บันทึกที่แล้ว ผมกะจะเล่าให้สั้นๆ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด เพราะบันทึกของผม ก็มักยืดยาวมาแต่ไหนแต่ไร และมันยังจะเป็นเช่นนั้นไปอีกนานและนานเลยทีเดียว (บันทึกนี้ก็เหมือนกัน)
บันทึกที่แล้ว ผมใช้ชื่อเรื่องว่า กล้าคิด กล้าทำ กล้ารับผิดชอบ และกล้าอุทิศตนเป็นครูสอนคนสอนงาน (เปิดเรื่อง) โดยมีกรอบสาระหลักคือ ชื่นชมและยกย่องมากเป็นพิเศษกับคนประเภทชอบทำงาน และชอบที่จะอุทิศตนเป็นบทเรียนให้กับเพื่อนและองค์กรอย่างไม่อิดออด มิหนำซ้ำ, ยังชอบอาสาที่จะทำงาน หรือเฝ้าแสวงหาโอกาสเพื่อพัฒนาตนเอง และเพียรพยายามตะกายหาพื้นที่ในการแก้ไขข้อบกพร่องอย่างไม่รู้จบ..
ครับคนจำพวกนี้ ผมพูดแบบตรงไปตรงมาว่า “น่ารัก-น่าเคารพ”
ล่าสุดโครงการ“ขับขี่ปลอดภัย...เปิดไฟใส่หมวก” ผมดูจะปล่อยวางการดูแลแบบถึงลูกถึงคนอยู่มาก เพราะเห็นว่าก่อนหน้านั้นกิจกรรมในลักษณะเดียวกันก็มีให้เรียนรู้แล้ว รวมถึงการพยายามให้ทีมงานได้ลงแรงคิดและลงแรงใจร่วมกันอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องพะวงว่า ผมจะไปปั้นหน้าบึ้ง “เช็คงาน” อยู่ใกล้ๆ เหมือนที่เคยเป็นมา
ในห้วงการเตรียมงานนั้น ผมบอกแต่เพียงสั้นๆ ในทำนองว่า “เมื่อต้องทำงานสักชิ้น ผมอยากให้ทุกคนหลับตาลงช้าๆ เมื่อสงบนิ่งก็ค่อยๆ จินตนาการเบิ่งมองไปสู่บริบทของงานที่กำลังจะมีขึ้น
ซึ่งมันจะทำให้เราเห็นภาพทุกมุมของงานได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อ เพราะหากยืนมองด้วยการเบิกดวงตาเพียงสองดวงเพียงอย่างเดียว-เชื่อเถอะ ผมยืนยันว่า “ไม่มีทางมองเห็น !” ดังใจหวังอย่างแน่นอน
ดังนั้น ครั้งนี้ผมจึงถอยมาเป็นผู้ร่วมเป็นเกียรติในงาน และเฝ้าสังเกตการณ์อยู่อย่างเงียบๆ พร้อมๆ กับการแสดงความจริงใจให้เขารู้ว่า “ผมเชื่อมั่นในความเป็นพวกเขา” และนั่นคือ “โอกาส” ของการพิสูจน์ตน และพิสูจน์ทีมที่ท้าทายอยู่อย่างน่ารัก
ทันทีที่ขบวนรณรงค์เคลื่อนตัวออกจากมหาวิทยาลัย ผ่านคณะต่างๆ มุ่งสู่ชุมชนรอบมหาวิทยาลัย พร้อมๆ กับการวกวนกลับมายังจุดเริ่มต้นในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง-ซึ่งผมพยายามสังเกตและเก็บข้อมูลทั้งเรื่อง “กระบวนการทำงาน” และ”พฤติกรรม” ของผู้เข้าร่วมโครงการอย่างนิ่งเนียน ด้วยหวังว่าจะนำมา “ถอดบทเรียน” (After Action Review-AAR) ให้เป็นปัจจุบันที่สุดเท่าที่จะกระทำได้
เมื่อขบวนจอดนิ่งสนิท ต่างคนต่างพักเหนื่อย และทยอยเข้าร่วมกิจกรรมในส่วนที่เหลือ ซึ่งนั่นก็คือการประกวดตัดสติ๊กเกอร์ตกแต่งหมวกนิรภัยนั่นเอง
เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ผมได้เชิญทีมงานมานั่งสนทนากันใต้ร่มไม้ใกล้ๆ กับสถานที่จัดงาน เพื่อนำเข้าสู่การ “เช็คงาน” หรือ “ถอดบทเรียน” ในบางเรื่อง เพื่อให้สามารถนำไปแก้ไขในส่วนที่เหลือได้ทัน และเพื่อให้เกิดความสดของการเรียนรู้ ผมเลยต้องพูดคุยกันด้วยวิธีของเราเอง
ผมบอกกับทีมงานว่า
ถัดจากนั้น เราก็เริ่มคุยกันแบบสบายๆ ถึงปมประเด็นที่เกิดขึ้นกับงาน โดยส่วนใหญ่ก็พยายามสะกิดให้เจ้าของงานสะท้อนออกมาว่า ทำอะไรอย่างไรบ้างแล้ว...ได้ผลอย่างไร..และค้นพบอะไรไปบ้างแล้วจากเวทีนี้
ครับ-ประเด็นนี้ ชัดเจน ผมเองก็เห็นพ้องด้วย เพราะเจ้าของงาน ไม่ควรทำทุกเรื่อง แต่ต้องทำหน้าที่กำกับและประสานงานให้รอบด้าน รวมถึงการทำหน้าที่ประเมินผลเป็นระยะๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขยับเข้าหาผู้เกี่ยวข้อง อันเป็นกระบวนการของการนำพาไปสู่การแก้ปัญหาที่อาจกำลังจะเกิดขึ้น
ถัดจากนั้น เราก็ช่วยกันสังเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นแบบเปิดใจ เช่น รถนำขบวนไม่มีเครื่องเสียงประชาสัมพันธ์ (ทั้งๆ ที่ย้ำก่อนนั้นว่าสำคัญมาก) ก่อนเคลื่อนขบวนไม่มีการพูดให้ความรู้ในเรื่องทักษะการขับขี่ หรือความรู้อันเป็นกติกามารยาทของการใช้ถนน ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณไฟเลี้ยว การพูดคุยในระหว่างขับขี่ เป็นต้น...
นอกจากนั้นยังโยงถึงปัญหาเรื่องพิธีกรที่ไม่ได้รับข้อมูลที่รอบด้านจากฝ่ายผู้จัด ทำให้กระบวนการสื่อสารไม่มีชีวิตเท่าที่ควร รวมถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการดูแลหน่วยงานอันเป็นภาคีที่มาช่วยเหลือ หรือแม้แต่การจัดเก็บข้อมูลสถิติของการเข้ารับบริการทั้งซ่อมบำรุงและเปลี่ยนถ่ายชิ้นส่วนต่างๆ ของจักรยานและจักรยานยนต์
ครับ, นั่นเป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้จัดมองข้าม และเป็นกระบวนการเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมสร้างเวทีขึ้น เพื่อให้ทีมงานเห็นความสำคัญของการการเรียนรู้ที่จะทำงานกันเป็น “ทีม” และเห็นความสำคัญของการ “เช็คงาน” เป็นระยะๆ รวมถึงการสรุปเพื่อถอดบทเรียนในห้วงท้าย หรือแม้แต่ถอดบทเรียนเป็นระยะๆ ในแต่ละห้วงตอน (ก็สามารถทำได้)
โดยส่วนตัวนั้น ผมถือว่าน่าชื่นชมตรงที่ว่า เจ้าของงานและทีมงานกล้าคิด กล้าทำและกล้ารับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และกล้าที่จะเปิดเปลือยบาดแผลจากการงานในครั้งนี้ให้คนอื่นได้เรียนรู้เพื่อการพัฒนาตน-พัฒนางาน-พัฒนาองค์กรไปพร้อมๆ กัน
จากที่ไม่เคยสัญจรไปสู่ชุมชน ก็กล้าที่จะขยับออกไปสู่ชุมชน...
กล้าที่จะคิดนอกกรอบทำจักรยานผูกโบว์ ...
กล้าที่จะมานั่งถอดบทเรียนร่วมกันแบบไม่กลัวหรืออายว่าคนอื่นจะเห็นบาดแผลที่เกิดจากการงานนั้นๆ...
และกล้าที่จะเปิดรับการถูกวิพากษ์ หรือแม้แต่พิพากษาจากการประเมินว่า สำเร็จ หรือไม่สำเร็จ ...
มิหนำซ้ำ ยังประกาศตนว่า จะรีบสรุปผลร่วมกับทีมงาน เพื่อส่งต่อไปยังคนอื่นๆ เพื่อให้งานต่อไป มี “ทุน” แห่งการต่อยอด จะได้ไม่ผิดพลาดในโจทย์เดิมๆ อีกต่อไป
ซึ่งบรรยากาศแบบนี้ ต้องบอกว่า แทบไม่ปรากฏมาให้พบเห็นเลยในก่อนหน้านี้...
ด้วยเหตุนี้แหละครับ ผมถึงบอกว่า คนประเภทไม่ทำอะไร และปล่อยให้ภาระตนเองกลายเป็นภาระคนอื่น ผมว่าคนประเภทนี้ “น่าตี-น่าหยิก”
แต่คนประเภทอาสาทำ และกล้าที่จะรับผิดชอบต่อผลพวงชะตากรรมที่เกิดขึ้น รวมถึงกล้าที่จะอุทิศบาดแผลที่ตนเองได้รับเป็นบทเรียนให้กับคนอื่นได้ดู ได้เห็นอย่างไม่อาย ...ด้วยหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนและองค์กรของตัวเองนั้น ผมว่าคนประเภทนี้ “น่ารัก-น่าเคารพ” และน่า “สอนงาน” เป็นที่สุด
และที่สำคัญ คนประเภทนี้ก็หมายถึง คนประเภท “จิตอาสา” ด้วยเหมือนกัน ซึ่งผมว่า ถ้ามีอยู่แล้วก็ควรต้องดูแล –ส่งเสริม สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
จึงได้แต่หวังว่า คนประเภทนี้ จะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ ไม่ใช่ซ้ำๆ หรือย่ำอยู่กับกระบวนการและปัญหาเดิมๆ จนมองไม่เห็นพัฒนาการ (อย่างนี้ก็ไม่ไหว เหมือนกัน -ฮา)...
ท่านล่ะครับ มีสักกี่เรื่องสักกี่ตอน ที่เปิดเปลือย, แอ่นอกเปิดเผยเป็นบทเรียนให้กับคนรอบกายและองค์กรได้เรียนรู้อย่างน้ำใสใจจริง
สำหรับผมนั้น..ที่ๆ กำลังทำอยู่นี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการถอดบทเรียนจากบาดแผลของตัวเองแทบทั้งสิ้น เพราะผมอยากให้คนรุ่นหลังได้มีระบบของการ “สอนงาน-สร้างทีม” กันจริงๆ ผมไม่อยากให้พวกเขา เคว้งอยู่ในถนนแห่งการพัฒนาตนและพัฒนาองค์กรดังที่ผมประสบและพบเจอมาอย่างแสนสาหัส....
และที่สำคัญ คนประเภทกล้าคิด กล้าทำ กล้ารับผิดชอบ และกล้าอุทิศตนเป็นครูสอนคนสอนงานนั้น หากมีในองค์กรแล้ว ต้องช่วยกันดูแลและสอนงานให้มากๆ นะครับ ส่วนจะสอนด้วยสไตล์ไหน วิธีการใด ตรงนั้น, ลองพิจารณาดูกันเองก็แล้วกัน
(ยังไงๆ ..บันทึกนี้ก็ยืดยาว และฟุ่มเฟือยอยู่ดี-ผมแจ้งตั้งแต่ต้นแล้วนะครับ)
หมายเหตุ..
ตอนนี้ภายในมหาวิทยาลัย
มีการตรวจจับตัดคะแนนวินัยจราจรอย่างละ 5 คะแนน (หมวก,ย้อนศร,ซ้อนสาม,ฯลฯ)
คนที่ทำงานร่วมกันเป็นทีมกับผู้อื่นได้...อย่างจิตอาสาและรู้งาน
แน่นอนย่อมใช้คำว่า...น่ารัก..น่าเคารพและน่าสอนได้อย่างเต็มใจรวมทั้งขอเติมให้อีกคำหนึ่งว่า....น่าคบด้วยค่ะ
คนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็ต้องช่วยๆกันผลักดันให้เกิดการพัฒนาทั้งตัวบุคคล ทีมงานและองค์กรต่างๆอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อจะได้มองเห็นอย่างชัดเจนถึงผลที่เกิดขึ้น
ถึงบันทึกจะยาวแต่..ในเมื่อมีเนื้อหาสาระก็ไม่แปลก
ขอบคุณกับบันทึกนี้นะคะ...
สวัสดีครับท่านอาจารย์ แผ่นดิน
กำลังคิดอยู่พอดีว่า ทำไมเราไม่ปลูกฝังสิ่งที่งดงามแบบนี้(กล้าคิด กล้าทำ กล้ารับผิดชอบและกล้าอุทิศตนเพื่อสังคม)ให้กับนักเรียนตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน ตั้งแต่อนุบาลกันเลย พอได้อ่านบันทึกนี้ เลยโดน ชื่นชมวิธีคิด ขอให้ประสบความสำเร็จ มีความสุขสนุกกับการทำงานและโชคดีครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์แผ่นดิน
“ผมเชื่อมั่นในความเป็นพวกเขา” และนั่นคือ “โอกาส” ของการพิสูจน์ตน และพิสูจน์ทีมที่ท้าทายอยู่อย่างน่ารัก
ขอชื่นชมมากค่ะ คนเราทุกคนย่อมต้องการโอกาส และเมื่อมีโอกาสแล้วจะต้องสร้างสรรค์งานให้คุ้มค่ากับโอกาสที่ได้รับ
การที่เราถอยมาเป็นผู้ชมผู้มองบ้าง ทำให้เราเห็นภาพทุกมุมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การติดตามประเมินผลการทำงาน ทำให้ทราบข้อบกพร่อง และหาวิธีปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นอย่างตรงจุดตรงประเด็น ที่สำคัญที่สุดเมื่อเปิดวงสนทนา ทุกคนต้อง "เปิดใจ"
ไม่แปลกค่ะที่บันทึกจะยาว แต่เปี่ยมด้วยคุณค่าและสาระ ชอบค่ะ เก็บเกี่ยวสาระไปปรับใช้เพื่อพัฒนางานได้ดีทีเดียว
ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ
** ส่งความคิดถึงไว้ให้คุณอาจารย์แผ่นดินและลูกชายที่น่ารักค่ะ **
** ขอให้ประสบแต่ความสุขสมปรารถนาในทุกๆ สิ่งนะคะ **
** รักษาสุขภาพ พักผ่อนเยอะๆ นะคะ**
** ด้วยความระลึกถึงค่ะ**
ตามมาเชียร์คนทำงานชอบแบบนี้จังเลยครับ ตอนนี้ภายในมหาวิทยาลัย
มีการตรวจจับตัดคะแนนวินัยจราจรอย่างละ 5 คะแนน (หมวก,ย้อนศร,ซ้อนสาม,ฯลฯ)
อรุณสวัสดิ์ค่ะ
กิ๊ดเติงหาจั๊ดนักเจ้า
ไม่ได้เข้ามาบันทึกนานมาก ขอสูมาด้วยเน้อ
เพราะกำลังวุ่นวายกับเรื่องไร้พุง
อ่านบันทึกนี้แล้ว
พี่เขี้ยวขอเอาไปใช้ AAR ในงานตัวเองบ้างนะ
เขี้ยวได้แจ่มแจ้งเลยค่ะ
สวัสดียามเช้าค่ะ
การมอบงานไม่ทั่วถึงดูเป็นส่วนเกิน เพราะไม่เชื่อใจ เขาจะทำได้เหมือนตัวเอง มีมากในปัจจุบัน แล้วเหนื่อยเองแล้วก็บ่นว่าเหนื่อยทำงานมาก แล้วเขาเคยคิดไหมว่าเพราะอะไร ทำให้นึกถึงงานประเพณีต่างๆงานบุญ ฯ ที่รวมแรงร่วมใจแบ่งกันทำงานอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องบอกกล่าวโดยธรรมชาติที่เต็มใจช่วย เป็นตัวอย่างให้
คนรุ่นหลังมองอย่างประทับใจ หากผู้มองพิจารณแล้วคิด นำมาเป็นบทเรียน ได้เสมอ ในการปฏิบัติงานที่เป็นทางการ เมื่องานจบต่างแยกย้ายเลยก็จบ แต่ถ้าผู้จัดนำ สรุปงานโดยนำผู้ร่วมงานมาบอกกล่าวด้วยหรือรวมทั้งหมดของผู้ร่วมงานอีกครั้งเหมือนเช่นก่อนเริ่มงาน โดยกำหนดเวลาให้เพื่อตรงนี้ด้วย ก็จะดีที่ช่วยกันสรุปได้ทราบว่าทุกคนรู้สึกอย่างไรในการจัดครั้งนี้ และแนะนำการแก้ปัญหาไว้ก่อนมีการจัดใหม่ในครั้งต่อไป ปัญหาครั้งใหม่ก็อาจไม่มีเลย หากมีก็น้อยลง แต่งานไหนงานนั้นส่วนใหญ่รีบกลับเหลือแต่ทีมงานที่จัดมาคุยกันเองและเวลาจะจัดใหม่ก็สรุปปัญหาเองโดยไม่ถามผู้ที่เคยร่วมงานว่าดีหรือไม่ควรเพิ่มสิ่งใด แล้วผู้ร่วมงานกลับไปเขาก็ไปบ่นว่ากล่าวกันโดยที่ทีมงานก็อาจไม่ทราบปัญหาเลย คือ ทุกคนกลับโดยไม่มีการ ...ลา..น่าจะมีเวลาให้โอกาส เขาฝากคำพูดไว้ก่อนกลับว่ารู้สึกอย่างไรกับงานที่มาร่วมการทำกิจกรรมเพราะบางคนเจอปัญหาแต่ไม่บอก แต่ไปคุยกันเอง ควรให้โอกาส กับผู้ร่วมงาน...กล้าพูด กับผู้จัด ไม่ใช่เฉพาะทีมงาน
" กล้าคิด กล้าทำ กล้ารับผิดชอบ กล้าอุทิศตน เป็นครูสอนงานนั้น"หากมีการเริ่มสอน ตั้งแต่เด็กๆ ก็จะดีมาก แต่ครูและอาจารย์ผู้สอน ก็ต้องสอนให้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง แล้วจะมีครูสักกี่คนที่ทำได้ทั้งตัวเองและสอนนักเรียนได้ ครูเป็นบุคคล ที่มีโอกาส ที่สุด ในการสอนนิสัยคน ขอบคุณนะคะ
การมอบหมายงานเป็นสิ่งสำคัญค่ะ
เพราะบางคนก็ไม่รู้จะทำอะไรไม่ใช่เพราะไม่อยากช่วย
และ การมอบหมายงานโดยทั่วไปจะนิยมมอบหมายให้ตามความสามารถหรือความถนัด
เพื่อจะให้ผลงานออกมาดี แต่ บางครั้ง By Jan อยากให้ลูกน้องพัฒนาตน By Jan ก็จะมอบหมายงานที่เขาไม่ถนัดบ้าง และคอยให้กำลังใจหรือหาพี่เลี้ยงให้ ซึ่งในที่สุดเขาจะค้นพบว่า เขาทำได้ บางครั้งทำได้ดีกว่าหัวหน้าหรือพี่เลี้ยงซะอีก
อ่านแล้วสะกิดความคิดได้ดีค่ะ จากประโยคนี้"รถนำขบวนไม่มีเครื่องเสียงประชาสัมพันธ์ (ทั้งๆ ที่ย้ำก่อนนั้นว่าสำคัญมาก)ควรทำสมำเสมอนะคะ...แต่ไม่ใช่จู่โจม...คำว่าจู่โจมหมายถึงอยู่ๆก็จับผิด...โดยเฉพาะการจับผิดโดยมิทันตั้งตัวทางด้าน"ความรู้อันเป็นกติกามารยาทของการใช้ถนน"หรือกฎจราจร"ถ้าหากว่ารณรงค์ไม่สมำเสมออาจจะเป็นช่องว่างในการกระทำผิดกฎจราจรบ่อยครั้งได้ค่ะ...ขอบคุณค่ะ
ให้ทีมงานได้ลงหน้างานและตัดสินใจด้วยตนเอง ผู้บริหารก็ถอนตัวออกมาให้กำลังใจ
สุดยอดการบริหาร จัดอยู่ในประเภทขายความคิด
เรียนท่านอาจารย์แผ่นดิน
ขอบคุณสำหรับบันทึกที่เป็นประโยชน์นี้นะคะ ดิฉันเองก็มีปัญหาเรื่องการสอนงานเหมือนกันค่ะ พยายามหลายครั้งแล้วยังไม่เป็นที่น่าพอใจเลยค่ะ
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์
มาให้กำลังใจคนที่กล้าคิด กล้าทำ กล้านำ(ขออนุญาตเติม)กล้ารับผิดชอบและกล้าอุทิศตนเป็นครูสอนคนสอนงาน .....ลุยต่อค่ะ
หาคนที่จะคิดค้นโครงการใหม่ ๆ ทำสิ่งใหม่ ๆ นั้นยาก ดีนะอย่างน้อยเราก็ภูมิใจในผลงานของตน ทำจากส่วนเล็กๆอาจจะกะทบส่วนที่ใหญ ๆ ก้ได้ใครจะรู้
ขอชื่นชม เรื่องหมวกกันน็อค มาก
เพราะ ผมรู้สึกว่า ปัญญาชน ใน มาหวิทยาลัย โง่มาก
ไม่ยอมใส่ หมวกกันน็อค
ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ กับบทความดีๆ เป็นประโยชน์ เป็นครูจะพยายามสอนให้นักเรียนเป็นคนกล้าคิด กล้าทำ มีความรับผิดชอบ จะได้เป็นเยาวชนที่มีคุณภาพต่อไป
บุคลิกลักษณะ และนิสัยของคนที่จะเป็นคนยอมรับ เปิดใจ เป็นผู้ให้นั้น ผมคิดว่าสามารถที่จะพัฒนาได้ โดยเฉพาะในวัยที่ยังอยู่ในรั้วโรงเรียน เพราะฉะนั้นโรงเรียนจึงมีความสำคัญมาก ที่จะสอนให้เด็กเป็นผู้ให้ "ยิ่งให้มาก ยิ่งได้มาก" ต้องสอนให้เด็กมีความคิดที่เป็นเหตุและเป็นผล ดังที่ศาสนาพุทธเน้นย้ำในเรื่องความสำคัญของเหตุและผล
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
“เช็คงาน” หรือ “ถอดบทเรียน” ในบางเรื่อง เพื่อให้สามารถนำไปแก้ไขในส่วนที่เหลือได้ทัน และเพื่อให้เกิดความสดของการเรียนรู้ แนวทางแห่งการพัฒนาครับ