ผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณสุข
จากการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
ปี 2547
อนุชา หนูนุ่น[1] และสมนึก จันทร์เหมือน[2]
จากการวิจัยเรื่อง
ผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณสุขจากการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม
จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานจริง ณ สถานีอนามัย
ในระหว่างเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2547 ทั้งหมด 288 คน
ได้รับแบบสอบถามที่มีความสมบูรณ์กลับคืน 254 คน
คิดเป็นอัตราการตอบกลับ (response rate) เท่ากับร้อยละ 88.19
และเมื่อคิดเป็นรายสถานีอนามัย จากทั้งหมด 125 แห่ง ได้รับกลับคืน 118
แห่ง คิดเป็นร้อยละ 94.40
และใช้ข้อมูลจากการรายงานจำนวนผู้มารับบริการนอกเวลาราชการของสถานีอนามัย
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 254 ถึง เดือนมิถุนายน 2547 รวมเป็นระยะเวลา 9
เดือน จึงได้นำมาประมวลผล และมีผลการวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งเป็น 5 ส่วน
คือ
1. ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง
2.
ข้อมูลผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณสุขจากการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
3.
ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของระดับผลกระทบฯ
จำแนกตามคุณลักษณะของประชากร
4. ความคิดเห็น
และข้อเสนอแนะในการจัดบริการสาธารณสุขช่วงการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
5.
ข้อมูลจำนวนผู้ที่มารับบริการนอกเวลาราชการของสถานีอนามัย
ซึ่งจะได้นำเสนอในรายละเอียด
ดังต่อไปนี้
ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป
พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีตำแหน่งเจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน
(ร้อยละ 40.2) มีระยะเวลาการปฏิบัติงาน ณ
สถานีอนามัยที่อยู่ในปัจจุบัน ประมาณ 5 ปี 1 เดือน – 10 ปี (ร้อยละ
29.5) โดยเฉลี่ยประมาณ 10 ปี (X = 124.76 เดือน)
ทั้งนี้พบว่าเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย (สัดส่วน 57.1 :
42.9)
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงอายุ 31 –
40 ปี (ร้อยละ 48.4) โดยเฉลี่ย มีอายุ 37.07 ปี ประมาณหนึ่งในสี่
เป็นผู้ที่ยังไม่มีบุตร(ร้อยละ 25.2) และพบว่าว่าผู้ที่มีบุตรจำนวน 2
คน เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด (ร้อยละ 46.1)
ในจำนวนผู้ที่มีบุตรคิดโดยเฉลี่ยแล้วจะพบว่ามีบุตรจำนวน 2 คน
ทั้งนี้พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีสถานภาพสมรสแล้วเป็นกลุ่มที่มีมากที่สุด
(ร้อยละ 78.7)
ส่วนที่ 2
ข้อมูลผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณสุขจากการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
สรุปภาพรวมของผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณสุขจากการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยตามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ให้บริการเอง
พบว่ามีผลกระทบในระดับมาก เป็นส่วนใหญ่ (ร้อยละ 88.6)
เมื่อจำแนกเป็นรายด้านและรายข้อ ได้ผลการวิเคราะห์ดังนี้
ด้านแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน
ในภาพรวมแล้วกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่า จะมีผลกระทบระดับมาก
(ร้อยละ 52.4) โดยประเด็นผลกระทบที่ทำให้เกิดความเต็มใจ
และอยากปฏิบัติงานอย่างเต็มความรู้ ความสามารถ อยู่ในระดับมาก (ร้อยละ
44.9) มีผลทำให้สามารถใช้เวลาในเวลาราชการ
ไปทำงานเชิงรุกในชุมชนได้มากขึ้นในระดับมาก (ร้อยละ 44.5)
และมีผลทำให้สามารถใช้เวลาในระหว่างการอยู่เวรฯ
จัดการกับงานที่คั่งค้างอยู่ได้ในระดับมากที่สุด (ร้อยละ 46.9)
แต่ทั้งนี้ก็ทำให้ผู้บังคับบัญชา/ผู้นิเทศ เข้มงวดในการควบคุมกำกับ
และตรวจสอบปานกลาง และระดับมาก เท่า ๆ กัน (ร้อยละ 42.1)
ด้านการพัฒนาคุณภาพบริการ
ในภาพรวมแล้วกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่า
จะมีผลกระทบระดับมากถึงร้อยละ 74.0
โดยสถานีอนามัยได้รับการพัฒนาคุณภาพบริการอย่างต่อเนื่องในระดับมาก
(ร้อยละ 54.7)
และมีผลทำให้เจ้าหน้าที่อยากพัฒนาตัวเองทั้งในด้านความรู้และทักษะในการให้บริการระดับมากที่สุด
(ร้อยละ 46.9) ซึ่งจากการอยู่เวรฯ ทำให้ได้รับความร่วมมือจาก
ชุมชนในการพัฒนาสถานีอนามัยในระดับมาก (45.7)
แต่ก็มีผลทำให้การประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ
หรือโรงพยาบาลแย่ลงในระดับปานกลาง (ร้อยละ 37.0)
ด้านความพึงพอใจของประชาชนในชุมชน
ในภาพรวมแล้วกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่า จะมีผลกระทบในระดับมาก
(ร้อยละ 83.9) โดยเฉพาะในประเด็นที่ทำให้ประชาชนมีความ
คาดหวังต่อบริการสูงขึ้น มีระดับมาก (ร้อยละ 60.6)
และประเด็นที่ทำให้กลุ่มผู้นำชุมชน (ตัวแทนประชาชน)
ไม่มีความพึงพอใจต่อบริการมีระดับน้อย (ร้อยละ 50.8)
ทั้งนี้พบว่าทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากขึ้นในระดับมาก
(ร้อยละ53.1)
และเป็นการเพิ่มทางเลือกที่ตรงกับความต้องการของชุมชนได้จริงในระดับมาก
เช่นกัน (ร้อยละ 54.7)
ด้านการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต
ในภาพรวมแล้วกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่า มีผลกระทบอยู่ในระดับมาก
(ร้อยละ 58.7)
โดยเฉพาะประเด็นการไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินช่วงที่ต้องอยู่เวรฯ
อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 33.5)
และทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวดีขึ้นอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ
50.0) ทั้งนี้พบว่าทำให้ไม่มีอิสระหรือไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว
ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 46.5)
แต่กลับมีความรู้สึกรักและผูกพันต่ออาชีพผู้ให้บริการ
สาธารณสุขในระดับมาก (ร้อยละ 52.8)
โดยสรุปในแต่ละด้านจะพบว่าด้านแรงจูงใจในการปฏิบัติงานจะเพิ่มขึ้นในระดับมาก
ถึงมากที่สุดรวมกันถึงร้อยละ 92.2 รองลงไปคือ
ด้านความพึงพอใจของประชาชนในชุมชน และด้านการพัฒนาคุณภาพบริการ
(ร้อยละ 91.4 และ 88.6 ตามลำดับ) โดยด้านที่มีผลกระทบน้อยที่สุด คือ
ด้านการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต (ร้อยละ 62.2)
ทั้งนี้หากพิจารณาในภาพรวมจะมีผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณสุข
จากการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในในระดับมาก
ถึงมากที่สุดรวมกัน ร้อยละ 92.1
เมื่อได้นำคะแนนผลกระทบฯ
ในแต่ละด้านวิเคราะห์หาความสัมพันธ์
พบว่าด้านการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต
ไม่มีความสัมพันธ์กับด้านอื่น ๆ เลย ส่วนด้านแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน
ด้านการพัฒนาคุณภาพบริการ และด้านความพึงพอใจของประชาชนในชุมชน
ล้วนมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในเชิงบวกทั้งสิ้น
ส่วนที่ 3
ข้อมูลการเปรียบเทียบระดับผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณสุขจากการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
จำแนกตามคุณลักษณะของประชากร
เมื่อเปรียบเทียบผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณสุขจากการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
จำแนกตามตำแหน่งทางราชการของกลุ่มตัวอย่างไม่พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
0.05
เมื่อเปรียบเทียบผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณสุขจากการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
จำแนกตามตำแหน่งทางราชการของกลุ่มตัวอย่างไม่พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
0.05
เมื่อเปรียบเทียบผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณสุขจากการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
จำแนกตามเพศหญิงและชาย
ซึ่งไม่พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
0.05
เมื่อเปรียบเทียบผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณสุขจากการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
จำแนกตามกลุ่มอายุของกลุ่ม ตัวอย่าง
ซึ่งไม่พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
0.05
เมื่อเปรียบเทียบผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณสุขจากการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
จำแนกตามจำนวนบุตรของกลุ่มตัวอย่าง
ซึ่งไม่พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
0.05
เมื่อเปรียบเทียบผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณสุขจากการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
จำแนกตามสถานภาพของกลุ่มตัวอย่าง
ซึ่งไม่พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
0.05
ส่วนที่ 4 ข้อมูลความคิดเห็น
และข้อเสนอแนะในการจัดบริการสาธารณสุขช่วงการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
ด้วยวิธีวิเคราะห์ข้อความ (Content Analysis)
ที่ได้จากแบบสอบถามชนิดคำถามปลายเปิดใน 4
ประเด็นที่เป็นความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
ต่อการจัดบริการสาธารณสุขช่วงการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัย
คือ 1.) ด้านการปรับปรุงรูปแบบการจัดบริการ
หรือการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัย 2.)
ด้านการปรับปรุงค่าตอบแทน อัตราการจ่ายค่าตอบแทน
และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน 3.) ด้านการปรับปรุงในมาตรการการควบคุมกำกับ
และการตรวจสอบ และ 4.) ด้านอื่น ๆ โดยมีจำนวนกลุ่ม
ตัวอย่างที่ตอบคำถามในแบบสอบถามตอนที่ 2 (คำถามปลายเปิด) ทั้งหมด 200
คน คิดเป็นร้อยละ 78.74 ของจำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด
สามารถสรุปผลได้ดังนี้
1. ด้านการปรับปรุงรูปแบบการจัดบริการ
หรือการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการของสถานีอนามัยในจังหวัดพัทลุง
สรุปผลตามความคิดเห็น และข้อเสนอแนะของกลุ่มตัวอย่างได้ดังนี้
1.1
รูปแบบการจัดบริการเหมือนเดิม
เนื่องจากประชาชนในเขตรับผิดชอบเคยชินกับการจัดบริการแบบนี้อยู่แล้ว
และเจ้าหน้าที่สามารถใช้เวลาช่วงที่อยู่เวรจัดการกับรายงาน
หรืองานอื่น ๆ ที่คั่งค้างอยู่ให้สำเร็จลุล่วงไปได้
ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน มีเวลาให้กับการทำงานในเชิงรุก
หรืองานชุมชนมากขึ้น
ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการในระยะยาวได้ดี
1.2
การยุบรวมเฉพาะกรณีการเปิดให้บริการนอกเวลาราชการ
ด้วยการพิจารณาตามความเหมาะสม ความพร้อมทั้งจากภาคประชาชน
และเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ ที่สำคัญให้พิจารณาจากสภาพภูมิศาสตร์
ประเพณีวัฒนธรรม วิถีชาวบ้าน และความจำเป็นด้านสุขภาพ
1.3
การปรับเปลี่ยนช่วงเวลาการเปิดให้บริการ คือการเปิดบริการเพียง 2
ชั่วโมงหลังเวลาราชการปกติในวันปกติ และเปิดเฉพาะเวลากลางวันเสาร์
หรือทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์ สำหรับวันหยุดพิเศษให้ปิดบริการ
เพื่อบรรเทาปัญหาจากการไม่มีเวลาให้กับครอบ
หรือปัญหาจากความไม่ปลอดภัยในบางพื้นที่
อีกทั้งจะทำให้เจ้าหน้าที่ได้พักผ่อนจากการทำงานบ้าง
ซึ่งจะทำให้เกิดประสิทะภาพของการทำงานในชั่วโมงหรือคาบทำงานถัดไป
1.4
การเพิ่มกิจกรรมบริการหรือรูปแบบการทำงาน
ในระหว่างการอยู่เวรให้บริการนอกเวลาราชการ
เพื่อแก้ปัญหาจากกรณีที่อยู่เวรให้บริการโดยมีผู้ใช้บริการน้อย
หรือไม่มีผู้ใช้บริการเลย ด้วยการทำงานปกติ
หรืองานที่เป็นการพัฒนางานปกติ
ทั้งนี้ความเหมาะสมแล้วแต่ในพื้นที่จะได้มอบหมาย
ซึ่งให้นำแผนยุทธศาสตร์ แผนการพัฒนาคุณภาพบริการ
และสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นมาเป็นตัวกำหนดกรอบในการทำงาน
ด้วยการระบุผลงานให้ชัดเจน
ทั้งนี้จะต้องมีการทำพันธสัญญาไว้กับผู้บังคับบัญชาให้ชัดเจน
1.5
การอยู่เวรให้บริการนอกเวลาราชการ
โดยการแจ้งผู้รับบริการหรือป้ายแสดงให้เรียกได้จากบ้านพัก
(ไม่ต้องอยู่ประจำบนสถานีอนามัย) จะเป็นการแก้ปัญหาความไม่ปลอดภัย
หรือปัญหาจากการไม่มีเวลาให้กับครอบครัว
กรณีที่พักอยู่บ้านพักของสถานีอนามัย
1.6
การให้เจ้าหน้าที่อยู่เวรอย่างน้อย 2 คน ต่อ 1 เวร
กรณีที่ไม่ค่อยมีความปลอดภัย และมีจำนวนผู้รับบริการมาก
โดยการยุบรวมจากสถานบริการที่ไม่มีผู้ป่วย หรือมีผู้ใช้บริการน้อย
อยู่ใกล้โรงพยาบาล
หรืออยู่ห่างไกลไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
1.7
ยกเลิกการให้บริการนอกเวลาราชการ เพราะไม่มีความปลอดภัย
ไม่มีเวลาออกกำลังกาย
ไม่มีเวลาให้กับครอบครัวและความเป็นส่วนตัว
โดยสรุป
ตามความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้จะพบว่า
ผู้ให้บริการส่วนใหญ่มีความคิดเห็นที่จะคงไว้ซึ่งรูปแบบการอยู่เวรนอกเวลาราชการ
โดยให้ลดจำนวนชั่งโมงที่อยู่เวรลง เหลือ 2 ชั่วโมง
ในวันปกติหลังเวลาราชการปกติ และเปิดบริการเฉพาะวันเสาร์ช่วงกลางวัน
ทั้งนี้ให้มีการยุบรวมการจัดบริการก็ได้แต่ต้องได้รับการประเมินความพร้อมและความเป็นไปได้จริงในสถานีอนามัยแต่ละแห่ง
สำหรับการจัดบริการนั้นก็ให้เพิ่มกิจกรรมบริการที่เน้นการให้บริการเชิงรุก
และการสร้างเสริมสุขภาพเป็นสำคัญ
ไม่จำเป็นต้องเน้นการเฉพาะการรักษาพยาบาลผู้ป่วย
แต่ให้เน้นการจัดบริการด้วยการเตรียมพร้อมเพื่อให้บริการ ณ
สถานีอนามัย แต่เป็นการเตรียมเพื่อดำเนินกิจกรรมบริการอื่น ๆ ไปด้วย
(กิจกรรมสนับสนุนในการดำเนินงานเชิงรุก และดำเนินงาทนในชุมชน)
2. ด้านการปรับปรุงค่าตอบแทน
อัตราการจ่ายค่าตอบแทน และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน สรุปผลตามความคิดเห็น
และข้อเสนอแนะของกลุ่มตัวอย่างได้ดังนี้
2.1
เพิ่มค่าตอบแทนให้แก่สถานีอนามัยให้มากกว่าเดิม
เพราะค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะต้องใช้จ่ายในด้านอื่น ๆ ด้วย
เช่นการพัฒนาสถานีอนามัย ค่าสาธารณูปโภค
และ/หรือค่าใช้สอยอื่นตามที่จำเป็น
และแต่ละสถานีอนามัยก็มีความจำเป็นและค่าใช้จ่ายที่ไม่เหมือนกัน
2.2
จ่ายค่าตอบแทนตามจริงและให้เท่าเดิม (10,000 บาทต่อเดือน)
เพราะเหมาะสมแล้ว หากมีการเปลี่ยนแปลงลดลง
เจ้าหน้าที่ผู้ที่อยู่บ้านพักจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
ดังนั้นควรจะมีการจ่ายค่าตอบแทนในการอยู่เวรในอัตราเดิม
และให้แห่งละเท่าเดิม เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่
ทั้งนี้จะเพิ่มการตรวจสอบหรือการควบคุมกับให้ดีขึ้น
ตลอดจนเอาจริงเอาจังกับเจ้าหน้าที่หรือสถานบริการที่ไม่ได้เปิดบริการจริงน่าจะเหมาะสมกว่า
ประเด็นที่สำคัญอีกประการ คือ
แม้ว่าจะไม่มีการให้ค่าตอบแทนในการอยู่เวร
สถานีอนามัยก็ยังมีความจำเป็นต้องให้บริการอยู่ดี
จะปฏิเสธประชาชนไม่ได้
ทั้งนี้เมื่อคราวไม่มีค่าตอบแทนก็ได้เปิดให้บริการอยู่ตลอดเวลา
จึงเสนอว่าควรจะให้ค่าตอบแทน ถ้ามีความจำเป็นจริง ๆ
ก็ต้องพิจารณาให้กับสถานีอนามัยที่มีการปฏิบัติงานจริง
และสถานีอนามัยที่มีความก้าวหน้าในการพัฒนาคุณภาพบริการอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจคนทำงาน
2.3
จ่ายค่าตอบแทนในอัตราเดียวกันโดยไม่ต้องพิจารณาตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ที่มีตำแหน่งไม่เหมือนกัน
เพราะต้องทำงานและมีความรับผิดชอบตามกรอบของการทำงานเฉพาะนอกเวลาราชการเหมือน
ๆ กัน ส่วนอัตราเงินเดือน
และความก้าวหน้าที่ได้รับตามกรอบแนวทางในการทำงานปกตินั้นมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว
และเหมาะสม
2.4
ควรโอนเงินให้สถานีอนามัยโดยตรง มากกว่าการโอนไปให้โรงพยาบาลก่อน
เพราะเป็นการเพิ่มขั้นตอนให้ยุ่งยาก
และเป็นการเพิ่มโอกาสและช่องทางของความขัดแย้งระหว่างสถานีอนามัยและโรงพยาบาลให้มากขึ้นไปอีก
จากที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน
2.5
ควรจัดสรรงบประมาณให้สถานีอนามัยในสัดส่วนไม่เท่ากัน (ด้วยงบปลายปิด)
กล่าวคือ ตั้งงบประมาณไว้ทั้งปีในภาพรวมของจังหวัด
จากนั้นให้พิจารณาด้วยหลักเกณฑ์ที่
เหมาะสมและเป็นธรรมในการจัดสรรให้สถานีอนามัยแต่ละแห่ง
หรือเฉพาะแห่งที่ขอทำสัญญากับเครือข่ายบริการ
หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพื่อเปิดให้บริการ
โดยแต่ละแห่งที่จะได้รับการจัดสรรงบประมาณไม่จำเป็นต้องได้รับเท่ากัน
2.6
ควรจัดสรรงบประมาณที่เป็นค่าตอบแทนให้สถานีอนามัยตามต้นทุนค่าแรงที่เป็นจริงในแต่ละโรค
หรือกลุ่มโรค หรือในแต่ละกิจกรรม เช่น กิจกรรมการควบคุมโรค
กิจกรรมการส่งเสริมสุขภาพ
เฉพาะกรณีบริการที่ดำเนินการนอกเวลาราชการ
โดยสรุป ตามความคิดเห็น
และข้อเสนอแนะของกลุ่มตัวอย่างสามารถสรุปได้ว่าค่าตอบแทนที่ให้ในการอยู่เวรรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการนั้น
จะไม่เพียงพอต่อการใช้ เพราะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
เช่นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาสถานีอนามัย หรือค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น
ฉะนั้นจึงไม่ควรลดลง
แต่ให้ใช้วิธีการจัดสรรด้วยงบประมาณในภาพรวมทั้งจังหวัดในรูปแบบงบประมาณปลายปิด
แล้วนำมาพิจารณาจัดสรรให้แต่ละสถานีอนามัยแต่ละแห่งไม่เท่ากัน
ตามสภาพปัญหา(จำนวนผู้ป่วย, ลักษณะการเจ็บป่วย, ฯลฯ)
แผนพัฒนาคุณภาพบริการ แผนยุทธศาสตร์
และพันธะสัญญาที่ได้ทำไว้กับหน่วยบริการ
โดยให้จัดสรรงบประมาณตรงไปยังสถานีอนามัยไม่ต้องผ่านโรงพยาบาล
ซึ่งอาจจะจัดสรรเป็นงวดหรือจัดสรรในแต่ละเดือนได้ตามความเหมาะสม
3. ด้านการปรับปรุงในมาตรการการควบคุมกำกับ
และการตรวจสอบ สรุปผลตามความคิดเห็น
และข้อเสนอแนะของกลุ่มตัวอย่างได้ดังนี้
3.1 การควบคุมกำกับ
ควรปฏิบัติด้วยหลักการตรวจเยี่ยมมากกว่าการไปจับผิด
และให้ดำเนินการตามสายการบังคับบัญชา
ไม่ควรให้สายนิเทศงานเป็นผู้ควบคุมกำกับเอง
เพราะเมื่อเกิดการไม่ยอมรับก็จะทำให้การประสานงานในเรื่องต่าง ๆ
ต่อไปทำได้ยากขึ้น
จะเป็นการส่งผลกระทบในระยะยาวสำหรับการจัดบริการสาธารณสุข
3.2 การตรวจสอบ
ต้องมีความเป็นธรรมแก่สถานีอนามัยในแต่ละแห่ง และทุกแห่ง
โดยไม่เลือกปฏิบัติเพื่อตรวจสอบเฉพาะแห่ง
ตลอดจนการละเว้นในการตรวจสอบในบางแห่ง
ทำให้รู้สึกสูญเสียกำลังใจในการปฏิบัติงาน
3.3
การตรวจสอบควรมีความต่อเนื่อง และจริงจัง
พบว่าในปัจจุบันการตรวจสอบก็ไม่มีความต่อเนื่อง และไม่จริง
จะเป็นการตรวจสอบเพียงเพื่อตอบสนองต่อการสั่งการจากผู้บริหาร
หรือผู้บังคับบัญชาของผู้ตรวจสอบอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น
แต่ไม่ได้เป็นการตรวจสอบตามแผนงานปกติ
หรือตามอำนาจหน้าที่ปกติที่พึงปฏิบัติ ทำให้ผู้อยู่เวรไม่เกรงกลัว
และไม่ได้อยู่เวรจริง หรืออยู่เวรฯไม่ครบตามเวลาจริง
ที่สำคัญทำให้ประชาชนขาดโอกาส และสูญเสียเงินงบประมาณโดยใช่เหตุ
3.4 การตรวจสอบ
หรือควบคุมกำกับ ควรจะมีค่าตอบแทนให้เหมือนผู้อยู่เวรฯ
เพื่อเป็นแรงจูงใจในการออกตรวจสอบการอยู่เวรฯ และจะทำให้การอยู่เวรฯ
มีเจ้าหน้าที่อยู่จริง
ประชาชนได้ขาดหรือเสียผลประโยชน์
3.5 การตรวจสอบ
ควรจะได้ดำเนินการในลักษณะคณะกรรมการ
โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย
เพื่อแก้ปัญหาจากข้อครหาการไม่อยู่เวรและการสมยอมทั้งจากผู้ตรวจสอบที่เป็นผู้บังคับบัญชา
และเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ
3.6 การตรวจสอบ และควบคุม
กำกับที่ดี
จะต้องมีมาตรการพัฒนาหรือสร้างจิตสำนึกบริการแก่ผู้ให้บริการควบคู่กันไปด้วย
จึงจะเกิดประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมที่แท้จริง เพราะในปัจจุบัน
เจ้าหน้าที่กลัวการตรวจสอบจากผู้บริหาร เพียงเพราะกลัวถูกตำหนิ
หรือถูกลงโทษ ซึ่งเป็นแรงจูงใจเชิงลบที่สร้างความกดดัน
และความเครียดทั้งจากเจ้าหน้าที่ และผู้บริหาร
3.7
การรายงานผลการปฏิบัติงานไม่ควรรายงานเฉพาะจำนวนผู้รับบริการ
แต่ควรให้มีการายงานถึงผลการปฏิบัติงานอื่น ๆ
ที่ได้ดำเนินการในระหว่างการอยู่เวรฯ เช่นการจัดทำรายงาน
การบันทึกข้อมูล การตรวจสอบรายงาน
หรือการพัฒนานวัตกรรมทางด้านสาธารณสุขขึ้นมา
ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผู้ที่มีความสามารถได้แสดงศักยภาพให้ผู้บริหารได้รับทราบด้วย
3.8
การตรวจสอบด้วยวิธีการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานจริง
ด้วยอาศัยคณะกรรมการตรวจสอบที่เป็นกลาง
และเป็นธรรมให้ข้อมูลการอยู่เวรก่อนการอนุมัติให้เบิกจ่าย
และองค์ประกอบของคณะกรรมการต้องมาจากประชาชนในชุมชน ในสัดส่วนที่เท่า
ๆ กับภาคส่วนของผู้บังคับบัญชา หรือผู้นิเทศ
โดยสรุป ตามความคิดเห็น
และข้อเสนอแนะของกลุ่มตัวอย่างสามารถสรุปได้ว่าการการควบคุมกำกับ
การตรวจสอบ และการรายงานผลนั้น ควรให้มีคนกลางเข้าร่วมควบคุมกำกับ
และตรวจสอบการให้บริการในรูปของคณะกรรมการ
โดยมีการทำพันธะสัญญาไว้กับผู้บริหาร ในการอยู่เวรฯ
และให้มีการตรวจสอบจากผลที่คณะกรรมการฯ ได้รายงานไว้
ก่อนการเบิกจ่ายงบประมาณส่วนนี้
สำหรับการรายงานผลการปฏิบัติงานไม่ควรรายงานเฉพาะจำนวนผู้รับบริการ
แต่ควรให้มีการายงานถึงผลการปฏิบัติงานอื่น ๆ
ที่ได้ดำเนินการในระหว่างการอยู่เวรฯ
ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผู้ที่มีความสามารถได้แสดงศักยภาพให้ผู้บริหารได้รับทราบด้วย
4. ด้านอื่น ๆ สรุปผลตามความคิดเห็น
และข้อเสนอแนะของกลุ่มตัวอย่างได้ดังนี้
4.1
กลุ่มหรือภาคีเพื่อนหมออนามัยดูแล ควบคุมกำกับ
และตรวจสอบหมออนามัยด้วยกันเอง
โดยที่ยังได้รับค่าตอบแทนจากการอยู่เวรฯ เช่นเดิม
ไม่ต้องปรับเพิ่มขึ้น หรือลดลง ทั้งนี้ควรให้โอกาสแก่กลุ่มฯ
ในการรับหลักการ ทำพันธสัญญา จากผู้บริหารของหน่วยงานเช่น
คณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอ (คปสอ.) หรือจาก
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง และดำเนินการให้บริการประชาชน พร้อม ๆ
กัน กลุ่มหรือภาคีเอง ก็มีการประเมินผลจากประชาชน
จากกระบวนการดำเนินงาน และจากตัวเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการเอง
ซึ่งหากว่าไม่สามารถทำได้ตามเงื่อนไขที่ได้ให้สัญญาไว้ก็ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ในพันธสัญญา
4.2 การพัฒนาวิชาชีพหมออนามัย
และการให้บริการชุมชน งบประมาณที่ให้เป็นค่าตอบแทนในการอยู่เวรฯ
โดยทางอ้อมแล้วส่วนหนึ่งก็จะถูกนำกลับมาใช้ในการพัฒนาบุคลากร
ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ ถ้าหากจะลดในส่วนค่าตอบแทนการอยู่เวรฯ
ก็ควรจะนำไปเป็นงบประมาณที่ใช้สำหรับพัฒนาบุคลกรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชนก็ได้
หรือแปรเปลี่ยนไปเป็นงบประมาณสำหรับการพัฒนาคุณภาพการให้บริการสำหรับสถานีอนามัยที่เป็นรูปธรรม
เช่นการให้ความรู้และทักษะในการจัดบริการโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง
หรือการป้องกันโรค หรืองานสุขภาพจิต เป็นต้น
โดยสรุป ตามความคิดเห็น
และข้อเสนอแนะของกลุ่มตัวอย่างสามารถสรุปได้ว่ามีความต้องการให้มีการดูแลและตรวจสอบกันเองในกลุ่ม
และกลุ่มเป็นตัวแทนในการทำพันธะสัญญากับผู้บริหาร รวมถึงการควบคุม
ตรวจสอบกันเอง
ส่วนที่ 5
ข้อมูลข้อมูลจำนวนผู้ที่มารับบริการนอกเวลาราชการของสถานีอนามัย
พบว่าอัตราการใช้บริการผู้ป่วยนอกเวลาราชการโดยเฉลี่ยต่อประชากรทั้งหมดเท่ากับ
0.00028 ครั้งต่อคน โดยเฉลี่ยการใช้บริการต่อเดือนเท่ากับ 137
ครั้งต่อเดือน สำหรับอำเภอที่มีการใช้บริการเฉลี่ยต่อเดือนสูงที่สุด
คือ อำเภอควนขนุน (X = 220 ครั้ง) รองลงไปคือ กิ่งอำเภอศรีนครินทร์
และอำเภอปากพะยูน (X = 170 และ 163 ตามลำดับ) และอำเภอที่น้อยที่สุด
คืออำเภอบางแก้ว (X = 40)
สำหรับสถานีอนามัยที่มีผู้ใช้บริการนอกเวลาราชการโดยเฉลี่ยต่อเดือน
สูงที่สุด คือ สถานีอนามัยปันแต อำเภอควนขนุน (X = 721) และต่ำที่สุด
คือ สถานีอนามัยบ้านท่ามะเดื่อ อำเภอบางแก้ว (X = 4)
เมื่อนำค่าเฉลี่ยของการใช้บริการนอกเวลาราชการต่อเดือน
มาจัดกลุ่มโดยแบ่งเป็น 5 กลุ่ม พบว่า
กลุ่มที่มีค่าเฉลี่ยของการใช้บริการนอกเวลาราชการต่อเดือนเป็นสัดส่วนมากที่สุดคือกลุ่มมากกว่า
151 ครั้งต่อเดือน (ร้อยละ 32.80)
และกลุ่มที่มีสัดส่วนน้อยที่สุดคือกลุ่ม 1 – 50 ครั้งต่อเดือน (ร้อยละ
7.20)
ดาวน์โหลดเอกสารเฉพาะผลการวิจัยที่สมบูรณ์ได้ที่ http://gotoknow.org/file/chinekhob/OuttimeHC2547.zip
หมายเหตุ : คณะผู้วิจัย
[1] นักวิชาการสาธารณสุข 5 กลุ่มงานประกันสุขภาพ
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง
[2] เจ้าหน้าที่บริหารงานสาธารณสุข 6 หัวหน้าสถานีอนามัยบ้านควนเพ็ง
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง