ไก่ "เพื่อนซี้..."


ในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (๑๘ เมษายน ๒๕๕๓) เราได้ยินเสียงพ่อบ้านผู้ที่ดูแลสถานที่แห่งนี้พูดกับใครสักคนหนึ่งแว่ว ๆ ว่า "ไก่ตาย" แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้เอะใจอะไร เพราะฟังไม่ได้ศัพท์ว่าไก่ใครเป็น ไก่ใคร "ตาย"...

ขอเล่าย้อนกลับไปซักหน่อยว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วประมาณ 3 เดือนก่อน เราได้ยินเสียงลือ เสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับไก่สองตัวนี้ว่าเป็น "ไก่เกย์" เราก็สงสัยว่ามันเป็นอย่างไร ผู้ที่พูดก็ได้ชี้แจงให้เรากระจ่างว่า ไก่สองตัวนี้มันเป็นตัวผู้ทั้งคู่ ไปไหนก็ไปด้วยกัน ไม่มีคู่ ไม่มีแฟน แต่เรากลับคิดว่า ไก่สองตัวนี้เขาไม่ได้เป็นเกย์หรอก แต่ไก่ 2 ตัวนี้เขา "ประพฤติพรหมจรรย์"

จากนั้นเจ้าไก่สองตัวนี้ก็จะเดินไปเดินมา คุ้ยเขี่ยหาอาหารแถว ๆ ที่พักของเรา และช่วงนั้นเราก็ได้ข้าวถุงเล็ก ๆ (ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) มาเกือบทุกวัน ช่วงก่อนได้มาก็ให้คนอื่นเขาไป ไม่รู้จะทำอะไร แต่พอดีเห็นไก่สองตัวนี้ก็เลยลองโยนให้ ตอนแรกมันก็วิ่งหนี แต่โยนไปโยนมาก็กลายมาเป็น "ลูกน้อง" ของเราโดยปริยาย

ทุก ๆ เช้าประมาณเจ็ดโมงครึ่งเจ้าสองตัวนี้ก็จะมายืนรอตรงหน้าที่พักเรา เราเห็นมันเราก็ร้องเรียก "กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก" แล้วก็โยนข้าวสารให้

พอโยนไปโยนมา ข้าวสารที่ถุงเล็ก ๆ ดังกล่าวบางวันก็ได้ บางวันก็ไม่ได้ เราก็ต้องกระเบียดกระเสียน แบ่งให้ได้ถุงละสองวัน แต่เจ้าลูกน้องสองตัวนี้ก็มาเป็นประจำ ไม่ขาด แล้วแถมมาบ่อยวันละหลาย ๆ รอบ เราก็เลยต้องขวนขวายหาข้าวสารถุงใหญ่ขึ้นขยายกิจการขึ้นมาเป็นข้าวถุงละ 1 กิโลกรัม

เราก็ให้ไปเรื่อย ตอนเช้าก็ให้ ตอนบ่าย ๆ ถ้าเขามาเขาก็จะขันให้เราฟัง อ้อ ลืมบอกไปว่า ไก่สองตัวนี้เป็น "ไก่แจ้" พอมาถึงก็ร้อง "เอก คิ เอ้ก เอ่ก" เสียงเท่ ๆ ให้เราฟัง เรานั่ง ๆ อยู่ข้างในก็อดใจไม่ได้ต้องออกไปหว่านข้าวให้ตลอด 

เล่าย้อนถึงความหลังไปซะนาน ขอดึงกลับมาถึงเหตุการณ์ในช่วงสายของอาทิตย์ที่แล้วอีกครั้ง

ตอนแรกที่ได้ยินเสียงว่าไก่ตาย เราก็ไม่ได้ฉุกคิดอะไรมาก แต่พอเดินลงมาจากที่พัก เราเห็นข้าวที่โปรยไว้ตามพื้น ปรากฎว่า "ข้าวยังอยู่" เอ่... ทุกวันเจ้าลูกน้องสองตัวนี้มันมาจิกกินจนเรียบ วันนี้ทำไมมีข้าวเหลือเกลื่อนอยู่อย่างนี้ หรือว่าที่ได้ยินเมื่อเช้าว่าไก่ตายนั้น เป็นไก่สองตัวของเรา

แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้มีเวลาไปสอบถามอะไรกับใครมากเพราะต้องแปลงกายไปเป็น "สัปเหร่อ" ทำความสะอาดเมรุฯ และเตาเผาศพ (การเผาศพปลอดมลพิษ : BAR ก่อนการเผาศพ... )

ครั้นเมื่อเวลาล่วงไปจนพิธีวางดอกไม้จันทร์ ประชุมเพลิงเรียบร้อยแล้ว เราก็ทำหน้าที่เป็นสัปเหร่ออยู่ในเมรุฯ นั้น พ่อบ้านก็ได้เดินมาบอกกับเราว่า "เมื่อเช้าเห็นไก่ของเรานอนเดี้ยงอยู่ แต่ยังไม่ขาดใจ ถ้าตายแล้วก็จัดการเอาไปฝังให้" ตอนนั้นเราก็ใจหายแว๊บ แต่ด้วยติดภาระกิจในการเผาศพอยู่จะละมือไปดูเลยก็ไม่ได้ แต่ในใจก็คิดว่า อย่าเพิ่งเอาไปฟังแล้วกันขอไปดูหน้าเป็นครั้งสุดท้ายซักหน่อย

เมื่อไปถึงเราก็เห็นมันนอนพะงาบ ๆ อยู่บนกองทราย พ่อบ้านบอกว่ามันน่าจะกิน "ปุ๋ยเม็ด" เข้าไป แต่ก็ไม่รู้จะช่วยเหลือมันอย่างไง เราพยายามเรียก "กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก" มันก็ยังมีสติยกหัวขึ้นมารับเสียงเรียกของเรา

ตอนที่เผาศพอยู่นั้นเราก็แวะเวียนไปเยี่ยมไข้เจ้าสองตัวนี้บ่อย ๆ พอไปดูก็ได้แต่สังเกตุว่ามันยังหายใจอยู่มั๊ย โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนเราก็ได้เดินเอาไฟฉายไปส่องดู ปรากฎว่ายุงตอมรึ่มเลย เราก็ไปหาผ้าใบไปคลุมให้ ตอนแรกคลุมทั้งตัวเลย คิดไปคิดมา มันคงจะขาดอากาศหายใจตายก่อนแทนที่จะตายด้วยพิษของปุ๋ย ตอนนั้นเราก็เดินไปหาผ้าใบผืนใหม่มาคลุมให้ ปล่อยให้มีอากาศเข้าไปนิดหน่อย

จากนั้นเราก็โทรไปหาน้องสาวซึ่งทำงานอยู่ในห้องแล็บของฟาร์มไก่ในจังหวัดลพบุรี ซึ่งเขาก็บอกว่าเดี๋ยวจะให้คุยกับพี่หมอ (สัตวแพทย์) เราก็เล่าอาการไก่ให้ฟังว่าเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ คำตอบที่ได้กลับมาก็แค่ว่า ให้แยกไก่ไว้จากตัวอื่น ประมาณว่าปล่อยให้ตายไป (แล้วจะโทรไปถามทำไมเนี่ย...)

เราก็ถามต่อว่า ไม่มีทางจะช่วยอะไรเลยเหรอ เขาก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน ถ้าเป็นหมาหรือแมวก็จะเอาไข่ไก่กรอกเข้าไปเพื่อให้มันอวกออกมา (เอ่ สัตวแพทย์ที่ทำงานอยู่ฟาร์มไก่ขนาดใหญ่นี่บอกได้แค่นี้เองเหรอ)

ก็ไม่เป็นไร เราก็เดินไปถามคนโน้น คนนี้ เขาก็ให้เหตุผลอีกว่า "ไข่มันเอง มันจะกินเหรอ" อื่ม ก็จริง สุดท้ายเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ถามหมอก็แล้ว ถามเพื่อนก็แล้ว ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนเลย ก็ได้แต่แวะเวียนไปเยี่ยมไข้ "เพื่อนรัก"

เราไปเยี่ยมไข้มันเรื่อย ๆ ตอนแรกก็อยากให้มันหายป่วย แต่พอไปดูแล้วมันน่าสงสารมาก เพราะเขานอนหายใจพะงาบ ๆ แทบจะยกหัวไม่ไหว จะให้ใครช่วยก็ไม่มี เราจะช่วยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คิดว่าจะให้น้ำเกลือไก่ แต่ก็ไม่รู้เขาทำกันหรือเปล่า จนกระทั่งสุดท้ายเราก็เดินไปบอกกับเจ้าสองตัวนี้ว่า ไปเถอะ จะไปก็ไป ให้ไปแล้ว นอนอยู่อย่างนี้ก็ "ทรมาน"

จนกระทั่งถึงวันที่สาม (วันอังคารที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๓) ช่วงกลางวันเราก็เดินไปเยี่ยมอีกครั้งหนึ่ง ปรากฎว่า ไก่อีกตัวหนึ่งนอนสงบเรียบร้อยเก็บขา เก็บหัว เรามองตอนแรกเห็นมันไม่หายใจ ก็เลยเดินเข้าไปใกล้ ๆ ขยี้ตาแล้ว ขยี้ตาอีก มันก็ไม่หายใจจริง ๆ ลองเอาไม้มาเขี่ยดูก็ไม่กระดิก แข็งเป๊กเลย เฮ้อ ไปซะแล้ว "เพื่อนรัก" (ทรมานมาสามวัน สองคืน) 

หลังจากนั้นเราก็บอกพ่อบ้านให้ว่าไก่ตายไปตัวหนึ่งแล้ว ให้คนงานเอาไปฝังได้ และตอนกลางนั้นวันนั้นเราก็เดินไปเยี่ยมไก่อีกตัวซึ่งเพื่อนรักของมันเพิ่งตายไป ปรากฎว่ามันอนชัก กระแด่ว กระแด่วอยู่ เราก็บอกว่าไปเถอะ ทรมาน เพื่อนเจ้าก็ไปแล้ว

ตอนเช้าวันพุธ (วันที่ ๔) เราก็แวะไปดูอีก ปรากฎว่า "ยังไม่ตาย" เราก็พูดกับมันว่า "สู้เหรอ" เอ้า "สู้ก็สู้" เราก็พยายามไปเยี่ยมเยียนมันบ่อย ๆ

จนกระทั่งวันพฤหัสบดี (วันที่ ๕) เราไปดูอีกทีปรากฎว่า มันเริ่มชูคอขึ้นมาได้ "หงอนแดง" เชียว เราก็พยายามหาน้ำ หาข้าวไปวางไว้ให้ไก่ ๆ มัน เผื่อมันจะหิว เพราะมันนอนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้นมาสี่ห้าวันแล้ว แต่มันก็กินไม่ได้ ได้แต่นอนตาละห้อยอยู่อย่างนั้น

เรื่อยมาจนถึงวันศุกร์เช้า (วันที่ ๖) ไปดูอีกที หงอนเขียวคล้ำอีกแล้ว เฮ้อ สงสัยจะอาการหนักลง แต่ทว่าช่วงบ่ายเราไปดูอีกที มันเริ่มลืมตาได้ ชูคอ และพะหงกหัวได้ อาการเหมือนคนเพิ่งฟื้นไข้

เมื่อวานนี้ (วันที่ ๗) เราเอาข้าวกับน้ำไปให้มันอีก พอเข้าไปใกล้ ๆ มันเดินหนีเลย อ้าว...เดินได้แล้วนี่หว่า แต่กระด๊อก กระแด๊กไปได้ไม่ไกล แต่เป็นนิมิตหมายที่ดีว่า "น่าจะรอด"

เมื่อเช้านี้ (วันที่ ๘) เราไปดูที่มันนอนอยู่ปรากฎว่า "หาไม่เจอ" ไปไหนแล้วหว่า เราก็พยายามเดินหาอยู่หลายรอบ ก็ไม่รู้ว่าไปไหน จนกระทั่งช่วงบ่าย เจ้า "ไก่เพื่อนซี้" ก็เดินเอี้ยง ๆ มาหาตรงที่พักของเรา

เราก็ไม่แน่ใจว่ามันมาหาข้าวกินหรือว่ามาหา "เพื่อนซี้" ของมัน เราก็ได้แต่โปรยข้าวให้ แล้วพยายามเดินไปใกล้ ๆ มันก็กระโดดหนี คงจะยังตื่นกลัวและหวาดระแวงจากอาการป่วยหนักที่ผ่านมา

ไก่เอ๋ย เจ้า "ไก่เพื่อนซี้" เพื่อนเจ้าจากไปดีแล้ว

ครูบาอาจารย์ท่านว่าไว้ว่า สัตว์ที่มาเกิดและตายในวัดนั้นจะเป็นชาติสุดท้ายที่จะได้เกิดเป็น "เดรัจฉาน" ชาติต่อไปก็จะได้อัตภาพอันประเสริฐเกิดมาเป็นมนุษย์

ความทรมานของเพื่อนเจ้าที่นอนหายใจแผ่ว ๆ อยู่สามวัน คงเป็นผลกรรมแห่งความทรมานช่วงสุดท้ายที่เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวงคืน

เจ้าไก่เพื่อนซี้เอย ตอนนี้เจ้าต้องอยู่ตัวเดียวแล้วนะ เพื่อนเจ้าไม่อยู่แล้ว ถ้าเจ้าเหงา เจ้าก็มากินข้าวที่นี่นะ ถึงเราร้องเอ่ก คิ เอ้ก เอ่ก เหมือนเพื่อนเจ้าไม่ได้ เราก็จะร้องกุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก ร้องเรียกเจ้ากินข้าวเหมือนเดิม

เจ้าต้องเข้มแข็ง ต่อสู้และรับกรรมในอัตภาพนี้ต่อไป แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วชาติหน้าเจ้าก็จะได้เกิดมาเป็น "คน..."

ด้วยความปรารถนาดีถึง "ไก่เพื่อนซี้..."

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 354008เขียนเมื่อ 25 เมษายน 2010 20:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มีนาคม 2014 18:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ดีใจที่เจ้าไก่รอดตายได้เห็นรูปแล้วค่อยสบายใจกว่าตอนเห็นรูปแรกที่ดูเศร้าเหมือนชีวิตคนที่มีเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาไก่ก็คงเหมือนกันแต่ตัวที่รอดนี่กรรมยังไม่หมดก็คงต้องสู้กันต่อไป สู้สู้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท