เงินตราสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ชาวต่างประเทศรู้จักในพระนาม “King Mongkut” รัชสมัยของพระองค์นับเป็นช่วงเวลาที่ประเทศมหาอำนาจตะวันตกกำลังขยายอิทธิพลและอำนาจในการล่าอาณานิคมไปยังดินแดนต่างๆ ทั่วโลก อันเป็นผลให้ต้องทรงเปิดรับอารยธรรมตะวันตก นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทยในเวลานั้น ซึ่งได้ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทย การพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงระบบการผลิตเงินตราของประเทศ
ในช่วงต้นรัชกาล เงินตราหลักที่ใช้ในการค้าขายของประเทศยังคงเป็นเงินพดด้วง โดยใน พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ผลิตพดด้วงชนิดราคาบาท กึ่งบาท สลึง และเฟื้อง ทำด้วยเงินประทับตราพระแสงจักรเป็นตราประจำแผ่นดินและเปลี่ยนตราประจำรัชกาลเป็นตรามงกุฎ มีความหมายสืบเนื่องถึงพระนามเดิมของพระองค์คือ “เจ้าฟ้ามงกุฏ”
(พดด้วงชนิดทองคำ ตราพระแสงจักร – พระมหามงกุฎ)
และในปีเดียวกันนี้ ยังโปรดฯ ให้ผลิตพดด้วงชนิดทองคำ ตราพระแสงจักร – พระมหามงกุฎ ชนิดราคาตำลึง กึ่งตำลึง บาท กึ่งบาท สลึง เฟื้อง กึ่งเฟื้อง และไพ เฉพาะราคาไพ ประทับตราพระมหามงกุฎตราเดียว
(พดด้วงทองคำและพดด้วงเงินประทับตราพระเต้าเพียงตราเดียว)
ใน พ.ศ. ๒๓๙๙ โปรดฯ ให้ผลิตพดด้วงทองคำและพดด้วงเงินประทับตราพระเต้าเพียงตราเดียว ชนิดราคา สลึง เฟื้อง และกึ่งเฟื้อง เฉพาะพดด้วงเงิน เพิ่มชนิดราคาไพและกึ่งไพ
จากนั้น ใน พ.ศ. ๒๔๐๒ โปรดฯ ให้ผลิตพดด้วงเงิน ตราพระแสงจักร – พระมหามงกุฎ ชนิดราคา ชั่ง ตำลึง และกึ่งตำลึง เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสฉลองพระมหามณเฑียรพระที่นั่งอนันตสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง
(พดด้วงทองเม็ดขนุน)
นอกจากนี้ ยังมีการผลิตเงินตราก้อนกลม ทำด้วยทองคำ ประทับตราพระแสงจักร – พระมหามงกุฎ มีชนิดราคาเดียวคือ บาทกึ่ง (หกสลึง) และเนื่องจากมีลักษณะเป็นก้อนกลมคล้ายเม็ดขนุน จึงเรียกกันโดยทั่วไปว่า “ทองเม็ดขนุน”
เนื่องจากมีปัญหาการผลิตพดด้วงไม่ทันต่อความต้องการและมีผู้ทำปลอมกันมาก ใน พ.ศ. ๒๓๙๖ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงแก้ไขโดยให้ผลิตเงินกระดาษ เรียกว่า “หมาย” โดยใช้วิธีการพิมพ์กระดาษอย่างง่ายๆ ออกใช้ควบคู่กับเงินพดด้วง มี ๓ ชนิด คือ หมายราคาต่ำ หมายราคาตำลึง และหมายราคาสูง มีมูลค่าตั้งแต่หนึ่งเฟื้องจนถึงหนึ่งชั่ง ประทับตราประจำรัชกาลและตราประจำแผ่นดิน หมายราคาต่ำมีตราดุนนูนจำนวนเท่ากับมูลค่าของหมายประทับไว้ที่ขอบเพื่อป้องกันการปลอมแปลงและเพื่อให้คนตาบอดสัมผัสเพื่อทราบมูลค่าของหมาย เงินกระดาษรุ่นนี้ ราษฎรไม่นิยมใช้ เมื่อได้รับก็รีบนำไปขึ้นเงินที่พระคลังมหาสมบัติ
ใน พ.ศ. ๒๓๙๘ เมื่อไทยลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง ซึ่งเป็นสนธิสัญญาว่าด้วยการทูตและการค้ากับประเทศอังกฤษ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งกำหนดข้อจำกัดในการเก็บภาษีขาเข้า – ขาออก และให้ยกเลิกการผูกขาดการจัดเก็บภาษีโดยพระคลังสินค้า รวมทั้งระบบการปกครองและระบบการตัดสินคดีความระหว่างประเทศ ต่อมา ไทยได้ลงนามในสนธิสัญญาแบบเดียวกันนี้กับชาติตะวันตกอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ ปรัสเซีย ฯลฯ ทั้งนี้ นับเป็นพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีพระราชประสงค์มิให้ประเทศตะวันตกชาติใดเข้ามามีความสำคัญที่สุดในดินแดนไทย มิฉะนั้นอาจถือโอกาสตั้งตัวเป็นใหญ่เหนือชาติไทย นับเป็นการดำเนินนโยบายถ่วงดุลอำนาจท่ามกลางการคุกคามของจักรวรรดินิยมตะวันตก
เครื่องจักรผลิตเหรียญชนิดแรงดันไอน้ำที่สั่งซื้อมาถึงในปลาย พ.ศ. ๒๔๐๑ แต่เกิดปัญหาการติดตั้งเป็นเวลานาน เนื่องจากช่างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศที่ถูกส่งเข้ามาดำเนินการติดตั้งได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุและอาการป่วยก่อนที่จะติดตั้งเสร็จถึง ๓ คน จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๐๓ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯ ให้นายโหมด อมาตยกุล ดำเนินการติดตั้งจนเป็นผลสำเร็จ และให้สร้าง “โรงกระสาปน์สิทธิการ” ขึ้นที่โรงทำเงินพดด้วงเดิม ทางด้านหน้าพระคลังมหาสมบัติ บริเวณมุมถนนนอกประตูสุวรรณบริบาลข้างตะวันออก
เงินเหรียญชุดแรกที่ผลิตจากเครื่องจักรนี้มีลักษณะคล้ายกับเหรียญชุดบรรณาการ มี ๕ ชนิดราคาคือ บาท กึ่งบาท สลึง เฟื้อง และกึ่งเฟื้อง ออกใช้เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๔๐๓ โดยให้ใช้ควบคู่ไปกับพดด้วง และไม่โปรดฯ ให้ผลิตพดด้วงเพิ่มขึ้นอีกพร้อมทั้งได้ทรงออกประกาศพิกัดราคาเงินเหรียญบาทและเงินแปด้วย
สืบเนื่องมาจากระหว่าง พ.ศ. ๒๓๙๐ – ๒๓๙๑ มีการพบแหล่งแร่ทองคำในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศออสเตรเลีย ทำให้มีทองคำในตลาดเพิ่มขึ้น ๖ – ๗ เท่า แล้วกระจายเข้ามาในตลาดเอเชียราว พ.ศ. ๒๔๐๐ เมื่อประเทศไทยเปิดตลาดการค้าเสรีทำให้ทองคำหลั่งไหลเข้ามามาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯ ให้ผลิตเหรียญทองคำขึ้นใช้ควบคู่ไปกับเหรียญเงิน โดยกำหนดให้เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเพื่อความสะดวกในการค้าขายกับต่างประเทศที่ต้องจ่ายเงินคราวละมากๆ
(เหรียญทองคำในรัชกาลที่ ๔)
เหรียญทองคำที่โปรดฯ ให้ผลิตมี ๓ ชนิดราคา เรียกว่า เหรียญทองทศ มีมูลค่าเท่ากับ ๘ บาท เหรียญทองพิศ มีมูลค่าเท่ากับ ๔ บาท และ เหรียญทองพัดดึงส์ มีมูลค่าเท่ากับสิบสลึง เหรียญเหล่านี้ออกใช้เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๔๐๖ และเป็นประโยชน์ต่อการค้าขายกับต่างประเทศมาก
(เหรียญกะแปะหรืออีแปะอัฐ)
ในส่วนของเงินปลีกนั้น ยังคงใช้เบี้ยหอยเช่นเดียวกับรัชกาลก่อนๆ แต่เนื่องจากราคาเบี้ยไม่แน่นอน ขึ้นลงมากน้อยตามจำนวนที่มีอยู่ในตลาด พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯ ให้ผลิตเหรียญดีบุกผสมทองแดง เรียกว่า เหรียญกะแปะหรืออีแปะอัฐและโสฬสและทรงออกประกาศให้ใช้แทนเบี้ยเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๐๕ โดยกำหนดอัตรา ๘ อัฐ เป็น ๑ เฟื้อง และ ๑๖ โสฬส เป็น ๑ เฟื้อง
ลักษณะเด่นของเหรียญอีแปะอัฐและโสฬสนี้คือมีข้อความบอกราคาด้วยอักษรไทย จีน โรมัน และเลขอารบิค ทั้งนี้เพื่อสื่อสารให้ทั้งชาวไทย ชาวจีน และชาวตะวันตก ที่ค้าขายอยู่ในประเทศไทยได้เข้าใจทั่วกัน
เบี้ยหอยที่เคยใช้กันมาแต่เดิมนั้น ราษฎรคนใดสมัครใจจะใช้ต่อไปก็ไม่ทรงห้าม แต่ไม่ทรงประกันราคาให้ ดังมีหลักฐานปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๔ เลขที่ ๑๐๔ เรื่องเงินเหรียญบาท ลงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๐๗ ตอนหนึ่ง ความว่า
“.....ก็เบี้ยหอยซึ่งราษฎรใช้สอยซื้อขายอยู่แต่ก่อนนั้น พระราชบัญญัติก็ไม่ห้ามแต่จะเอามาขึ้นเงินแก่คลังก็ดี จะส่งแทนภาษีอากรก็ดีไม่เคยรับ เพราะหอยเบี้ยราษฎรหามาใช้กันเอง ในหลวงไม่ได้ประกันเหมือนเบี้ยแปะ อัฐ โสฬส”
ราษฎรจึงยังคงใช้เบี้ยหอยกันต่อมาเพื่อชำระค่าสินค้าที่ต่ำกว่า ๕๐ เบี้ย เมื่อราคาสินค้าแพงขึ้นจนกระทั่งโสฬสเป็นหน่วยเงินขึ้นต่ำสุดที่จะใช้ซื้อสินค้าได้ จึงเลิกใช้เบี้ยหอยไปในที่สุด
(ซีกทองเหลือง)
ต่อมา มีผู้ทำเหรียญอีแปะปลอมออกใช้กันมาก และมีผู้ลักลอบสั่งทำมาจากฮ่องกงด้วยเพราะการปลอมเหรียญดีบุกทำได้ง่ายและใช้ต้นทุนต่ำ จนก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไป พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงหาทางแก้ไขโดยโปรดฯ ให้ทำเงินปลีกขึ้นใหม่ด้วยทองเหลืองและทองแดงอีก ๒ ชนิดราคาคือ “ซีก” และ “เสี้ยว” โดยเหรียญซีกมีค่าเท่ากับ ๑/๒ เฟื้อง และเหรียญเสี้ยวมีค่าเท่ากับ ๑/๔ เฟื้อง ออกใช้เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๔๐๘ แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้โปรยทานในคราวบำเพ็ญพระราชกุศล ทรงได้รับฎีกาจากราษฎรว่าเหรียญดังกล่าวถูกศีรษะผู้รับแตกและฟกช้ำ จึงมีพระราชดำริให้จัดทำเหรียญราคาซีก – เสี้ยวแบบใหม่โดยให้ลดความหนาของเหรียญลงครึ่งหนึ่ง และมีน้ำหนักโลหะน้อยกว่าราคาหน้าเหรียญ ออกใช้เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๐๙ นับเป็นครั้งแรกที่มีการหย่อนค่าเงินในระบบเงินตราไทย
กล่าวได้ว่า รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเงินตราของไทยครั้งใหญ่ จากเงินพดด้วงที่ใช้มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เปลี่ยนเป็นเหรียญกลมแบน รวมทั้งมีการจัดทำหมายซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเงินตราในรูปแบบธนบัตรขึ้นเป็นครั้งแรกด้วย นับเป็นต้นแบบในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงระบบเงินตราไทยให้เป็นสากล
วาทิน ศานติ์ สันติ : เรียบเรียง
ที่มา
ธนาคารแห่งประเทศไทย โดย เพื่อนนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง
ข้อมูลถูกใจมากเลยคะ
พี่สันติครับ มีประวัติศาสตรืไรที่พี่ยังไม่เขียนอีกครับ ผมมีเรื่องถามพี่นะครับ ผมอยากเรียนปอโทนะครับรบแวนพี่สันติแนะนำมหาลัยที่พอจะเรียนได้นะครับ แบบสามารถสู้รบกับมหาลัยที่บ้าอำนาจ(จุฬา)ได้นะครับ
รบกวนพี่สันติช่วยตอบที่นะครับ จากพญามังกรตะวันออก