กร่อนคำ..ถอดความ จากหนังสือ "กัมพูชากับสงครามล้างเผ่าพันธุ์ฯ" ... ( 5 )


เมื่อ "ลางแห่งมฤตยู" เดินทางมาถึง ... อะไรจะเกิดขึ้นกับชาวพนมเปญบ้าง 

ลองติดตามกันต่อในบันทึกที่ 5 นี้ครับ 

 

 

๕. 

 

 

ลางแห่งมฤตยู

 

ในช่วงแรกแห่งการเข้ายึดกรุงพนมเปญนั้น ประชาชนในกรุงพนมเปญบางคนก็แสดงความยินดี บางกลุ่มก็ครุ่นคิด บางคนก็เกิดลางสังหรณ์มองเห็นลางร้ายที่จะมาถึงตน จึงทำให้พนมเปญเต็มไปด้วยความกังวลใจ สงสัยว่าอะไรจะเกิดขึ้นในพรุ่งนี้ แม้ว่าทุกทั่วถนนหนทางในกรุงพนมเปญ จะมีผู้คนรวมกันเป็นกลุ่ม ๆ แสดงความดีใจและต่างยกธงสีขาว เพื่อแสดงความดีอกดีใจ ทั้งข้าราชการ หรือประชาชน และแม้แต่กรรมกร สโคล (อาละม็อก : ลักษณะคล้ายสามล้อ แต่เล็กกว่า คนนั่งอยู่หน้าและคนถีบอยู่หลัง) โดยคิดว่า สงครามได้สิ้นสุดลงแล้ว สันติภาพกลับมาสู่กัมพูชาแล้ว

 

(http://gotoknow.org/file/paleeyon/CAMtricycle.jpg)

 

 

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ลางแห่งมฤตยูก็เอื้อมมือมาถึง นั่นคือ คำประกาศของผู้นำเขมรแดงจากเครื่องกระจายเสียง

 

"องค์การเหนือได้ขอร้องให้ประชาชนทุก ๆ คน ที่อยู่ในกรุงพนมเปญ พาครอบครัวตนออกจากเคหะสถานเป็นเวลา 3 วัน เพื่อให้โอกาสแก่องค์การจัดธุระในรัฐธานีพนมเปญ เพื่ออิสรภาพแห่งกัมพูชาทั้งมวล"

 

จากนั้นประชาชนในกรุงพนมเปญ ต่างก็หอบข้าวของเท่าที่นำไปได้ออกจากเคหะสถานบ้านช่อง มีของติดตัวไปเท่าที่จำเป็น หรือสามารถเอาไปได้ ทั้งนี้โดยไม่มีใครล่วงรู้ว่า นี่คือ แผนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และทำทารุณกรรมของเขมรแดง แต่ทุก ๆ คนต้องเดินทางตามคำสั่งไปตามถนนหลวงทุกเส้นทาง

 

นายนุช นวล (ชาวเขมรอพยพ) ได้ให้คำอธิบายเพิ่มเติมว่า พวกเราออกเดินทางด้วยความวุ่นวายที่สุด น่าเวทนาที่สุด ตามถนนหลวงหมายเลข 5 (พนมเปญ-พระตะบอง) ชั่วโมงหนึ่งย่างก้าวได้ไม่เกิน 1 เส้น เพราะทุกคนต่างก็มุ่งหน้า บ้างก็ตามหาลูก ถามหาพ่อแม่พี่น้อง ชุลมุนไปหมด เราเดินทางประมาณ 2 เดือน ได้เพียง 20 กิโลเมตร ทั้งนี้เพราะผู้คนเป็นหมื่นเป็นแสนออกเดินทางพร้อมกัน ถนนสายเดียวกัน

 

ประมาณปลายเดือนมิถุนายน 2518 ก็มีรถทหาร ยี เอ็ม ซี มารับพวกเราขึ้นเต็มคันรถ ยัดเยียดยิ่งกว่าปลาราในไห เอาพวกเราไปยังกลางทุ่งนาในจังหวัดพระตะบอง และที่นี่ที่เขาเรียกว่า "กันแลงลว็ดดอ็ม = แหล่งทารุณกรรม"

 

ที่เขมรแดงได้อพยพพวกเราไปบังคับให้ทำไร่ไถนา ขุดคลองกลางทุ่งนี้ เขาได้แบ่งพวกเราออกเป็นกลุ่ม ๆ ดังนี้

1. เด็กอายุตั้งแต่ 7 - 12 ปี เรียกมารวมกัน และตั้งชื่อว่า "กองกุมาร"

2. คนอายุตั้งแต่ 13 - 23 ปี เรียกว่า กองยุวจลัต "กองวัยรุ่นจรยุทธ"

3. คนอายุตั้งแต่ 24 - 30 ปี เรียกว่า กองวัยกันดาล "กองวัยกลางคน"

4. คนอายุตั้งแต่ 31 - 45 ปี เรียกว่า กองเสนาชน "กองเสนาชน"

5. คนอายุตั้งแต่ 46 ปีขึ้นไป เรียกว่า กองมนุษย์จะส์ "กองคนแก่"

 

อนึ่ง นายนุช นวล บอกว่า บางแห่งบางกลุ่มเป็นกลุ่มแม่หม้าย, กลุ่มพ่อหม้าย และกลุ่มชราอีกกลุ่มหนึ่ง ทั้งหมดนี้ให้ทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน โดยงานส่วนใหญ่ คือ การขุดคลอง การทำนา ใช้คนลากไถแทนควาย ส่วนคนแก่ ๆ ก็ให้เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ เด็ก ๆ ก็ให้เดินเก็บรวงข้าวที่ตกหล่น หรือไล่นกกระจอกที่มากินข้าวในนา และตัดต้นสาบเสือไปทำปุ๋ย

(สูตรปุ๋ยเขมรแดง = 1.ต้นสาบเสือ 2.ดินจอมปลวก 3.อุจจาระคน วิธีผสม นำต้นสาบเสือมาสับให้ละเอียด แล้วทำดินจอมปลวกกับตักอุจจาระจากหลุมส้วมมาคลุกผสม ครั้นแล้วนำไปเทราดตากให้แห้ง เป็นแผ่น ๆ แล้วจึงนำไปใส่แปลงนาข้าว นุช นวล บอกว่า ทำให้ข้าวในนางอกงามดีมาก)

 

 

ตารางเวลาทำงาน

เวลา 05.00 - 11.00 น.

เวลา 13.00 - 18.00 น.

 

 

พอหลังกินข้าวเย็นแล้ว ก็เริ่มทำงานอีก จนถึงเวลา 22.00 น. จึงให้นอนได้ (นอนก็จะให้นอนใต้ต้นไม้) ไม่มีเสื่อหรือหมอนอะไรทั้งนั้น ทั้งนี้โดยการบังคับให้ทำงานอย่างหนัก ข้าวก็ไม่ให้กินอิ่ม ผู้คนจึงเป็นโรคขาดอาหาร ล้มตายนับไม่ถ้วน และผู้คนที่ล้มตายไปแล้วจะเอาไปฝังหรือเผาเพื่อทำเป็นปุ๋ย คนแก่ ๆ จะถูกให้หาบปุ๋ยไปใส่นาข้าว หรือพืชผักต่าง ๆ ไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีหมอ บางคนก็ล้มตายด้วยการกินรากไม้หรือใบไม้แทนข้าว ทั้งนี้เพราะคนกรุงพนมเปญไม่รู้จักต้นไม้ รากไม้อันไหนกินได้ อันไหนกินไม่ได้ เพราะฉะนั้นเกิดการล้มตายทุกวัน

 

(ข้อมูลนี้ได้มาจากการสัมภาษณ์นายนุช นวล แต่บางคนอาจจะไม่ได้พบประสบการณ์นี้ แต่อาจจะหนักกว่านี้ : ผู้เขียนบันทึก)

 

 

การทำทารุณกรรมของเขมรแดง

 

1. ให้อดอาหารตาย

2. โดยการทำทารุณกรรมทุบตีให้บอบช้ำตาย/กักขังลงโทษ

3. เอาไปสังหาร (โดยการใช้ขวาน/ด้ามจอบ/ท่อนไม้อย่างอื่น/ไม่ใช้กระสุนปืน)

อนึ่ง การฆ่าสังหารคนในกลุ่มเขมรแดง ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนัก 

 

 

......................................................................................................................................

 

ความคิดเห็นส่วนตัว...

 

นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนในชาติของตัวเองของเขมรแดง

เพื่อเหตุผลง่าย ๆ คือ การสร้างเมืองใหม่ สร้างสังคมใหม่ วัฒนธรรมใหม่ ที่เขมรแดงบอกว่า มีแต่ความเท่าเทียมกัน

อาณาจักรขอมเคยเจริญถึงขีดสุด ณ ดินแดนแถบนี้ แต่ก็ล่มสลายไป ซึ่งเป็นไปได้ไหมว่า เป็นฝีมือคนในชาติขอมเอง เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถัดมาอีก 1,000 ปี

ดินแดนต้องคำสาปหรือเปล่า ไม่มีใครทราบ แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ คนเขมรเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งประเทศ และความวุ่นวายก็ยังมีไม่รู้จบ 

ลามมาถึงประเทศเพื่อนบ้านที่ชื่อว่า "ประเทศไทย" อีกด้วย

 

 

บันทึกต่อ ๆ ไปจะเป็นรายละเอียดที่มากขึ้น

ประวัติศาสตร์เหล่านี้เป็นเรื่องที่หดหู่สำหรับคนที่รับสาร แต่อย่าลืมว่า "นี่คือสิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาในโลกนี้แล้วไม่รู้กี่ครั้ง" แต่มนุษย์ ผู้บ้าอำนาจก็ไม่เคยเข็ด เพียงแต่การรักษาอำนาจและเงินทองไว้ในมือให้ได้เท่านั้น คนในชาติเดียวกันก็ฆ่าได้ ใช่หรือไม่ครับ

โปรดติดตามรายละเอียดในบันทึกต่อไปครับ

  

ขอบคุณครับ :)

 

...................................................................................................................................

 

บันทึกที่เกี่ยวข้อง

  

 

 

แหล่งอ้างอิง

ปะแดง มหาบุญเรือง คัชมาย์.  บันทึกความทรงจำ กัมพูชากับสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และศูนย์อพยพในประเทศไทย.  สุรินทร์: โรงพิมพ์รุ่งธนเกียรติออฟเซ็ท, 2543.

 

หมายเลขบันทึก: 313348เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2009 01:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

ขอบคุณค่ะ อาจารย์ อ่านแล้วได้รับความรู้มากมายค่ะ จะติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ

คนเราจะอยู่เป็นสุขหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้ปกครองประเทศ คนไทยต้องช่วยกันดูแล สอดส่องการทำงานของ ส.ส. ส.ว. ที่เราเลือกเข้าไปให้ทำงานบริหารประเทศ ถ้าไม่ทำหน้าที่เราต้องช่วยกันประนาม

ขอบคุณอาจารย์ค่ะ พวกเราต้องเอาเรื่องประวัติศาสตร์เก่าๆมาปัดฝุ่น อ่านกันอีกครั้งแล้ว

โชคดีที่ยังไม่ได้อยู่กองคนแก่...55 5

กองเสนาชนก็ยังดี ..อิ อิ

อุ๊บ...ไม่ใช่เขมรนี่นา..เหอะ เหอะ

ประวัติศาสตร์เหล่านี้เป็นเรื่องที่หดหู่สำหรับคนที่รับสาร แต่อย่าลืมว่า "นี่คือสิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาในโลกนี้แล้วไม่รู้กี่ครั้ง" แต่มนุษย์ ผู้บ้าอำนาจก็ไม่เคยเข็ด เพียงแต่การรักษาอำนาจและเงินทองไว้ในมือให้ได้เท่านั้น คนในชาติเดียวกันก็ฆ่าได้ ใช่หรือไม่ครับ

จริงจ้า...!!

ขอบคุณค่ะที่ทำให้ภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย

เราน่าจะเรียนรู้จากประวัติศาสตร์เพื่อเหตุการณ์เหล่านี้จะได้ไม่ลุกลามมาประเทศเราเนาะ..^_^

ขอบคุณมากครับ คุณ แก้ว ;) ... นั่นเป็นหน้าที่ของคนไทยที่ต้องช่วยกันครับ

ประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้ง เป็นเรื่องที่เราต้องเรียนรู้กันครับ เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก

ขอบคุณมากครับ พี่ศศินันท์ Sasinand ;)

เดินทางไป-กลับปลอดภัยครับ คุณเอก ;)

แหม คุณพยาบาล สีตะวัน แห่งกองเสนาชน ;)

การเรียนรู้ประวัติศาสตร์เหล่านี้เป็นสิ่งที่คนไทยควรเรียนรู้นะครับ

โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

เป็นเรื่องราวที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับชาติพันธ์มนุษย์เลย น่าสลดใจยิ่งนัก

ขอบคุณครับ คุณ rattanajan ที่ได้มาเยี่ยมเยือนบันทึกนี้ ;)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท