...ประวัติท่านพระองคุลีมาล...
.
.
.
.
บางท่านรวมทั้งตัวผมคงเคยสงสัยว่า พระองคุลีมาล ทำไมท่านต้องสังหารคนถึง ๙๙๙
คนเพื่อตัดนิ้วตามคำสั่งของอาจารย์ และ
ทำไมท่านสังหารคนตั้งมากมายทำไมถึงได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในชาติสุดท้ายของท่าน
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้มีโอกาสไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ และ
พระอรหันตธาตุของพระสาวก รวมทั้งพระอรหันตธาตุของท่านพระองคุลีมาลด้วย
วันนี้เลยถือโอกาสรวบรวมข้อมูลประวัติของ พระองคุลีมาล มาฝากครับ
ครั้งหนึ่ง
เหล่าพระสงฆ์สาวกพากันทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงตรัสเล่าเรื่องราวความเป็นมาแต่อดีตชาติของพระองคุลีมาล
เพื่อที่จะได้รู้สาเหตุว่า ทำไม...ชาตินี้ท่านถึงต้องเป็นโจรฆ่าคน
ก่อนที่จะมาเป็นพระสงฆ์ที่อุดมด้วยศีลาจารวัตรงดงาม
พระพุทธองค์ผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
ก็ทรงประทานตรัสเล่าให้ฟังดังนี้...
ในอดีตชาตินานโพ้นทีเดียว พระองคุลีมาล ได้ถือกำเนิดเป็น
“เต่าใหญ่”
อยู่ในทะเลและมหาสมุทรแห่งหนึ่ง ความใหญ่ของเต่าตัวนี้
มีขนาดไม่เล็กไปกว่าปลาวาฬ โบราณาจารย์ท่านเรียกเต่าชนิดนี้ว่า
“เต่าเรือน” คือ ตัวใหญ่เท่าเรือน เป็นเต่าใหญ่แต่ใจบุญ
ด้วยมีนิสัยที่ไม่ดุร้าย ทำร้ายใคร
มักช่วยเหลือผู้คนที่ตกอยู่ในอันตรายจากเรืออับปางให้พ้นภัยเสมอ
เต่าใหญ่อดีตชาติพระองคุลีมาล
ก็เวียนว่ายหากินอยู่ในท้องทะเลตามปกติอยู่ชั่วนาตาปี
จนอยู่มาวันหนึ่ง พบเรือประมงลำหนึ่งเกิดอับปางลง
ผู้คนในเรือต่างก็ลอยคอ แหวกว่ายพยุงตัวเพื่อไม่ให้จมน้ำ
ต่างก็หมดแรงเมื่อยล้า จะตายมิตายแหล่ ด้วยจิตแห่งความเมตตา
เต่าใหญ่ตัวนั้นก็ว่ายเข้าไป เพื่อให้บรรดาชาวประมงเหล่านั้น
ซึ่งคาดว่ามีประมาณ ๖ – ๗ คนได้พากันเกาะกระดองเต่า
ปีนขึ้นมาบนหลังเต่า จนครบทุกคน และเต่านั้นก็ว่ายน้ำเข้าฝั่ง พาคน
เหล่านั้นขึ้นบกให้พ้นภัย
แต่ด้วยเคราะห์กรรมของเต่านั้น
ที่อาจจะมีเวรมีกรรมผูกพันกับชาวประมงที่ตนได้ช่วยชีวิตเอาไว้
ตามมาส่งผล ทำให้ชาวประมงเหล่านั้นเห็นผิดเป็นชอบ เกิดความโลภ
ไหน ๆ ก็ไม่ได้ปลาแล้ว ฆ่าเต่าเอาเนื้อไปขายก็ยังดี
ด้วยความคิดชั่วช้าขาดเสียซึ่งความกตัญญูรู้คุณเต่าที่ได้ช่วยชีวิตตนไว้
เขาเหล่านั้นก็พากันฆ่าเต่า
แล้วชำแหละเนื้อเอาไปขายให้คนในหมู่บ้านนั้น
ซึ่งมีอยู่หลายครัวเรือน
ทุกครัวเรือนต่างก็พากันซื้อเนื้อเต่าไปกินกัน ด้วยเป็นของแปลก หายาก
และมีความเชื่อที่ว่า เต่าเป็นสัตว์ที่มีอายุยืน
หากใครได้กินเนื้อเต่าแล้ว จะพากันอายุยืน
ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน
พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสเล่าว่า คนในหมู่บ้านนั้น มีด้วยกันทั้งสิ้น ๑,๐๐๐
คนพอดี ทุกคนเมื่อได้เนื้อเต่าไปแล้ว
ก็พากันนำไปปรุงอาหารแบ่งปันกันกินในครอบครัว แต่มีอยู่เพียงคนเดียว เป็นเด็กหญิงอายุเพียง ๙ ขวบ
ที่ไม่ยอมกินเนื้อเต่านั้น แม้พ่อแม่จะบังคับให้กินอย่างไร
เธอก็คายออกมาจนหมดสิ้น เพราะเธอสงสารเต่าตัวนั้น
อาจด้วยจิตวิญญาณที่ทำไว้ร่วมกันแต่อดีตชาติกับเต่านั่นเอง
ด้วยบุพกรรมอันนี้แหละ ที่ทำให้ชาตินี้ เต่าใหญ่ได้กลับชาติมาเกิดเป็น
“องคุลีมาล”
เมื่ออหิงสกกุมาร หรือ
พระองคุลีมาลมีอายุพอจะศึกษาศิลปวิทยาแล้วบิดามารดาจึงส่งไปเรียนกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่เมืองตักกศิลา
อหิงสกกุมารเป็นคนมีปัญญา ขยัน ตั้งใจเรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อย
คอยรับใช้อาจารย์ด้วยความเคารพ
พูดจาไพเราะจึงเป็นที่พอใจของอาจารย์มาก แต่ศิษย์คนอื่น ๆ
เห็นท่านเป็นคนโปรดของอาจารย์ก็ริษยา
พากันออกอุบายเพื่อกำจัดอหิงสกมาณพ โดยแบ่งคนออกเป็นสามพวก
พวกแรกก็เข้าไปบอกอาจารย์ว่า
ได้ยินมาว่าอหิงสกมาณพจะประทุษร้ายท่านอาจารย์ ทีแรกอาจารย์ไม่เชื่อ
แต่เมื่อพวกที่สอง และ พวกที่สามเข้าไปบอกเรื่องอย่างเดียวกัน
หนักเข้าก็กลับใจเชื่อ
แล้วอาจารย์จึงหาอุบายฆ่าอหิงสกมาณพเสีย
อาจารย์คิดต่อไปอีกว่า ถ้าเราฆ่ามัน ใคร ๆ
ก็จะคิดว่าอาจารย์ทิศาปาโมกข์
ลงโทษมาณพผู้มาเรียนศิลปะยังสำนักของตนแล้วปลงชีวิตเสีย ดังนี้
ก็จักไม่มีใครมาเล่าเรียนศิลปะกับเราอีก
ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็จะเสื่อมลาภ
ดังนั้นจึงได้ออกอุบายยืมมือคนอื่นฆ่า โดยให้มาณพนั้นฆ่าคนให้ได้พันคน
ด้วยคาดว่าเมื่ออหิงสกกุมารปฏิบัติตามคำสั่งของตน เที่ยวได้ฆ่าคนไป
ก็จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งต่อสู้ และฆ่ามาณพนั้นจนได้ แล้วอาจารย์จึงบอกมาณพนั้นว่า
ยังมีคำสำหรับศิลปะวิชาขั้นสุดท้ายอยู่ เจ้าจะต้องฆ่าคนให้ได้ ๑๐๐๐
คน
เพื่อประกอบพิธีบูชาครู (ครุทักษิณา) มิฉะนั้นวิชานั้นก็จะไม่มีผล
อหิงสกกุมาร หรือ พระองคุลีมาลจึงได้ออกสังหารเพื่อให้ครบ ๑๐๐๐ คน
ตามคำสั่งของอาจารย์ ได้สังหารคนได้ถึง ๙๙๙ คนแล้ว
ซึ่งคนเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่กินเนื้อเต่าในชาติก่อน
และกลับชาติมาเกิดเป็นผู้บริสุทธิ์ถูกโจรฆ่าในชาตินี้
ส่วนเด็กหญิงคนนั้น
ก็เกิดมาเป็นมารดาของท่านองคุลีมาล
และด้วยเหตุนี้แหละที่พระพุทธองค์ท่านถึงทรงรีบไปโปรดองคุลีมาลเสียก่อนที่จะฆ่ามารดาของตน
กุศลบารมีที่องคุลีมาลสั่งสมไว้ในภพชาติก็มีมากมาย ด้วยพุทธญาณ
ทรงหยั่งรู้ในบารมีนั้นว่าถึงพร้อมแล้วแก่อรหัตผล จึงทรงไปโปรด
พระวาจาสั้นๆ ว่า “เราหยุดแล้ว
แต่ท่านยังไม่หยุด” เพราะหากองคุลีมาลกระทำมาตุฆาต
ฆ่ามารดาของตนแล้ว ซึ่งเป็นอนันตริยกรรม
ก็จักไม่อาจสำเร็จอรหัตผลในชาตินั้นได้
และจะต้องไปรับผลกรรมที่ตนก่อ เมื่อสำเร็จอรหัตผลแล้วและปรินิพพานแล้ว
กรรมต่างๆทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศลที่ยังไม่ส่งผลย่อมกลายเป็นอโหสิกรรมไปด้วยไม่มีเวรมีกรรมผูกพันกัน
อีกประการหนึ่งก็คือ เต่าใหญ่ตัวนั้น
หลังจากสิ้นสุดแห่งภาวะของเดรัจฉานภูมิแล้ว ด้วยผลแห่งกรรมดี
ก็ได้บังเกิดไปเป็นมนุษย์ที่มีรูปร่างแข็งแรง ใหญ่โต
ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ และมีอายุยืนยาว เป็นผู้มีใจเมตตากรุณา
ได้สั่งสมบุญบารมีมาอีกหลายภพหลายชาติด้วยการให้ทาน รักษาศีล
เจริญภาวนา เวียนว่ายตายเกิด ทั้งในโลกมนุษย์ และสวรรค์
จนชาตินี้ได้มาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์นามว่า “อหิงสกะ” หรือ
“องคุลีมาล”
หลังจากสิ้นพระดำรัสเล่าเรื่องราวแต่อดีตชาติของพระองคุลีมาลจบแล้ว
ทรงประทานพุทธโอวาท ตอนหนึ่ง ความว่า “บาปกรรมที่บุคคลทำแล้ว ย่อมละได้เสียด้วยกุศลกรรม
บุคคลเช่นนั้นย่อมยังโลกให้สว่าง
เหมือนดวงจันทร์ที่พ้นจากเมฆหมอกฉะนั้น”
หลังจากพระองคุลีมาล บวชอยู่ในสำนักของพระพุทธองค์พอสมควรแก่เวลา
ได้เรียนรู้และเข้าใจในศีล
และข้อบัญญัติหรือพระธรรมวินัยจนเป็นที่เข้าใจถ่องแท้แล้ว
ท่านก็ทรงทูลขอพระบรมพุทธานุญาติ
ออกจาริกไปในป่าเขาลำเนาไพรแต่เพียงผู้เดียว ถือธุดงควัตร ๑๓
ข้ออย่างเคร่งครัด บำเพ็ญเพียรด้วยศีล สมาธิ และปัญญา
ครั้งหนึ่งท่านได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี
ในครั้งนั้นก็ปรากฏว่า ก้อนดิน ท่อนไม้
ก้อนกรวดที่บุคคลแม้ขว้างไปในทิศทางอื่น
ก็ปรากฏให้สิ่งเหล่านั้นมาตกต้องกายของท่านพระองคุลิมาล
ท่านพระองคุลิมาลศีรษะแตก โลหิตไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ฉีกขาด
ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรท่านพระองคุลิมาลเดินมาแต่ไกล
ครั้นแล้วได้ตรัสกะท่านพระองคุลิมาลว่า เธอจงอดกลั้นไว้เถิด
เธอได้เสวยผลกรรมซึ่งเป็นเหตุจะให้เธอนั้นหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดชั่วกาลนาน
นั้น เพียงในปัจจุบันนี้เท่านั้น.
จนในที่สุดท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์
หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด นับว่าชาตินั้นเป็นชาติสุดท้าย
ภพสุดท้ายของท่าน
พระอรหันต์องคุลีมาล ท่านเป็น ๑ ใน
๘๐ องค์พระอรหันต์ที่สำคัญของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า
“อสีติอริยะสาวก”
เป็นพระอรหันต์ที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดองค์หนึ่ง
ตั้งแต่สมัยพุทธกาลเนิ่นนานมาจนทุกวันนี้
พระนามของท่านจะยังคงจารึกไว้ในใจของพุทธศาสนิกชนตลอดกาลนาน
ทั้งในเรื่องราวประวัติความเป็นมาของท่าน
ในแบบอย่างของผู้ที่หลงผิดแล้วกลับตัวกลับใจมาเป็นคนดีมีคุณประโยชน์ต่อสังคม
นอกจากนั้น ท่านยังได้รับการอัญเชิญอาราธนาชื่อและบุญบารมีของท่าน
ให้มาเป็นหนึ่งในห้าของพระอรหันต์ โดยประดับไว้ที่หน้าผาก
(ปุณโณ อังคุลีมาโล จะ อุปาลิ นันทะ สีวะลี เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา
นะลาเฏ ติละกา มะมะ ) ในบาทหนึ่งของพระคาถาชินบัญชร ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต
พรหมรังสี อีกด้วย
ข้อมูลจาก
http://www.lekpluto.org/index02/special07_14.htm
http://board.palungjit.com
http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=1065
http://www.dharma-gateway.com/monk/great_monk/pra-ong-kulee-marn.htm
ภาพ
ภาพพุทธประวัติถ่ายที่วัดแห่งหนึ่งที่เกาะปีนัง
มาเลเซีย