ฝนตกปรอย ๆ นั่งคอยจ้องมองเข็มนาฬิกา “ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก” เวลาผ่านไปหนึ่งวินาที...หนึ่งนาที อย่างช้า ๆ จวบจนหนึ่งชั่วโมง และผ่านไป...ผ่านไปเป็นหนึ่งวัน สองวัน สามวัน...หนึ่งเดือน...จวบจนหนึ่งปี เรื่อย ๆ เดินผ่านเลยไป ขณะที่อายุชีวิตเดินเรื่อยไปตามการหมุนของเข็มนาฬิกา แต่ไม่เวียนวนกลับมาที่เดิมเหมือนเข็มนาฬิกา มีแต่จะเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ แต่หากเมื่อใดหมดไขลานชีวิตก็จะหยุดเดินทันที และไม่สามารถเปลี่ยนถ่ายใหม่เพื่อให้เดินต่อไปได้
จ้องมองเข็มนาฬิกาเดินช้า ๆ ในแต่ละวินาที ความคิดตนก็ยังคงหมุนวนตามทิศทางเดินของเข็มนาฬิกา สมองเริ่มคิดถึงคำ ๆ หนึ่ง “ปกปิด…อำพราง” คืออะไร? ยังคงหาคำตอบกับคำถามนี้ไม่เจอ ด้วยเพียงแต่ตนคิดว่า “ปกปิด” อาจจะหมายถึง การปิดบัง ซ่อนเร้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อมิให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งรู้เห็นกับการกระทำของตน อาจจะปกปิดเนื่องด้วยเจตนาดี หรือส่อด้วยเจตนาร้าย ความรุนแรงของผลกรรมมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่เจตนาของผู้ปกปิด ส่วน “อำพราง” อาจจะหมายถึง ไม่ให้เห็นไม่ให้รู้แต่มีตัวตนอาจจะเห็นราง ๆ แต่อาจเห็นไปอีกรูปแบบหนึ่งทั้ง ๆ ที่เป็นของสิ่งเดียวกัน แต่มีการปรับปรุงเสริมแต่งให้ผิดแผกแตกต่างจากรูปลักษณ์เดิมมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่กรณีของเหตุการณ์ ด้วยเจตนาดี หรือเจตนาร้ายก็ตามแต่ ทั้ง “ปกปิด...อำพราง” อาจจะทำเพื่อตนเองหรือบุคคลอื่นอันเป็นที่รัก แต่พบว่า เป็นการจงใจเจตนาที่จะทำให้เป็นไปเพื่อจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่หากยังเป็นรูปคำโดด ๆ ไม่มีการอ้างเหตุผลเข้ามาเกี่ยวข้องจะมองไปในทางเจตนาที่ไม่ค่อยจะน่าพึงประสงค์นัก
หากแต่ในชีวิตของคนเรา “ปกปิด...อำพราง” สิ่งใดไว้อาจมีสักวันต้องถูกเปิดเผย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ด้วยตนเองก็ด้วยคนอื่น อย่างคำที่ว่า “ไม่มีความลับใดในโลกที่ปกปิดไว้ได้นาน” นี่คือสิ่งจริงแท้และแน่นอนเสมอ แต่บุคคลที่พยายามปกปิดอาจกล่าวว่า “ยอมตายดีกว่าให้ความลับถูกเปิดเผย” จะคิดแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม สุดท้ายทุกอย่างต้องมีจุดจบที่ลงเอยของมัน ในขณะที่การดำเนินชีวิตในสังคมซึ่งเป็นกิจกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์หมุนเวียนวนเป็นวัฎจักรแห่งชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตายดับสลายเหมือนกันทุกคน การดำรงคงอยู่เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่นด้วยความจริงใจนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดในชีวิตมนุษย์ หากแต่คำว่าปกปิด อำพราง ไม่น่าจะมาอยู่รวมกับคำว่าสัมพันธภาพที่จริงใจต่อกัน พบว่า เมื่อบุคคลพบปะ พูดคุย สนิทสนมกันเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว บุคคลจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมามากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความไว้ใจซึ่งกันและกัน แต่หากบุคคลได้ดำเนินกิจกรรมในการสร้างสัมพันธภาพไปในทางที่แย่หรือเลวลงก็ย่อมที่จะหมายถึงมีเหตุปัจจัยให้เกิดการปกปิด...อำพรางตัวตนกัน ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงการสร้างสัมพันธภาพของบุคคลจึงจบลงอย่างน่าเสียดาย
ในสังคมอีกด้านหนึ่งของชีวิตกลับพบว่า การปกปิด...อำพรางตน ยังคงมีให้เห็นอยู่มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่สังคมนั้นจะไว้วางใจกันมากแค่ไหน แต่ตนมองว่าในเมื่อสิ่งนั้นมิได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร ไฉนเลยคนเราต้องปกปิด...อำพรางตน เพียงเพื่ออะไร? เพียงเพื่อใคร? จวบจนวันนี้ก็ยังคงหาคำตอบกับคำถามเหล่านี้ไม่เจอ...แต่วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาคงต้องดำเนินชีวิตไปตามครรลองที่ต้องเป็นไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันมีต้นสายปลายเหตุและย่อมมีคำตอบในตัวของมันเอง “โปรดจงยืนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง”
จริง ๆ ค่ะคุณ "ขจิต" เห็นด้วยอย่างแรง
ก็ไม่รู้จะปกปิด ซ่อนเร้นไปทำไมเนอะ
ทำแล้วไม่รู้มีความสุขกันหรือเปล่า...
สู้จริงใจเปิดเผยกันออกจะมีความสุข
มีเสรีภาพ...อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
นับถือคุณ "ขจิต" ตรงที่เปิดเผยตัวตน
จริงใจ...ไม่จิงโจ้