เล่ห์กลของบริษัทยาข้ามชาติ


          บทความนี้ตีพิมพ์ใน New England J of Medicine เชียวนะครับ   เปิดโปงเล่ห์กลการตลาดของบริษัทยาอย่างมีข้อมูลหลักฐานอ้างอิง   อ่านต้นฉบับได้ที่นี่

          ยานี้ชื่อ Neurontin เป็นยาเก่า จดสิทธิบัตรปี ๒๕๒๐  และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (ของสหรัฐอเมริกา) ปี ๒๕๓๖   และติดตลาดอย่างรวดเร็วจนยอดขายถึงปีละ ๓ พันล้านเหรียญในปี ๒๕๔๗   เป็นยาของบริษัท Parke–Davis, ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท  Warner–Lambert และถูกซื้อโดย Pfizer ในปี ๒๕๔๓ 
 
          เรื่องแดงขึ้นเมื่อนักวิทยาศาสตร์หนุ่มที่เพิ่งจบ postdoc จากฮาร์วาร์ดหมาดๆ เข้าไปทำงานที่ Parke–Davis ในปี ๒๕๓๙   และในไม่ช้าก็รู้ว่ากำลังถูกใช้ให้ทำหน้าที่หลอกลวงและให่ข้อมูลผิดๆ แก่หมอเพื่อชักชวนให้ใช้ยานี้    เขาจึงลาออกและร่วมกับรัฐฟ้องบริษัทต่อศาล   ซึ่งในที่สุดบริษัทต้องตกลงจ่ายค่าปรับเป็นเงิน ๔๓๐ ล้านเหรียญ ในปี ๒๕๔๗   เรื่องคดีนี้มีหลักฐานให้ค้นได้ทาง อินเทอร์เน็ต   และเวลานี้ Parke–Davis ก็ยังมีคดีถูกประชาชนผู้บริโภคฟ้องศาลฐานต้องเสียเงินซื้อยาจากการหลอกลวง

          นี่คือตัวอย่างของคดีการตลาดแบบผิดกฎหมาย   ที่วงการตุลาการไทย วงการคุ้มครองผู้บริโภค และวงการสุขภาพ น่าจะศึกษาไว้   เพื่อให้รู้เท่าทันและจัดการกับคนชั่วบริษัทชั่วได้ทันท่วงที 

          วิธีการที่บริษัทนี้ใช้ในการโฆษณาได้แก่

  จ้างหมอให้มาฝึกวิธีโฆษณายาแบบปากต่อปาก


  ให้ทุนด้านการศึกษา ทุนวิจัย แก่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่ช่วยพูดสนับสนุนสรรพคุณยา   มีหมอบางคนได้รับเงินนี้ถึง ๑๕๘,๒๕๐ เหรียญในช่วงเวลา ๔ ปี

 
  โฆษณาแอบแฝงในการศึกษา การตีพิมพ์ และการวิจัย


  โฆษณาโดยตรง อย่างตรงไปตรงมา เช่นลงโฆษณา และไปพบหมอโดยตรง


  จัดตั้งแพทย์ที่เชียร์ยา Neurontin ทำหน้าที่ดำเนินการ Teleconference กับแพทย์ในพื้นที่ เกี่ยวกับการใช้ยานี้   มีหมอที่ได้รับค่าตอบแทนในหน้าที่นี้ถึง ๑๗๖,๑๐๐ เหรียญในเวลา ๔ ปี


  จ่ายเงินสนับสนุนแบบไม่อั้นแก่บริษัทจัดการศึกษาแพทยศาสตร์ต่อเนื่อง ที่จัดรายการอภิปรายการใช้ยา Neurontin   และผู้เข้าร่วมได้คะแนนการศึกษาต่อเนื่อง


   จ่ายเงินแก่บริษัทจัดการศึกษาแพทยศาสตร์ต่อเนื่อง ให้เขียนบทความวิชาการลงตีพิมพ์   และให้ทำวิจัยเพื่อตีพิมพ์ส่งเสริมการขาย   บางบทความผู้เขียนเป็น ghost writer


  หาทางปกปิดห้ามปรามไม่ให้มีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยที่มีหลักฐานว่ายานี้ไม่มีฤทธิ์บางอย่างตามที่อ้าง เช่นฤทธิ์แก้ปวดที่เกิดจากความผิดปกติของเส้นประสาท (neuropathic pain)   “พนักงานของ Parke–Davis ต้องไม่ตีพิมพ์ข้อความที่มีผลเสียหายต่อผลสำเร็จด้านการตลาดของ Neurontin”

 

          ผมหวังว่าความชั่วร้ายนี้ ยังระบาดมาไม่ถึงเมืองไทย


หมายเหตุ  ขอขอบคุณ ศ. นพ. ธาดา ยิบอินซอย ที่ส่งบทความนี้มาให้


หมายเหตุ ๒ (๑๐ ม.ค. ๕๓) เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ภรรยาฟัง เธอบอกว่า Too late. 

 

 

วิจารณ์ พานิช
๗ ม.ค. ๕๓

        

คำสำคัญ (Tags): #530111#บริษัทยา
หมายเลขบันทึก: 326874เขียนเมื่อ 11 มกราคม 2010 14:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 16:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ

ดิฉันprint บทความที่อาจารย์แนบมา ๒ ชุด เพื่อเป็นข้อมูลในการทำงาน

เรากำลังทำงานเล็กๆ ชิ้นหนึ่งชื่อ "โครงการใช้ยาอย่างรู้ค่า" ค่ะ เราจะ Empower คนไข้ให้ใช้ยาอย่างสมเหตุผล เราไม่หวังใหญ่ไปกว่านี้ค่ะ

เกือบ 200ปี ที่ประเทศของเราและประเทศที่ถูกเขาชี้ว่า กำลังพัฒนา ด้อยพัฒนาทั้งหลาย ต้องเดินตามเขา(ประเทศพัฒนา) นั่นเพราะเกิดการปฎิวัติจากเกษตรกรรมสู่อุตสาหกรรม โดยพวกเขา เราจึงเดินตามก้นเขา ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้ การศึกษา เพื่อป้อน เครื่องจักรมนุษย์ที่เรียกว่า คน เข้าสู่ ระบบอุตสาหกรรม เพื่อผู้กุมบังเหียนยอดบนสุด ของระบบ

ตัวอย่างเช่น

แพทย์ของเราและทั่วโลก ก็เรียนจาก ตำราของเขา และตำราของเขา ก็ได้รับการสนับสนุน จาก บริษัทยา บริษัทเครื่องมือแพทย์ ของเขา

ดังนั้น เขาจึงปลูกฝังสอนให้แพทย์เรา เน้น ใช้ยา ใช้เครื่องมือ แบบฟุ่มเฟือย

ปชช ทุกคนไม่เว้นแม้แต่แพทย์เอง ต่างก็ถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆกันแล้ว ว่า

ถ้าไม่สบาย แม้จะนิดหน่อยก็ตาม ต้อง พึ่งผู้อื่น สิ่งอื่นๆ คือ ยา หมอ เท่านั้น

และนั่นคือ ทฤษฎีล่าอาณานิคม ทางความคิด ความเชื่อ โดย ความรู้ ตำรา

ไม่ต่างอะไรกับ ระบบทุนนิยมสมัยนี้ ที่ใกล้ล่มสลายเต็มที

ย้อนกลับไปในอดีตกว่า 10 ปี ถ้าไม่นับ ธุรกิจคอมพิวเตอร์ ซอฟแวร์ แล้ว

ธุรกิจที่เฟื่องฟู ร่ำรวยที่สุดในโลก คือ บริษัทยา เคมี และเครื่องมือแพทย์

เพราะ ขายได้ทั้งโลก ผูกขาด เพราะแพทย์ทั้งโลก เรียนจาก ตำราของเขา

ระบบการเรียนการสอน ทางการแพทย์ สอนให้ แพทย์ทุกคนอยู่ในกรอบ

แม้จะโบราณแค่ไหนก็ตาม คิดนอกกรอบ นอกตำรา ไม่ได้ เป็นผิดหมด

เราไม่กล้า แม้จะคิดนอกกรอบ จึงไม่มี ศาสตร์ใดๆเป็นของตัวเอง จริง

แต่ก็ยังดี ที่เรามี กรมการแพทย์ทางเลือก เกิดขึ้นทัน ไม่งั้นเจ๊งแน่ๆ

แต่ไม่รู้ว่า อจ.แพทย์ในมหาวิทยาลัย จะซึมซับยอมรับได้ มากน้อยแค่ไหน???

เพราะไม่มี paper รับรอง

เกือบ 200ปี ที่ประเทศของเราและประเทศที่ถูกเขาชี้ว่า กำลังพัฒนา ด้อยพัฒนาทั้งหลาย ต้องเดินตามเขา(ประเทศพัฒนา) นั่นเพราะเกิดการปฎิวัติจากเกษตรกรรมสู่อุตสาหกรรม โดยพวกเขา เราจึงเดินตามก้นเขา ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้ การศึกษา เพื่อป้อน เครื่องจักรมนุษย์ที่เรียกว่า คน เข้าสู่ ระบบอุตสาหกรรม เพื่อผู้กุมบังเหียนยอดบนสุด ของระบบ

ตัวอย่างเช่น

แพทย์ของเราและทั่วโลก ก็เรียนจาก ตำราของเขา และตำราของเขา ก็ได้รับการสนับสนุน จาก บริษัทยา บริษัทเครื่องมือแพทย์ ของเขา

ดังนั้น เขาจึงปลูกฝังสอนให้แพทย์เรา เน้น ใช้ยา ใช้เครื่องมือ แบบฟุ่มเฟือย

ปชช ทุกคนไม่เว้นแม้แต่แพทย์เอง ต่างก็ถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆกันแล้ว ว่า

ถ้าไม่สบาย แม้จะนิดหน่อยก็ตาม ต้อง พึ่งผู้อื่น สิ่งอื่นๆ คือ ยา หมอ เท่านั้น

และนั่นคือ ทฤษฎีล่าอาณานิคม ทางความคิด ความเชื่อ โดย ความรู้ ตำรา

ไม่ต่างอะไรกับ ระบบทุนนิยมสมัยนี้ ที่ใกล้ล่มสลายเต็มที

ย้อนกลับไปในอดีตกว่า 10 ปี ถ้าไม่นับ ธุรกิจคอมพิวเตอร์ ซอฟแวร์ แล้ว

ธุรกิจที่เฟื่องฟู ร่ำรวยที่สุดในโลก คือ บริษัทยา เคมี และเครื่องมือแพทย์

เพราะ ขายได้ทั้งโลก ผูกขาด เพราะแพทย์ทั้งโลก เรียนจาก ตำราของเขา

ระบบการเรียนการสอน ทางการแพทย์ สอนให้ แพทย์ทุกคนอยู่ในกรอบ

แม้จะโบราณแค่ไหนก็ตาม คิดนอกกรอบ นอกตำรา ไม่ได้ เป็นผิดหมด

เราไม่กล้า แม้จะคิดนอกกรอบ จึงไม่มี ศาสตร์ใดๆเป็นของตัวเอง จริง

แต่ก็ยังดี ที่เรามี กรมการแพทย์ทางเลือก เกิดขึ้นทัน ไม่งั้นเจ๊งแน่ๆ

แต่ไม่รู้ว่า อจ.แพทย์ในมหาวิทยาลัย จะซึมซับยอมรับได้ มากน้อยแค่ไหน???

เพราะไม่มี paper รับรอง

อจ.ครับ

โปรดลบ คห.คุณยุทธออกอันหนึ่ง

ซ้ำกันครับ

ต้องจ่ายค่าความชั่วร้ายเยอะนะ ยามันถึงได้แพงเกินจริง และเห็นด้วยกับคุณยุทธฯ

paper รับรองทางการแพทย์

หากเป็นของคนไทยด้วยกันนั้น เราจะรู้สึกว่า"ขาดความน่าเชื่อถือ"

เพราะ

ด้วยความเป็นแพทย์ที่เท่าเทียมกันแล้วเชื่อว่า "เก่งไม่เกินกันน่า"

ดังนั้น

เกือบ100ปีที่มีแพทย์แผนใหม่ในไทย

จึงมีศาสตร์ใหม่ๆของตัวเอง เกิดขึ้น น้อยมากๆ

(ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงอาชีพตัวอย่าง แท้จริงแล้วเป็นกันทุกสาขาอาชีพ)

จึงให้คิดสงสาร ลูกหลานไทย ในอนาคต จริงๆ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลง วันนี้

ที่ อาจารย์มหาวิทยาลัย ยังคงติดอยู่ในกรอบวิธีคิดแบบเดิมๆมิเสื่อมคลาย

ก็คงต้องรอความหวังจากKM ให้แพร่หลาย ขยายวงจจริงๆ

จำได้สมัยประถม ต้องท่องจำว่า

"ปัจจัย 4 มี อาหาร บ้าน เสื้อผ้า ยา"

จึงถึงบางอ้อแล้วว่า การพึ่งพา ยา(ทั้งยาคน ยาสัตว์ ยาพืช ลองนึกถึง วอลุ่มการตลาดโลกซิครับ)

ทำให้มนุษย์ใช้ชีวิตมักง่าย ไม่ดูแลป้องกันตัวเอง ไม่พึ่งตัวเอง

เพราะ เชื่อโดยฝังใจว่า ถ้าเจ็บป่วยมา ก็พึ่งยา พึ่งหมอ แบบสำเร็จรูป

วงการแพทย์เมืองไทย ก็พูดถึงกันน้อยมาก กับการ ส่งเสริม และป้องกันสุขภาพ(เพราะ Conflic of interest)

คงเพราะ แพทย์ไทย ไม่เคยมีการสอน แบบองค์รวม จึงเน้นหนักแต่ การรักษา ตามตำราฝรั่ง

อีกส่วนหนึ่ง คงเพราะมีความรู้สึกว่า ได้ใช้ความรู้(ในกะลา ตำรามือสอง ที่ไม่ได้คิดเอง) ใช้ฝีมือ ใช้เทคโนโลยี่มือสอง(ไม่ได้คิดเอง)

ที่เริ่มเห็น วงการส่งเสริมสุขภาพดีขึ้น ในไม่กี่ปีมานี้ ก็ต้องยกความดีให้ สสส.และอาจารย์หมอผู้ใหญ่(ชราด้วย) ที่เข้าใจ เข้าถึง กล้าเปลี่ยนแปลง

แต่อีกส่วนหนึ่ง คงเพราะทานกระแสธรรมชาติบำบัดและแพทย์ทางเลือก จากฝรั่งหนังหมูไม่ได้ กลัวตกกระแส และตามเขาไม่ทัน นั่นเอง(วงการอาหารและเกษตร ก็ อินทรีย์ ปลอดสารเคมี)

สรุป เราจึงเป็นผู้ตามก้น ตลอดกาล

ถึงเวลาของไทยหรือยัง ทั้งที่มีสมุนไพร พืชพรรณ ธัญญาหาร มากมาย

มีสถานที่ดีๆ ศาสนสถานดีๆ มีผู้นำทางจิตวิญญาณที่ดี มากมายในการนำทาง

นี่คือจุดแข็งและจุดขาย ในการเป็นผู้นำโลก ด้านอาหาร และการแพทย์องค์รวม

เคยมีใครทำการศึกษาวิจัยว่า

วิถีการดำรงชีวิต ที่ต้องพึ่งพาการใช้ยาเล็กๆน้อยๆ ตั้งแต่เกิดจนแก่ มีผลต่อความเจ็บป่วย เช่น โรคไต โรคตับ โรคเรื้อรังอื่นๆ หรือไม่อย่างไร???

ตลาดยาแสนล้าน ภาครัฐฟัดเอกชน

http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/67758

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท