดเส้นทางของชีวิตครับ
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้เมื่อสักปีเศษๆ...ชื่นชม...
น้องๆ ในแวดวงวรรณกรรมเคยไปทำงาน ณ ที่แห่งนั้น
เป็นอีกความภูมิใจของคนที่ราบสูง...
เป็นอีกความภูมิใจของมหาวิทยาลัยฯ ด้วยเหมือนกัน
พลังแห่งแรงดึดดูดมีจริง..
"ทุกคนต่างมีอุดมการณ์ที่ยึดถือแตกต่างกันไป แต่อุดมการณ์ของพี่เอกต่างจากคนอื่น ก็คือ อุดมการณ์ที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยพลังแห่งความศรัทธา.."
สวัสดีครับ น้องสุรชัย(ฟูอ้าจ) ครับ
หนังสือหลายเล่มที่อ่านของครูวิเชียร เป็นปรัชญาที่แทรกอยู่ในเนื้อหา อ่านเเล้วมีพลังครับ
สำหรับฟูอ้าจ ก็เช่นเดียวกันครับ ก็ต้องให้กำลังใจฟูอ้าจด้วย ต่างคนต่างหน้าที่เเละทำหน้าที่ที่อยู่ในมือให้ดีที่สุด
ผมโชคดีครับที่ได้รับโอกาสที่ดีเสมอๆ
คุณพนัส
เวลาผมคุยกับครูวิเชียร เเว่บหนึ่งก็คิดถึงคุณพนัสอยู่เสมอครับ
อาจเพราะผมมีความรู้สึกคล้ายกันเวลาคุยกันกับคุณพนัส
รับรู้ถึงพลังที่ครูมี เเละ ความมุ่งมั่น มีพลังอยู่เสมอ
มีโอกาสผมคิดว่า น่าจะมีเวลาดีๆที่ไปนั่งสนทนากันที่นั่น
(ผมหมายถึง ที่สำนักนอกกะลา)
สนธิพลังบ้างน่าจะดีครับ
วันนี้ผมเดินทางไปขอนแก่นครับ หากมีกิจธุระที่ขอนแก่นเชิญได้เลยครับ
จะได้เจอกัน
น้องครูป้อม (ราชิต)
ได้เจอตัวจริง เเละได้พูดคุยกับน้องเเล้ว
ก็รู้สึกถึงความตั้งใจของน้องครับ
เเละผมชื่นชมครูทุกคนเลย ได้มีโอกาสนั่งชมเรื่องราวของสำนักนอกกะลา
ตั้งเเต่เเรกเริ่ม ผ่านกิจกรรมในค่ำคืนนั้น ซึ่งป้อมบอกว่า ผมโชคดีมาก ...
ผมก็รู้สึกแบบนั้นนะครับ
การที่ได้ร่วมความรู้สึกในคืนวันนั้น...เหมือนผมเป็นหนึ่งในสมาชิกนอกกะลา
ภูมิใจเเทนน้องๆครับ
สวัสดีค่ะ...
ได้อ่านจากที่หลายๆคนกล่าวถึงโรงเรียนแห่งนี้แล้ว
ทำให้อยากอ่านมุมมองและความคิดจากบันทึกของน้องบ้าง
เพราะมองเห็นการพัฒนาทางด้านการศึกษาของโรงเรียนนี้แล้ว ขอบอกว่าไม่เบาเลยและอยากให้มีการขยายไปสู่อีกหลายๆที่ เผื่อจะได้เปลี่ยนแนวคิดเดิมๆ
มีความสุขกับการทำงานนะคะ
คุณเอก เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนหลายๆ คน รวมทั้งพี่จุ๊บด้วยค่ะ
จากที่ติดตามมาด้วยระยะเวลาพอประมาณ ขอชื่นชมความตั้งใจ
ในการทำงาน และทั้งคิดและลงมือทำ เพื่อคนอื่นด้วย
เป็นกำลังใจให้นะคะ
เชื่อว่าทุกคนมีเป้าหมายเหมือนกัน นั้นคือเป้าหมายที่ดีงาม แม้เราจะอยู่ไกลแค่ไหนคลื่นของความดีงามก็สามารถส่งถึงกันได้ และแรงดึงดูดของคลื่นความดีงามจะทำให้เรามีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกันและกัน
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา ได้พูดคุยกับครูใหญ่วิเชียร ครูใหญ่บอกว่าการที่จะทำให้เรารู้ว่าอนาคตเราจะดำเนินหรือเป็นไปในทิศทางไหนให้สังเกตสองอย่างคือ 1. หนังสื่อที่เราอ่านและ 2. คนที่เราคบหาด้วย ซึ่งพอได้ฟังแล้วกลับมาคิดใคร่ครวญมันก็ใช่อย่างที่ว่าจริง ๆ
พี่ยุทธ สิงห์ป่าสัก
ด้วยความระลึกถึงครับ
ผมเองก็ตะลอนทัวร์ ไปในหลายแห่ง ได้เขียนบ้าง ได้เล่าบ้างใน Gotoknow ไม่ค่อยสม่ำเสมอเท่าไหร่
เเต่ก็พยายามเขียนครับ เท่าที่เวลาเอื้ออำนวย
ดีใจมากนะครับ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิต อ.เอก มาพาพวกเรา ค.คุณครูใจดี เรียนรู้การถอดบทเรียน และ อื่น ๆ อีกมากมาย
ทำให้ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย
สวัสดีค่ะ
" ทำให้ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย"
ทำไปตามเหตุปัจจัยนะคะ
ขอให้สนุกกับงานค่ะ