จากสถานการณ์ระบบสุขภาพในปัจจุบัน การทำงานที่ล้นมือ ประชาชนดูแลตนเองไม่ได้ ผู้ป่วยเข้ามารับบริการมากขึ้น ความคาดหวังเพิ่มขึ้น การป้องกันและสร้างเสริมสุข ภาพอยู่ระหว่างดำเนินการยัง ไม่เห็นผล ระบบสาธารณสุขยังไม่ดีพอ ความเท่าเทียม การกระจาย ความทั่วถึงยังมีปัญหา ถามไป ถามมา ปัญหาอยู่ที่ ขาดคน ขาดเงิน ขาดของ ทำให้ขาดคุณภาพไปด้วย ระบบสุขภาพจึงมองหาแต่อวัยว ะ ปวดหัว ก็จะรักษาแต่ปวดหัว แต่ไม่เคยค้นหาว่าเป็นอะไรถ ึงปวดหัวมา คนไข้เครียดเรื่องลูกชาย เราไม่อยากฟังเพราะเราจะฟัง แต่เรื่องโรคของเขาเท่านั้น ทำให้ความเป็นมนุษย์ของคนถู กบั่นทอนลงไป
การทำงานของบุคลากรทางการแพ ทย์จึงมีแต่ความทุกข์ เครียด ทำงานโดยขาดการเห็นคุณค่าและความหมายของงานที่มีต่อชีวิตและความเป็นมนุษย์ การทำงานจึงเป็นแค่ทำตามนโยบาย ไม่กระตือรือร้น ทำตามตัวชี้วัด แต่ตัวชี้วัดตัวเดียวกันให้ความหมายของคุณค่าของงานต่างกันมาก เช่น Pap smear ที่รพ.ภาคกลาง กับ pap smear ที่รพ.แถบๆ จ.แม่ฮ่องสอน กว่าจะได้สักแป๊บ.... ไม่ใช่แป๊บง่ายๆ เลย ดังนั้นคุณค่าของงาน Pap smear ของเขา มีคุณค่ามากกว่าการนับเป็นครั้ง หรือนับเป็นร้อยละ
(เนื้อหาส่วนใหญ่ได้จากท่านอ.ดร.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ค่ะ )
การทำตามตัวชี้วัดเชิงปริมาณทำให้ขาดความละเอียดอ่อน ขาดแรงบันดาลใจ ไม่เชื่อมโยงกับอุดมคติของชีวิต งานประจำจึงเป็นแค่เพียงงานก่ออิฐ เหมือนเรื่องเล่า คนสามคนที่ก่ออิฐอยู่ ชายคนแรกบอกว่าก็กำลังก่ออิฐ คนที่สองบอกว่ากำลังก่อกำแพง คนที่สามบอกว่า กำลังสร้างวัดเพื่อที่จะให้เป็นการทำนุบำรุงพุทธศาสนา แล้วเราล่ะ...ทำงานอะไรอยู่...
งานก่ออิฐเป็นการทำตามคำสั่ง งานคุณภาพกลายเป็นงานที่ต้องบังคับ ต้องสั่ง ที่ต้องรณณงค์ทำกันก่อนวันที่จะมีการเยี่ยมสำรวจ งานคุณภาพ กลายเป็นยาขม ไม่สร้างสรรค์ ดังนั้น....เราควรหันมามองคุณค่าของงานเรา ขับเคลื่อนจากพลังที่ตื่นรู้จากภายใน เป็นคุณภาพที่มาจากใจอย่างแท้จริง
การทำ service profile ที่บอกหน้าที่และเป้าหมาย ประเด็นสำคัญคุณภาพ ที่เราต้องเติมนั้น มีที่ว่างสำหรับบรรยายความรู้สึกของคนทำงานเพื่อองค์กรบ้างไหม เจ้าหน้าที่ซักฟอกที่เป็นเพื่อนกับผอ.รพ.มานาน ทำกิจกรรมร่วมกัน ดูนกได้เก่งกว่าผอ. เวลาทำงานเป็นลูกน้อง ซักเสื้อผ้าให้ผอ.อย่างดีและดูแลคนไข้ของผอ. ด้วยการซักผ้าที่สะอาด จนกล้าที่จะนำมาห่มและปูนอนเอง นี่คือความภูมิใจของเขา เราจะทำให้ service profile กลายเป็น life service Profile ได้อย่างไร
การนำเรื่องเล่า มาปลุกเร้าให้เห็นประเด็นมาตรฐาน โดยการใช้เรื่องประติหาน เป็นตัวเดินเรื่อง สร้างความประทับใจและเห็นภาพการทำงานที่เหนือกว่ามาตรฐาน มากๆ ค่ะ
ติดต่ามเรื่องประติหานได้เลยค่ะ....ข้างล่างนี้ ....
ประติหานเป็นชื่อของเด็กชายคนหนึ่งที่คลอดที่โรงพยาบาลผม นัยว่าพ่อแม่ตั้งให้เพราะการลืมตาดูโลกของประติหานถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับครอบครัว ถ้าไปเปิดเวชระเบียนจะพบว่าตอนวันที่ประติหานจะลืมตาดูโลกนั้น แม่ของประติหานอายุ 36 ปี ตั้งท้องได้ 36 สัปดาห์กว่าๆซึ่งยังไม่ครบกำหนดคลอดดีนัก เมื่อเธอมาถึงห้องฉุกเฉิน พยาบาลพบว่าประติหานเอาก้นออกมาทักทายแล้ว แพทย์เวรจึงต้องทำคลอดท่าก้นที่ห้องฉุกเฉินกันตอนนั้นเลย แล้วประติหานก็ออกมาได้ด้วยอาการอ่อนปวกเปียก น้ำหนักตัว 2300 กรัม ต้องดูแลโดยใกล้ชิด ประติหานนอนโรงพยาบาลนานกว่าเด็กแรกเกิดทั่วไป เพราะมีภาวะไข้แทรกซ้อน เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นใน โรงพยาบาลชุมชน 30 เตียง อ่านถึงบรรทัดนี้ หลายคนคงถึงบางอ้อ ว่าทำไมพ่อแม่จึงตั้งชื่อว่า-ประติหาน-แต่ชีวิตไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะแม่ของประติหานมีภาวะอัมพาตครึ่งซีกตั้งแต่ตั้งท้องได้แค่4 เดือน!! เธอต้องใส่สายสวนปัสสาวะและนอนอยู่บนเตียงเกือบตลอดเวลา ทั้งๆที่เธอก็มีลูกอยู่ในท้อง ลูกที่เธอไม่รู้ว่าเกิดมาจะสมบูรณ์แค่ไหนเพราะเธอและสามีอายุมากแล้ว ประกอบกับความพิการของเธอ แต่เธอก็หวังที่จะได้เห็นหน้าลูกของเธอย้อนกลับไปดูครอบครัวของประติหานนั้น พ่อแม่เป็นชาวนาชนบทธรรมดานี่เอง ฐานะก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนัก พ่อแม่มีลูกแล้ว3คน เป็นลูกสาวทั้งหมด แต่ยังไม่ได้คุมกำเนิด วันหนึ่งแม่ก็ตั้งท้องประติหาน พ่อแม่เคยคุยกันเรื่องทำแท้ง แต่ก็คิดว่าเมื่อเด็กเขาอยากมาเกิด ก็ไม่ควรไปทำลายเขา จากนั้นครอบครัวก็ช่วยกันดูแลแม่ตามอัตภาพ
แล้ววันหนึ่งชะตากรรมก็ส่งแบบทดสอบอันสาหัสมาให้ครอบครัวนี้ เมื่อเธอท้องได้4เดือนเมื่อญาติข้างบ้าน ซึ่งมีอาการทางจิตเวชแล้วขาดการรักษาไปนาน อยู่ๆก็เกิดอาการคลุ้มคลั่ง คว้าปืนลูกซองออกมายิงกราด ขณะที่เธอนั่งพักผ่อนอยู่ใต้ถุนบ้านของเธอเธอตกอยู่ในทางปืนโดยไม่รู้ตัว กระสุนลูกซองหลายลูกฝังเข้าไปในใบหน้า ลำคอ ในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ชีวิตเธอกลายเป็นอัมพาตครึ่งซีก แขนซ้ายขาซ้ายเคลื่อนไหวไม่ได้ !เธอถูกพลเมืองดีนำส่ง โรงพยาบาลชุมชน ในทันที ผมซึ่งเป็นแพทย์เวรได้ส่งต่อผ่านโรงพยาบาล จังหวัด จนถึง โรงพยาบาล ศูนย์ ในวันเดียวกันสามีเธอรับฟังคำอธิบายจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วยใบหน้าที่เปื้อนด้วยน้ำตา เมื่อรู้ว่าคู่ชีวิตของเธออาจไม่มีโอกาสกลับมาเป็นปกติ และการตั้งท้องต่อจะมีความเสี่ยงทั้งแม่และลูก
“หมอครับ ทำแท้งได้ไหมครับ เมียผมยังท้องอ่อนๆอยู่”
“จากผล ultrasound ตอนนี้เด็กในท้อง อายุได้ 4 เดือนกว่าๆ น่าจะเป็นผู้ชาย การทำแท้งก็มีความเสี่ยงนะครับ ยังไงลองคุยกันดูก่อน”
ลูกชาย ! คำๆนี้ทำให้เธอและสามีตัดสินใจยากอย่างยิ่ง ลูกชายที่รอมาทั้งชีวิต แต่สภาพแม่ที่พิการไป อนาคตจะเป็นเช่นไร
“หมอครับ ผมกับเมียตัดสินใจแล้ว เราจะไม่ทำแท้งครับ เราอยากได้ลูกชาย”
ผมพบเธออีกครั้งที่ห้องฉุกเฉิน ในอีก1เดือนต่อมา เธอนอนมาบนฟูก มีปัญหาสายสวนปัสสาวะ ขณะนั้นมดลูกเธอใหญ่จนสังเกตได้ว่าตั้งท้อง ผมตะลึงเมื่อรู้ว่าเธอพิการและต้องการตั้งครรภ์ต่อไป สีหน้าเธอและสามีดูอมทุกข์ แต่แววตายังฉายแววของการไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา แต่ก็ดูเธอและเขาต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน การวางถุงปัสสาวะที่ผิดหลักและจากการถามการปฏิบัติตัวคร่าวๆ ก็พอประเมินได้ว่ายังขาดความรู้ที่ต้องรู้อีกมาก ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างปัญหาจะซับซ้อนยิ่งขึ้นความคิดบางอย่าง ก่อตัวขึ้นในสมองผม
1 สัปดาห์ต่อมา ผมพาทีมเจ้าหน้าที่ไปดูที่บ้าน มีพยาบาลงานสุขภาพจิต งานห้องคลอด พยาบาล ผู้ประสานงานเยี่ยมบ้าน นักกายภาพบำบัด เภสัชกร พวกเรามีความรู้สึกอย่างเดียวกันว่าอยากช่วยเหลือเธอ พยาบาลสุขภาพจิตประเมินภาวะซึมเศร้าพบว่ากำลังใจยังดี พยาบาลห้องคลอดให้คำแนะนำเรื่องการดูแลครรภ์ อีกคนหนึ่งให้คำแนะนำเรื่องการดูแลสายสวนปัสสาวะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ นักกายภาพแนะนำเรื่องการออกกำลังกายป้องกันข้อติดและฟื้นฟู รวมทั้งการพลิกตัวเพื่อป้องกันแผลกดทับ จากนั้นเราก็ออกไปเยี่ยมเธอเดือนละ1-2 ครั้งบางทีก็ฝากเจ้าหน้าที่ สถานีอนามัย ไปดูแล สีหน้าเธอดูมีความสุขขึ้นแม้ว่าท้องจะใหญ่ขึ้นทำให้ลำบาก แต่เธอก็ไม่ท้อ ทุกคนยังกำลังใจเข้มแข็ง บางครั้งพาเธอมา ultrasound ที่โรงพยาบาลก็พบว่าเด็กยังเจริญเติบโตสมกับอายุครรภ์ 1 สัปดาห์ก่อนประติหานจะคลอด เราพาเธอมา ultrasound อีกครั้ง พบว่าเด็กยังอยู่ท่าก้น ผมได้เขียนใบส่งตัวให้ไปคลอดที่ โรงพยาบาล จังหวัด แต่เธอก็เจ็บครรภ์คลอดและมาคลอดที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลซะก่อน
ในช่วงที่เธอคลอดประติหาน ภรรยาผมก็มีลูกน้อยพอดี ข้าวของหลายอย่างที่ลูกชาย 2 คนผมมีเยอะพอดู ทำให้ผมอยากแบ่งปันบ้างผมได้เล่าให้ภรรยาผมฟังและเราก็ตกลงกัน ภรรยาผมแบ่งผ้าอ้อม เสื้อผ้าเด็ก ใส่กระเป่าให้ผมเอามาให้ประติหานที่ตึกผู้ป่วยหลังคลอดหลังจากประติหานและแม่ออกจาก โรงพยาบาล ไป
ผมก็ไม่ได้เจอเธออีกหลายเดือน จนเมื่ออาทิตย์ก่อน เธอมาตรวจด้วยปัญหาติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เธอมาบนฟูกเก่า แต่การวางถุงปัสสาวะถูกตามหลัก ร่างกายไม่มีแผลกดทับ แขนขาซ้ายยังอ่อนแรงเท่าๆเดิม แต่สีหน้าดูมีความสุขกว่าตอนที่เราพบกันครั้งแรกๆมาก ทำให้ผมพลอยรู้สึกมีความสุขไปด้วย หลังจากตรวจเธอตามอาการแล้ว ผมก็เลยถือโอกาสสอบถามเรื่องลูก
“ประติหานไม่มาด้วยเหรอแม่”
“อยู่บ้านน่ะหมอ”
“แข็งแรงดีไหม”
“แข็งแรงดี” เธอตอบพร้อมกับรอยยิ้มชีวิตของประติหานและครอบครัวยังต้องเดินทางอีกยาวไกล ผมแอบหวังลึกๆว่าประติหานจะนำความสุขมาให้ครอบครัวนี้ไปตลอด ประติหานและครอบครัวได้ให้อะไรหลายๆอย่างกับผม ผมได้เรียนรู้ว่าเรื่องบางเรื่องถ้าเราช่วยกันทำและมีความมุ่งมั่น มันก็มีโอกาสที่จะสำเร็จ ผมได้เรียนรู้ถึงความใจสู้ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และผมก็ได้รู้ว่าการทำงานนำมาซึ่งความสุขได้อย่างไร
ขอบคุณ อ.นพ.โกมาตร ที่ได้เปิดสมอง เปิดความคิดให้มองอย่างเข้าใจ ขอบคุณผอ.รพ.ปทุมราชวงศา ที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆ ค่ะ