ตีสามตื่นขึ้นมาแค่ปิดนาฬิกาปลุก แล้วนอนต่อ (ผิดศีลข้อ 4 ไม่ปฏิบัติตามข้อวัตรและความตั้งใจ) ตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณหกโมงเช้า แต่เหมือนนอนคิดอะไรไปเรื่อย ๆ ไม่มีสาระ มารู้สึกตัวอีกทีก็เกือบ ๆ หกโมงครึ่ง มีเสียงเตือนตนเองออกมาว่า
“ไม่ได้นะ แกจะทำแบบนี้ไม่ได้ ไปออกกำลังกายเดี๋ยวนี้”
หนูค่อย ๆ ลุกขึ้นล้างหน้าเปลี่ยนชุดเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็ทำเพราะเป็นหน้าที่ ๆ ต้องปฏิบัติ แต่หนูก็แวะข้างทางโดยการหาข้อมูล MK ที่อยู่ตามห้างสรรพสินค้าก่อน ตอนแรกหาไม่ได้ ใจหนักขึ้น หงุดหงิด จนต้องวางลงและหายใจแล้วปรับวิธีใหม่ จนได้ข้อมูลครบพร้อมจดลงสมุดจด ก่อนออกจากห้องนึกขึ้นได้
อ้าวยังไม่ได้ทำวัตรเช้า จึงนั่งลงทำวัตรเช้าก่อน เสร็จแล้วก็ออกจากห้องมุ่งสู่ประตูกระทรวง วันนี้รองเท้าผ้าใบไม่แห้งเพราะเมื่อวานฝนตก หนูจึงเลือกรองเท้า ADDA ที่หุ้มส้นมาด้านหลัง เคยใส่คู่นี้เดินไกล ๆ แล้วพองที่หลังเท้าข้าง ๆ นิ้วโป้ง
แต่ก็บอกตนเองว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้ วิ่ง ๆ ไปออกกำลังกายก็รู้สึกได้ว่าเจ็บ ๆ ที่เท้า วันนี้คนน้อย หนูนึกขึ้นมาได้ วันนี้เป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ซึ่งก็คือ วันเด็ก
ในการทรวงจึงมีคนน้อยกว่าปกติ หนูนั่งลงสำรวจเท้าตนเอง อืม ถลอก นั่งอยู่ริมคลองที่มีน้ำพุ มีดอกบัวสาย เป็นจุดที่นั่งแล้วสบายใจ สงบ นั่งตามลมหายใจไปเรื่อย ๆ บางทีก็จะมีเครื่องบิน ๆ ผ่านมา แล้วลับขอบเมฆไป
หนูนึกขึ้นมาได้ว่า วันนี้หลวงตาท่านจะมอบทองคำเข้าคลังหลวง ซึ่งมีฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เสด็จมาเป็นองค์ประธานฝ่ายฆารวาส จึงเปิดวิทยุในมือถือ ปรากฏว่าเป็นช่วงฉันฑ์อาหารเช้า
ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณขององค์หลวงตา ที่ท่านเมตตารักษาธาตุขันธ์เพื่อสงเคราะห์โลก
ใจหนูระลึกถึงครู เพราะท่านเคยเล่าว่า
เมื่อไหร่ที่พี่รู้สึกว่า เหน็ดเหนื่อยจากงาน ก็มีองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเป็นต้นแบบแห่งการทำงาน เป็นดั่งกำลังใจ
สักพักใจหนูมีอาการลิงโลดขึ้นมา หนูจึงถอดรองเท้าเดินจงกลมบนพื้นที่มีตัวหนอนวางเรียงเป็นทางเดิน หนูเดินไปด้วยฟังเทศน์หลวงตาไปด้วย ดูใจตนเองไปด้วย พอใจเริ่มสบายขึ้น อะไรทำให้ใจหนูกระเพื่อมขึ้นมาอีก เหมือนมันมีความคาดหวังว่าจะเจออาจารย์และเจอครู มันเป็นความสุข ที่จะมีโอกาสมอบของขวัญให้ทั้งสองท่านที่หนูรักและเคารพในท่านทั้งสอง
สาย ๆ เดินกลับออกมาจากกระทรวงแล้วหนูก็เปลี่ยนใจว่าจะไปทานข้าว จึงบอกมอร์ไซรับจ้างว่าจะไปปากซอยบำราศ สุดท้ายหนูเปลี่ยนใจ กลับหอพัก หนูกลับมาทำความสะอาดห้องเพิ่มเติม ตั้งใจให้ในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่หนูจะทำได้ เพื่อท่าน
ประมาณเที่ยงครูโทรมาถามทางมาที่หอพัก ท่านเล่าสั้น ๆ ว่า
“ดีมากเลยที่ได้มา เดี๋ยวพี่กำลังจะขึ้นเครื่อง”
หนูจึงทำงานรอ ที่ห้อง เปิด G2K หยิบ paper มาอ่าน นั่งอยู่ในห้องแล้วหนูมีน้ำมูกขึ้น หนูจึงทำน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งทาน น้ำมูกลดลงถือว่าโอเค ระลึกว่าอืมถ้าครูมาถึงลองทำให้ท่านทานดีกว่า
บ่าย ๆครูท่านเดินทางมาถึง ท่านชวนหนูคุยอย่างเบิกบานถึงภารกิจที่ท่านไปทำ หนูฟังสิ่งที่ท่านแบ่งปันแล้วรู้สึกดีมาก ๆ หนูรู้สึกว่า ครูไปเติมกำลังใจให้ใครหลาย ๆ คนกับการเดินทางในครั้งนี้ของท่าน
ครูบอกว่า
เราแค่ไปชี้ให้เขาเห็นว่าความสุขของเขาอยู่ตรงไหน
หนูมอบของขวัญปีใหม่ให้ครู ท่านค่อย ๆ เปิดดูแล้วตั้งใจชื่นชมสิ่งที่หนูมอบให้อย่างเบิกบานค่ะ รู้สึกดีที่ท่านเบิกบาน เพราะขณะที่หนูทำให้ท่านหนูตั้งใจ อย่างเต็มที่แต่พยายามไม่คาดหวัง แต่พอเห็นท่านพอใจและเบิกบานใจหนูเหมือนได้กำไรเจ้าค่ะ
พอครูท่านทำธุระส่วนตัวหนูรู้สึกหิว จึงขออนุญาตไปหาอะไรรองท้อง ท่านบอกว่า อย่าทานเยอะนะเดี๋ยวเราไปกิน MK กัน พอท่านทำธุระเสร็จ เราออกไปทาน MK กันที่ เซ็นทรัลรัตนาธิเบศ หนูรู้สึกหิวมาก ๆ ค่ะ ตอนที่ไปแล้วหาร้านยังไม่เจอนี่ ใจหนูเป็นหนัก ๆ เหมือนรีบร้อนจนครูท่านเตือนสติว่า
“ไม่ต้องรีบก็ได้”
พอเจอร้านแล้ว เดินเข้าไปหนูรู้สึกหิว เราทั้งคู่สั่งอาหารมาเยอะทีเดียวค่ะ พอทานไปสักพักเริ่มมีพลังขึ้นมา ทั้งครูและหนูหัวเราะกันอย่างเบิกบาน และเล่าถึงว่าตอนแรก ๆ หิวมาก หลัง ๆ เริ่มลดสปีดการกินลง ครูท่านเมตตาเล่าประสบการณ์ต่าง ๆให้ฟัง มีประโยคหนึ่งที่หนูรู้สึกประทับใจมากท่านบอกหนูว่า
“คนเราต้องการเพียงความมั่นคงทางจิตใจ คนที่เรียนสูง ๆ โดยส่วนใหญ่ เพราะเขาไม่มีความมั่นคงทางจิตใจ เพราะคิดว่า สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ยังไม่มั่นคงพอ”
แล้วครูก็ยกตัวอย่างถึงพระสงฆ์ท่านหนึ่งที่ท่านทำงาน
“ท่านไม่ได้ใช้อะไรเลยทางโลกธรรม แต่ท่านมีความมั่นคงทางจิตใจ ท่านจึงนำพาผู้อื่นให้ทำสิ่งต่าง ๆ ได้”
หนูรู้สึกว่า
“ใช่ ท่านทำงาน ช่วยเหลือผู้คนได้อย่างห้าวหาญ ไม่หวั่นเกรงกับอุปสรรคใด ๆ”
ครูเอ่ยต่อว่า
"แตกต่างจากคนที่เรียนสูง ๆ ตำแหน่งทางวิชาการสูง ๆ แต่ไม่มีความมั่นคงทางจิตใจ"
พอทานเสร็จ รู้สึกอิ่มาก ๆ ค่ะ อิ่มทั้งอาหาร อิ่มทั้งธรรม ที่ครูเมตตาสั่งสอนแบ่งปัน แต่ทั้งหนูและครู ก็ระลึกถึงอาจารย์เพราะไม่สามารถติดต่อท่านได้ ครูบอกหนูว่า
“พี่เลี้ยงมื้อนี้รวบยอด วันเกิดเรา วันปีใหม่และก็วันเด็ก ฮา”
หนูยิ้มพร้อมพนมมือแล้วเอ่ยว่า
“สาธุขอบพระคุณค่ะ แม่ ฮา”
กลับมาถึงหอพัก หนูรู้สึกอิ่มมาก ๆ ครูท่านก็อิ่มท่านจึงเข้าห้องน้ำแล้วก็ทำสมาธิ หนูจึงนั่งลงสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว แล้วก็มานั่งเปิด G2K พยายามถอดบทเรียนในตนเอง ครูท่านรู้สึกเพลีย ๆ เหมือนทั้งวันทั้งคืนท่านแทบไม่ได้นอน ก่อนท่านนอนท่านเมตตาบอกหนูว่า
“ตามสบายนะ แสงไฟและเสียงไม่สามารถรบกวนการนอนของพี่ได้”
เหมือนท่านรู้ใจหนูเพราะว่าหนูกำลังคิดจะตั้งโคมไฟแล้วปิดไฟห้อง พอท่านเมตตาเอ่ยเช่นนี้หนูจึงนั่งทำงานต่อ ครูงีบไปประมาณ 1 ชั่วโมงโทรศัพย์ท่านดังขึ้น ไม่นานด้วยความใส่ใจของท่านก็กดโทรกลับแล้วลุกขึ้นมาคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงที่เบิกบาน
ตอนที่ครูท่านนอนหลับใจหนูสบายและเบิกบาน อิ่มในใจที่ได้ให้ที่พักพิงชั่วคราวกับท่านและประทับใจที่ได้มีโอกาสเรียนรู้และเป็นส่วนหนึ่งของการทำความดีของท่าน กราบขอบพระคุณครูนะคะ ที่เมตตาหนูเสมอมา
กราบขอบพระคุณครูค่ะ
ครูอ้อยมาตั้งใจอ่านแล้วนะคะ
ขอบคุณ แง่คิดที่ดี ได้นำไปคิดและปฏิบัติมากเลยค่ะ
มีความสุขมากๆๆนะคะ
ขอบพระคุณค่ะ ครูอ้อย แซ่เฮ
สำหรับความตั้งใจในการอ่าน (เพราะค่อนข้างยาว ฮา)
ปกติแล้วคุณครูของหนูท่านต้องอ่านแบบนี้ทุกวันเลยค่ะ
แต่ตอนนี้ท่านเมตตาให้หนูนำจดหมายที่เขียนหาท่านเป็นประจำนำมาตีพิมพ์ไว้ที่นี่ กราบขอบพระคุณนะคะสำหรับกำลังใจ