วันอาทิตย์ต้นเดือนที่ผ่านมา คนที่ขับรถมารับผมจากสกลนครไปเยี่ยมศูนย์เรียนรู้ที่หนองคาย เป็นหัวหน้าฝ่ายการศึกษาของ อบต.บัวตูม อ.โซ่พิสัย ชื่อ อ.ปรีชา มายูน
ผมเคยพบกับ อ.ปรีชา มาก่อนแล้วครั้งหนึ่งในการอบรมวิทยากรต้นกล้าอาชีพ หลักสูตรการทำวิสาหกิจชุมชนที่สกลนครเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ครั้งนั้นไม่ได้คุยกันมากไปกว่าการนัดหมายเรื่องการเดินทาง ครั้งนี้ได้คุยกันในรถนาน ๒ ชั่วโมงกว่า มีคำพูดหนึ่งที่ผมชอบมาก
"ผมเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำหรือทำอะไรได้"
อ.ปรีชาหนุ่มกว่าผมรอบครึ่ง (ปีนักกษัตร) แต่ผมสังเกตจากการแสดงความคิดความเห็นและการพูดการจารู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านชีวิตมามาก ก็เลยขอให้เขาเล่าเรื่องชีวิตของเขา
เล่าต่อโดยสรุปก็คือเขาเกิดมาในชนบทห่างไกล ในครอบครัวชาวนาที่ไม่มีเงินพอที่จะส่งลูกเรียน เขาต้องช่วยพ่อแม่ทำนา แต่ใจก็อยากเรียนมาก อยากเป็นครู จึงช่วยพ่อแม่ทำนาไปด้วยเรียนไปด้วย แถมยังทำเพิ่ม เช่น หน้าผักแตกยอดก็ขึ้นภูไปหาเก็บยอดผักหวานป่ามาขาย แม้จะโดนหนามเกี่ยวเจ็บแค่ไหนก็ไม่หวั่น พอเป็นหนุ่มก็ไปเป็นกรรมกรรายวันในไซต์งานก่อสร้างแลกกับค่าจ้างเพียงวันละไม่กี่สิบบาทเพื่อเก็บเงินส่งตนเองเรียนวิทยาลัยครูภาคพิเศษสำหรับผู้ใหญ่ (กศ.บป.)
อ.ปรีชาเล่าว่า ค่าเทอมสมัยนั้น ๗๐๐ บาท สำหรับคนอื่นอาจดูไม่มาก แต่สำหรับเขาแล้วต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน ไหนจะค่ารถประจำทางไปวิทยาลัยเที่ยวละ ๗ บาท ไป-กลับร่วม ๑๐๐ กิโล แล้วเขาก็ได้พบรักกับเพื่อนนักศึกษาที่ต่อมาได้แต่งงานและอยู่กินกันมาจนถึงปัจจุบัน (เธอเป็นครูสอนภาษาไทย) มีลูกด้วยกัน ๒ คน
ผมถามเขาว่า ตอนนั้นแฟนทราบไหมว่าเราต้องหาเงินจากการเป็นกรรมกรรับจ้างในไซต์งานก่อสร้าง เขาตอบว่า ตอนนั้นไม่ได้บอกแฟน
มีเรื่องส่วนตัวเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เขาบอกว่าตลอดชีวิตของเขาจนถึงปัจจุบันของเขาไม่เคยนอนกับผู้หญิงอื่นเลยนอกจากภรรยา แม้หลายครั้งที่เขาต้องไปนั่งร้านอาหารกับเพื่อนฝูงบ้าง แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำอะไรเกินขอบเขตมากไปกว่าการนั่งคุยกับนักร้อง โดยเขาสนใจถามเส้นทางชีวิตของพวกเธอก่อนที่จะมายึดอาชีพนี้ แต่ยืนยันว่าไม่เคยนอนกับพวกเธอแม้จะมีการถูกเนื้อต้องตัวกันบ้างแต่ก็ไม่เคยมีอะไรเกินไปกว่านั้น ซึ่งผมสังเกตภาษาท่าทางและน้ำเสียงที่พูดประกอบแล้วก็เชื่อว่าจริง
อ.ปรีชาบอกว่าตนไม่ใช่คนเรียนเก่ง "ได้มาแล้วทุกเกรด" แต่ก็หมั่นเพียรเรียนจนจบ แล้วก็ได้เป็นครูสอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนในอำเภอบ้านเกิดอยู่ ๑๒ ปี ก่อนที่จะเบนเข็มเข้ารับราชการ โดยสมัครสอบบรรจุเข้าทำงานฝ่ายการศึกษาของ อบต. มาได้ ๔ - ๕ ปี และได้เป็นอาจารย์พิเศษโครงการมหาวิทยาลัยชีวิต ศูนย์เรียนรู้ อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย ในปีนี้ (๒๕๕๒) ด้วย โดยการชักชวนของนายก อบต.บัวตูม (นายก อบต.บัวตูมก็เป็นอาจารย์ด้วย ท่านจบปริญญาโท)
อ.ปรีชา บอกว่า "ผมภูมิใจในชีวิตที่สามารถเดินมาจนถึงจุดปัจจุบันนี้มาก" ถ้าในทฤษฎีจิตวิทยาของฝรั่งก็ต้องบอกว่าเขาเป็นคนที่มี self-esteem (เห็นคุณค่า-ศักดิ์ศรีของตน)
ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจในชีวิตเขา หนึ่งในนั้นก็คือ ทัศนคติเรื่องการปล่อยวาง "เราทำสิ่งที่สมควรทำให้ดีที่สุด ทำแล้วแม้ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังก็ต้องปล่อยมันไป ผมสอนลูกให้เป็นคนดี แต่หากต่อไปเขาพลาดพลั้งไปทางไม่ดี ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้ด้วยตนเองต่อไป"
ซึ่งผมก็เห็นด้วย ถึงที่สุดแล้วเราทุกคนก็ต้องรับผิดชอบกับการ "ทำ" หรือ "ไม่ทำ" อะไรของเราเอง ในทางพุทธก็ว่า ไม่มีใครมารับกรรมของเราแทนเราได้
โดยสรุป สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดจากการสนทนาในรถวันนั้นก็คือ คำพูดของ อ.ปรีชา ที่ว่า "คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำหรือทำอะไรได้"
ผมเชื่อว่า ใครก็ตามที่ชีวิตเดินทางมาถึงจุดที่ตนสามารถเลือกที่จะ "ไม่ทำ" หรือ "ทำ" อะไร (ตามทำนองคลองธรรม) ได้ เขาผู้นั้นคือผู้ที่พบกับอิสรภาพของชีวิต
สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์
๙ พ.ย.๕๒
อาจารย์เขาเป็นคนดีจริงๆ ครับ
ท่านสุรเชษฐ ครับ ผมเคยเอกบทความที่ท่านเขียนเกี่ยวกับภูมิปัญญา ไปอ้างอิงในการทำภาคนิพนธ์ครับ เมื่อ พ.ศ. 2545
ยินดี และรู้สึกดีมากๆ ที่ได้คลิกเข้ามาอ่านเรื่องนี้ คะ
จะจำหลายๆ จุด ไปไว้ใช้กับตัวเอง
ขอเรียนเชิญ อ.สุรเชษฐ หาโอกาสมาเยี่ยมศูนย์เรียนรู้โครงการมหาวิทยาลัยชีวิต ที่ จ.ชุมพร บ้างนะครับ
เรียนอ.สุรเชษฐค่ะ
หนูเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำหรือทำอะไรก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะชีวิตเดินทาง ถูกจำกัดด้วยภาระและหน้าที่ค่ะ
แต่ก็ภูมิใจในสิ่งที่เป็นอยู่และจะทำต่อไปไม่มีใครมารับกรรมของเราแทนเราได้(สัจจธรรม)
ตอบคุณ omkoi
-> ครับ เข้าใจครับ คนจำนวนมากก็คิดว่าชีวิตไม่มีทางเลือก ผมอยากเชิญชวนให้ลองคิดในมุมกลับดูว่า เวลาที่เราคิดว่าเราเลือกจะทำหรือไม่ทำอะไร "ไม่ได้" นั้น ก็คือเราได้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วหรือเปล่า ค่อยๆ คิดก็ได้ครับ ส่วนตัวผมเองยังยืนยันว่าทุกเรื่องราวในชีวิตมีทางเลือกมากกว่าทางเดียวเสมอครับ เพียงแต่เราอาจต้องใช้เวลาและความอดทนค้นให้พบเท่านั้นเอง และเมื่อเลือกแล้ว เราก็พร้อมรับผิดชอบการตัดสินใจนั้นด้วยตนเอง
ตอบ คุณนักศึกษาใหม่
-> ขอบคุณครับที่ส่งข่าว อย่างไรก็ตาม ผมขออภัยที่ลบข้อความคุณที่ใช้ชื่อว่า นักศึกษาใหม่ เพราะผมอ่านแล้วเห็นว่าอาจกระทบกระเทือนชื่อเสียงของผู้มีตำแหน่งที่ท่านกล่าวถึง ผมได้ส่งต่อประเด็นที่คุณแจ้งมาให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการสอบข้อเท็จจริงต่อไปแล้วครับ ขอบคุณครับ
สุรเชษฐ 22 พ.ย.52
ดิฉันจบจากม.ชีวิตศูนย์เรียนรู้จ.ลำปางประทับใจในคำพูดของอ.มาก ตั้งแต่ปี 1 ถึงปีสุดท้ายและยังได่รับความรู้ในเรื่องของการเป็นครูต้นกล้า เหมือนชีวิตได้เกิดใหม่อีกครั้ง มีทางเลือกสำหรับตัวเองอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ในชีวิตดิฉันรู้สึกภูมิใจตัวเองมากค่ะ
อ่านข้อคิดจากท่านอาจารย์ หลายต่อหลายเรื่อง และได้อ่านหลายครั้งซ้ำๆ
เพราะเวลาที่กำลังจะหมดแรงใจ-กายในการทำงาน มักจะได้สติ
ลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้ง เผชิญปัญหารอบด้านได้ต่อไป..
เชื่อว่าหลายท่าน..มีปัญหาชีวิตทั้งนั้น
ทั้งชีวิตการทำงาน การอยู่ร่วมกับผู้อื่นและชีวิตส่วนตัว
บางครั้งอาจตัดสินปัญหานั้นๆ ได้เอง
บางครั้งต้องให้คนอื่น..ช่วยแนะนำในการแก้ไขปัญหา
และหลายครั้ง..ปัญหาต่างๆ ก็ไม่ได้ถูกแก้ไข..
........
ดิฉัน..มีสติจากการอ่านหนังสือ..หลายเล่ม
คิดได้..หลายครั้ง..แต่ละครั้งมักได้คำตอบคล้ายกัน
คือ..ปัญหาทุกเรื่อง..ย่อมมีทางแก้ไข..ได้หลายทาง
ขอบคุณ..อาจารย์..ที่เตือนสติ..ให้ดิฉัน โดยไม่ต้องมานั่งคุยกัน..
ปัญหาทุกปัญหาไม่ว่าจะหนักหรือเบาย่อมมีทางออก ถ้าหาทางออกไม่ได้ก็ออกทางที่เข้ามา เข้ามาทางไหนก็ออกทางนั้น.
ทุกคนมีศักยภาพอยู่ที่คุณจะคิดบวกหรือเพื่อผลประโยชน์ ทุกคนย่อมเห็นแก่ตัว มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาวะกดดัน โอกาส แต่มันควรมีเป้าหมาย โลกมันกว้างอยู่ที่คุณจะกำหนดขอบเขต คุณพอใจเท่านี้ คุณก็มีความสุข ฉันเริ่มต้นชีวิตจากบ้านโนนแก้ว ต.หนองพันทา อ.โซ่พิสัย ด้วย กล่องลังเบียร์ตราช้างที่ใส่หนังสือม. 6 เพื่อเข้าเรียนวิศวกรรมศาสตร์ อยู่โคราช พร้อมเงินติดตัวที่แม่ขายควายให้ 5000 บาท ผู้หญิงตัวคนเดียว กับโอกาสที่สังคมให้มา คงไม่ต้องบรรยายความลำบาก แต่ผลสำเร็จมันหอมหวาน และคิดบวกต่อสังคม โอกาสเท่านั้น ที่คุณต้องหา......