• วันนี้เป็นวันหลัง ๑๐๐ ปี ชาตกาลพุทธทาสภิกขุ ๑ วัน ผมจึงตีความเรื่องความเจียมตัวที่จะเล่านี้ ว่าหมายถึงสติ การมีสติอยู่กับความเป็นจริง ไม่ฟู่ฟ่องล่องลอยไปกับความสุข สรรเสริญ หรือความสำเร็จ/ความสมหวัง จนเกินไป และไม่แฟบฟุบหดหู่หรือเป็นทุกข์กับความผิดหวัง จนเกินไป เป็นเรื่องสำคัญมากในชีวิตคนเรา ผมจะลองวิเคราะห์ตัวเองให้ฟัง (อ่าน) ไม่ทราบว่าจะวิเคราะห์ได้ตรงหรือไม่
• เมื่อเป็นเด็ก พ่อแม่เลี้ยงผมมาแบบเคี่ยวกรำ ไม่ได้ใช้จิตวิทยาการเรียนรู้แบบ positive feedback คนสมัยนั้นคงจะเน้นการเลี้ยงลูกไม่ให้เหลิง ผมจึงโตขึ้นมาในวัฒนธรรมเจียมตัว ตอนเป็นเด็กผมถูกปู่ด่า “ไอ้อ๊อต หมึง โหง่หม้าแฉ้” ภาษาปักษ์ใต้ หมายความว่าโง่จนหมายังไม่มอง แฉ้ = แชเชือน ปู่ด่าเป็นประจำช่วงผมอายุ ๘ – ๑๐ ขวบ จนผมก็เชื่อเอาจริงๆ ผมเป็นเด็กเงอะงะอยู่แล้ว ต่อหน้าผู้ใหญ่จึงยิ่งเงอะงะยิ่งขึ้น ผู้ใหญ่เขาบอกว่าเป็นเด็กขี้อาย แต่ผมก็เถียงปู่อยู่ในใจว่าโง่แล้วทำไมเรียนหนังสือเก่งกว่าเพื่อนวะ ผมมาฉลาดขึ้นภายหลังว่าที่ปู่ด่านั้นหมายความว่าไม่มีไหวพริบ ตอนโตแล้วผมจึงฝึกไหวพริบให้ตัวเองมาก พยายามเรียนรู้เรื่องไหวพริบจากคนเก่งๆ ที่อยู่รอบตัว แต่ไหวพริบบางแบบผมก็รับไม่ไหว เพราะผมมองว่าเป็นไหวพริบแบบขี้โกง
• ที่จริงพ่อแม่รู้ว่าผมเป็นเด็กฉลาด เพราะสอนงานได้เร็ว ผมทำบัญชีโรงสีได้ตั้งแต่อายุ ๑๒ ขวบ ผมมาสังเกตภายหลังว่างานที่ต้องทำเอง หรือทำคนเดียว หรือกับคนที่คุ้นเคย ผมจะเรียนรู้ได้เร็ว แต่ถ้าต้องติดต่อผู้คนจำนวนมาก หรือไม่คุ้นเคย หรือเป็นผู้ใหญ่ ผมจะทำไม่ได้ จึงมักถูกตำหนิ และเป็นที่ผิดหวังของแม่ที่รักการค้าขาย จุดอ่อนเหล่านี้ผมแก้ไขตัวเองได้ช้าๆ เมื่อโตขึ้น แต่ก็ยังเป็นข้อด้อยติดตัวตลอดมา ผมเจียมตัวในข้อด้อยนี้และหมั่นฝึกฝนจากตัวอย่างดีๆ ที่มีอยู่รอบตัว แต่ก็ฝึกแบบเจียมตัว บอกตัวเองว่าเราคงทำอย่างเขาไม่ได้ แต่เราก็ฝึกตัวให้ดีขึ้นได้ จะได้ทำอะไรๆ ที่เป็นประโยชน์ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่
• เมื่อสอบได้ที่ ๑ ของประเทศ ผู้คนเล่าลือเรื่องความปราดเปรื่องของผมจนเกินจริง แม้คนเล่าลือการทำงาน วิธีทำงาน ตอนผมเป็นคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มอ. ก็เกินจริงไปมาก ทำให้ผมนึกถึงเรื่องอภินิหารที่เขาเล่าลือเรื่องผู้วิเศษต่อๆ กันมา ว่ามักมีการต่อเติมจินตนาการของผู้เล่าลือเข้าไปด้วยเสมอ ผมตั้งข้อสงสัยตัวเองเสมอว่าอะไรบ้างที่มีส่วนทำให้บรรลุความสำเร็จนั้น และถามตัวเองเสมอว่าที่ได้สิ่งนั้นมา เราได้พลาดโอกาสอะไรไปบ้าง ในตอนก่อนผมได้เล่าแล้วว่าความสำเร็จส่วนใหญ่ของผมได้จากวิธีเรียนหรือทำงานแบบ “ควายเทคนิค” คือเอาทนเข้าว่า ผมตอบตัวเองว่าในช่วงเวลาประมาณ ๓ – ๔ ปีที่เรียน ม. ๖ จนถึงจุฬาฯ ปี ๑ ผมเป็นคนแคบมาก ไม่รู้เรื่องราวของโลก ไม่เข้าใจคน ความรู้แคบอยู่แค่วิชาที่เรียนเพื่อสอบ ผมบอกตัวเองว่าต้องลดการเรียนเพื่อสอบลง เพิ่มการเรียนให้รู้รอบมากขึ้น นี่คือที่มาของการอ่านหนังสือนอกวิชาเรียนเป็นการใหญ่ในช่วงอยู่ปี ๒ ที่จุฬาฯ เป็นการฝึกฝนตัวเองให้เรียนรู้นอกห้องเรียนเป็น
วิจารณ์ พานิช
๒๘ พค. ๔๙
ไม่มีความเห็น