เรื่องเล่าจากต่างแดน : ครั้งแรกที่เวียดนาม
เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางไปที่ประเทศเวียดนาม ก็เคยฝันมานานเหมือนกันว่าอยากไปสักครั้งหนึ่ง เพราะมีคนเคยบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังว่าที่นั้นหญิงสาวเวียดนาม สวย และที่สำคัญอยากชิมอาหารเวียดนามว่ารสชาติจะเหมือนบ้านเราหรือเปล่า
สามเดือนต่อมาก็ได้ข่าวว่าจะได้ไปเวียดนามในนามคณะกรรมการดำเนินงานมหาวิทยาลัยวร้างเสริมสุขภาพ แรก ๆ ก็ไม่อยากเชื่อว่าจะได้ไปจริง ความรู้สึกตอนนั้นก็เฉย ๆ จนกระทั่งมีคำสั่งให้ไป
ก่อนออกเดินทาง คนข้าง ๆ ก็หาหนังสือเกี่ยวกับประเทศเวียดนามมาให้อ่านเพื่อที่เตรียมตัวออกนอกประเทศ ก็ได้ความรู้มาบ้างเล็กน้อย คือทางประเทศเวียดนามจะมีอยู่ 2 ฤดู คือ ฤดูฝนกับ ฤดูหนาว ช่วงหนาวก็จะเป็นเดือน ธันวาคม ถึง เดือนเมษายน เดือนที่เหลือก็เป็นฤดูฝน
คำศัพท์ที่ได้จากการอ่านหนังสือมีคำว่า
“ลาวมุ้ง” แปลว่า อร่อย
“แลบจ่าย” แปลว่า หล่อ
“แลบก๋าย แปลว่า สวย
“กะเมิง” แปลว่า ขอบคุณ
อ่านแล้วก็คงพอที่จะได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมทางกันได้บ้างคลายเหงา ส่วนที่ได้จากการถามจากคนเวียดนาม และได้จากการต่อราคาสินค้าที่ซื้อ ก็มีคำว่า “แอม” แปลว่า น้อง , เบิร์ด แปลว่า “ลด” ,และอ๋าวหย่าย คือชุดประจำชาติเวียดนาม ประมาณนี้แหละค่ะ
เรามุ่งหน้าไปที่นครเว้ สถานที่แหล่งแรกที่เราได้เข้าชมคือ วัด”เทียนมู่” หรือเรียกว่า (วัดนางฟ้า) ซึ่งอยู่ริมฝังแม่น้ำหอม ก่อนที่จะได้พักในคืนวันแรกที่โรงแรม Duy Tan hotel
ไกด์ได้พาเราล่องเรือฟังเพลงพื้นเมือง และได้เห็นฤการแต่งกายของนักร้องและนักดนตรีด้วยชุดประจำชาติ “อ๋าวหย่าย” ของเวียดนาม และชมสะพาน 7 สี หลังจากนั้นก็ไปทานข้าวที่ภัตตาคาร และก็เข้าที่พักเพื่อพักผ่อนเอาแรงเดินทางในวันต่อไป
เราเริ่มออกเดินทาง เวลา 08.00 น. ด้วยรถบัสคันเดิมโดยมีระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร ระหว่างการเดินทางเข้าเมืองเว้เราก็ชมธรรมชาติของต้นไม้ที่อยู่บนเขาเรียงรายอย่างเพลินตาเพลินใจ และมองลงไปอีกระดับหนึ่งก็จะมองเห็นทะเลจีนใต้ที่สวยงาม
ต่อมาเราเข้าชมความงามอันวิจิตรของพระราชวัง ด๋ายโน้ย ของราวงค์เหงียน นครจักรพรรดิ 13 กษัตริย์แห่งเมืองเว้ ที่สร้างขึ้นโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1804 เดิมสร้างจากดิน ต่อมาสร้างด้วยอิฐในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ล้อมรอบด้วยคูเมืองที่กว้างและคดเคี้ยวชั้นแรกเป็นกำแพงยาว 10 เมตร สูง 7 เมตรมี 10 ประตู สำหรับคน เข้า-ออก และประตูทางน้ำ 2 ประตู เป็นเขตพระราชฐานชั้นในหรือ ที่เรียกว่า “นครต้องห้าม” ที่เคยเป็นสถานที่ส่วนพระองค์ สำหรับกษัตริย์และราชวงค์ ได้รับความเสียหายมากหลังจากสงครามเวียดนามสิ้นสุดลง
จากนั้นเราได้เดินทางไปชมเมืองเก่าตามถนนสายเล็กที่สองฝั่งจะเป็นสถานที่ที่อนุรักษ์บ้านเรือนที่มีแต่แบบเดิม และเต็มไปด้วยสินค้าหลากหลายชนิด โดยเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่คือการติดโคมไฟที่มีสีสันสดใส สวยงาม อีกทั้งยังได้ชมสะพานญี่ปุ่น ที่ชาวญี่ปุ่นสร้างขึ้น ตั้งแต่ปีค.ศ.1593 เพื่อเชื่อมชุมชนตนเองกันกับชาวจีน
หลังจากได้ชมบ้านเรือนแบบเดิม ๆ ของเวียดนามแล้ว เราก็ได้ซื้อสินค้ากันอย่างสนุกสนาน เพราะกว่าที่จะซื้อได้แต่ละชิ้นเล่นเอาสาว ๆ
เมื่อยมือไปตาม ๆ กัน ไกด์ก็เลยพาเราไปเพื่อผ่อนคลายโดยการพาไปล่องเรือในแม่น้ำหอม พร้อมกับรับประทานอาหารบนเรือแก้เมื่อยแล้วก็กลับที่พัก
วันที่สุดท้ายของการทัศนศึกษาที่เมืองเว้เช้าวันต่อมาก่อนที่จะกลับเมืองไทย เราก็ได้ไปชมผ้าปักด้วยมือโดยใช้ไหมญี่ปุ่นปัก หลังจากนั้นก็ไป Shopping ที่ตลาดหาน แล้วก็ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณ์ท่านประธานโฮจีมินห์
หลังจากนั้นก็เดินทางสู่นครเว้เพื่อ Shopping ที่ตลาดดองบาแล้วเดินทางกลับที่พักเช่นเคย
การเดินทางไกลสิ้นสุดลงแล้วเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเที่ยวชมสถานที่ของเมืองมรดกโลกที่ลือชื่อ เพราะในวันรุ่งขึ้นก็จะเดินทางกลับเมืองไทย เราก็เลยถือเอาโอกาสอันนี้เที่ยวชมบรรยากาศเวลากลางคืนของ นครเว้ ก่อนกลับบ้านอย่างแฉ่มชื่นหัวใจ
นี่คือประสบการณ์ในการเดินทางครั้งแรกที่ต่างแดนที่ได้สัมผัสกับมรดกโลกอันลือชื่อ และธรรมชาติอันสวยงามริมสองข้างทางตลอดระยะเวลา 3 คืน 4 วัน
อยากไปเหมือนกันค่ะ เวียดนาม อังกฤษแสนสนุก
คิดถึงเสมอค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณแดนไท
ต้องกล่าว "กะเมิง" ที่มาเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวในเวียดนาม...อยากไปอยู่นะค่ะ
สวัสดีค่ะ ต้องมีภาพ “แลบจ่าย” และ“แลบก๋าย มาให้ชมแน่ๆเลย
ไว้จะตามมาดูภาพ “กะเมิง” ล่วงหน้าค่ะ
อยากไปครั้งแรกที่เวียดนามบ้างคะ
เด็กๆเป็นอย่างไรกันบ้างคะ
ยายลืมอะไรไปหรือเปล่า
เล่าเรื่อง...สี่รส...สี่แบบ อิอิอิ