แล้วสาเหตุของปัญหามาจากไหน? หากเราย้อนดูทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม(Social learning) ของ Bandura ก็จะพบว่าแนวทางปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมที่ยั่งยืนต้องใช้กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม ให้เกิดการซึมซับไปทีละเล็กละน้อยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตัวแบบ(Modelling) และกระบวนการกลุ่มจะมีบทบาทสูงในการกล่อมเกลาให้เกิดการซึมซับ
แต่เมื่อเราหันมาดูสภาพแวดล้อมในสังคมบ้านเรา ตัวแบบก็แทบจะหายากเต็มที เท่านั้นยังไม่พอ จากข้อมูลที่ไม่เป็นทางการในแต่ละโรงเรียนยังพบว่า เกือบทุกโรงเรียนมีนักเรียนที่ไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ หรือมีครอบครัวที่แตกแยกเกินครึ่ง (ใครลองทำวิจัยสำรวจประกาศบอกสังคมหน่อยก็จะดี) ปัญหาทั้งหลายถาโถมมาที่โรงเรียนทั้งหมด ภาระของครูก็มากมายจิปาถะ เดี๋ยวนี้ถึงมีระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนแล้ว ก็ยัง X-rays ไม่ทั่วถึง
กิจกรรมของโรงเรียนที่ปลูกฝังเรื่องนี้มีเป็นจำนวนไม่น้อยที่ยังเป็นลักษณะโปรยหว่าน ทำเป็นท่อนๆหย่อมๆ ไม่มีลักษณะซึมซับ แม้แต่โรงเรียนในโครงการวิถีพุทธด้วยกัน ซึ่งต่างก็ยึดหลักไตรลักษณ์(ศีล สมาธิ ปัญญา) เหมือนกัน แต่วิธีปฎิบัติก็จริงจังต่างกัน ยังมีโรงเรียนไม่น้อยที่ยังทำแบบโปรยหว่าน เช่น อบรมหน้าเสาธง นั่งสมาธิ 1-2นาที เชิญวิทยากรมาบรรยาย จัดนิทรรศการ ฯลฯ เมื่อทำเสร็จแล้วก็แล้วเลย
แต่ก็มีบางโรงเรียนที่พยายามทำให้นักเรียนเกิดการซึมซับอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่ายกย่องอย่างยิ่ง เช่น นิมนต์พระมาให้ครูและนักเรียนใส่บาตรตอนเช้าทุกวัน ซึ่งเด็กบางคนอาจไม่ได้ใส่บาตรได้ทุกวันแต่ก็ได้เห็นได้ซึมซับ(มีจิตที่อนุโมทนา) เมื่อกลับไปบ้านก็มีแนวโน้มจะชักชวนพ่อแม่ไปใส่บาตรบ้าง รวมทั้งส่งเสริมให้เด็กสวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน พานักเรียนไปสวดมนต์ไหว้พระที่วัดและนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่อง นิมนต์พระมาสอนธรรมมะ ฯลฯ แล้วมีการติดตามการปฏิบัติตน มีการวิเคราะห์ผลที่เกิดขึ้นร่วมกัน แล้วใช้การเสริมแรงหลายๆรูปแบบ ซึ่งถ้าทำอย่างต่อเนื่องเชื่อว่าน่าจะซึมซับให้นักเรียนมีจิตใจที่อ่อนโยน ละเอียดอ่อนมากขึ้น และจะส่งผลต่อการมีสมาธิในการเรียนหนังสือด้วย
จึงอยากเชิญชวนให้มาช่วยกันปลูกฝังเยาวชนด้วยวิธีซึมซับมากกว่าการใช้วิธีโปรยหว่าน..