หากมีใครสักคนมาบอกเราว่า มีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่เขามีแนวคิดหรือปรัชญาร่วมในหมู่แพทย์ พยาบาล หรือคนทำงานทั้งหมดร่วมกันว่า “ เราจะดูแลผุ้ป่วยเสมือนแม่ที่ดูแลลูกคนเดียวของตนที่กำลังป่วย” แม่ต้อยเชื่อว่าอย่างน้อยๆ แม้ว่าตอนนี้เรายังไม่มีอาการเจ็บป่วย แต่ว่าแนวคิดหรือปรัชญา หรือจุดยืนในการทำงานของเหล่าแพทย์ พยาบาลและทีม น่าสนใจ และรู้สึกอบอุ่นใจมากๆ ที่น่าทึ่งคือ แนวคิดนี้เขาจะทำได้อย่างไร? ลองนึกถึงภาพของแม่สักคนหนึ่งที่มีลูกเพียงคนเดียว และยามนั้นลุกน้อยเกิดการเจ็บป่วย ผู้เป็นแม่คงต้องทุ่มเท ทั้งกายและใจ แม้จะแลกด้วยชีวิตก็อาจจะต้องยอม
แม่ต้อยเองก็เช่นเดียวกันคะ เมื่อหลายปีก่อน โรงพยาบาล ซานคามิลโล จังหวัดราชบุรี เป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ได้เสนอให้ผ่านการรับรองกระบวนการคุณภาพ และเนื่องจากแม่ต้อยต้องศึกษารายละเอียดทั้งหมดของโรงพยาบาลทุกแห่ง ก่อนการพิจารณา เมื่อได้เห็น core value ของโรงพยาบาลนี้รวมทั้งกิจกรรมอันหลากหลาย จึงยังติดในใจเสมอมา และตั้งใจว่า สักวันหนึ่งอาจจะมีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมบ้าง เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆเลยใช่ไหมคะ
ในปีนี้เองรพ.แห่งนี้ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมในโครงการ SHA ด้วย จึงเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกๆที่แม่ต้อยได้เข้าไปเยี่ยม
โรงพยาบาลก่อตั้งมาจากมูลนิธินักบุญคามิลโล ร่วมเกือบ ๖๐ ปีมาแล้ว เป็นโรงพยาบาลขนาด ๑๐๐ เตียง ร่มรื่น สะอาดสะอ้าน บุคลากรในโรงพยาบาล ท่าทางมีความสุข ส่วนหนึ่งเป็นนักบวช กิจกรรมของโรงพยาบาลนอกจากการดูแลผู้เจ็บป่วยในอำเภอที่ตั้งแล้ว ยังมีกิจกรรมที่ร่วมกับชุมชนในการสงเคราะห์ ผู้ยากไร้ ผู้พิการ ผู้เจ็บป่วย หรือจากภัยพิบัติต่างๆด้วย
“ สิ่งที่ทำให้ทีมงานเราพัฒนาอย่างยั่งยืน เพราะว่า เราได้ใช้หลักจิตตารมณ์ ของนักบุญ เข้ามาผสมผสานกับงานประจำของเรา ..... คือการที่เราจะดูแลผู้ป่วยเหมือนแม่ที่ดูแลลูกคนเดียวของเราที่กำลังป่วย”
บาทหลวง สิรนนท์ สรรเพชร ซึ่งเรียกว่าท่านอธิการ อธิบายแนวคิดการทำงาน ให้พวกเราฟัง รวมทั้ง การหล่อหลอมแนวคิดการอุทิศตนเพื่อช่วยคนที่ประสบทุกข์ภัยพิบัติ โดยการปลูกฝังให้ทีมมีจิตใจที่อ่อนโยน พร้อมช่วยเหลือผู้อื่นที่ลำบากกว่าตน
“ ฉันอยากจะมีมือสัก ๑๐๐ มือ ขณะช่วยเหลือผุ้ประสบภัย”...
งานในโรงพยาบาล จึงมิได้ แค่ภายในรั้วโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ ได้ช่วยเหลือสังคมด้านต่างๆมากมาย เช่น การช่วยเหลือผุ้ประสบภัย สึนามิ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือระยะยาว
การช่วยเหลือ แรงงานต่างด้าวด้านสุขภาพ ภาวะทุโภชนาการ รวมถึงการมีหน่วยพทย์เคลื่อนที่สำหรับประชาชนในถิ่นทุรกันดารทั่วทั้งประเทศด้วย
งานดูแลคนไข้ที่ผสมผสานมิติด้านจิตใจเข้าไปนั้น โรงพยาบาลได้งานอภิบาล ( pastoral ) เป็นส่วนหนึ่งในการดุแลผู้ป่วยด้วย โดยจะมีการเยี่ยมโดยท่านจิตตาธิการและทีมที่ผ่านการอบรมมาแล้ว เพื่อรับฟังความทุกข์ ของคนไข้อันถือว่าเป็นงานประจำวันวันคุ้นตาของผู้ป่วยที่มารับบริการ
“ คนไข้ที่นี่จึงได้รับการดูแลด้านการเจ็บป่วยทางกาย และการเยียวยาเพื่อให้มีพลังชีวิตต่อไปอีกด้วย”...
การผสมผสานมิติจิตใจในงานดูแลคนไข้ จะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นจาก ตัวอย่างที่ ท่านบาทหลวงที่กล่าวว่า
“ การวัดความดันโลหิต สำหรับคนไข้ที่ทำตามปกติ ..กับการวัดความดันโลหิต ที่ทำด้วยจิตใจและด้วยความรักนั้นจะมีความแตกต่างกัน.. ที่คนไข้สามารถสัมผัสได้..”
ที่น่าประทับใจคือแม้ว่าโรงพยาบาลนี้จะมีจุดกำเนิดมาจากศาสนาคริสต์ แต่ทว่าโรงพยาบาลได้ใช้หลักศาสนาทุกศาสนาตามความเชื่อของคนไข้มาร่วมในการดูแลด้านจิตใจด้วย ไม่ว่าศาสนาพุทธ หรืออื่นๆ
การที่โรงพยาบาลใช้หลักความเชื่อสูงสุดมาเป็นหลักค่านิยมในการทำงานจึงส่งผลให้ ทีมงานเจ้าหน้าที่ล้วนแล้วแต่มีจิตใจที่เยือกเย็น และมีความสุขในการทำงาน ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีความรักให้แก่กัน และที่สำคัญคือการปลุกฝังให้เจ้าหน้าที่มีความเสียสละ และให้การช่วยเหลือผู้ที่ยากไร้ หรือลำบากกว่าตนเอง
จึงไม่แปลกใจที่แม่ต้อยจะมองเห็นความสุขและความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมในระหว่างเจ้าหน้าที่ ในช่วงขณะที่เราทดลองเรียนรู้ด้วยกันในกระบวนการกลุ่ม ภาพเหล่านี้ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน
การที่มีโอกาส ได้เยี่ยมในโรงพยาบาลที่มีความแตกต่างหลากหลาย ทั้งในแง่จุดเริ่มต้น ค่านิยม หรืออุดมการณ์ ก้ตามที แต่สิ่งหนึ่งที่มีผลต่อการพัฒนาคุณภาพ คือ การสร้างวิธีคิด การสร้างคนทำงานที่มีความพร้อม และสัมพันธภาพที่ดี ความอบอุ่น บรรยากาศที่เสริมสร้างการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าแม่ต้อยและทีมงานจะเป็นเพียงแขกที่ไปเยี่ยมโรงพยาบาลในระยะเวลาอันสั้นๆ แต่ก็ สัมผัสกับความอบอุ่น ที่เจือด้วยบรรยากาศของความสงบ และ เมตตาของนักบุญ แพทย์ พยาบาล โรงพยาบาลนี้จึง สมกับเป็นสถานที่พักพิงของผู้ที่มีความทุกข์ทั้งกายและใจ อย่างแท้จริง
นึกถึงคำพูดหนึ่งที่ว่า “ ผู้ประพฤติธรรม” คือการพัฒนาจิตให้มีสติในงาน จนสามารถก่อให้การปฏิบัติที่ก่อให้เกิดผลที่ดีดี ได้ อาจจะมีได้ไม่ครบถ้วนทั่ว แต่หากมีแนวทาง มีหลักชัยให้ก้าวไปได้ถึงแล้ว ก็นับว่าเป็นโชคดี ของผู้ป่วยและประชาชน
และนึกดีใจที่ได้แวะมาเยี่ยมโรงพยาบาลแห่งนี้.. สมกับที่ได้ตั้งความหวังไว้นานแสนนาน..
สวัสดีคะ
เดี๋ยวหารูปให้แม่ต้อยนะคะ
http://gotoknow.org/blog/sha-paula/298935
แม่ต้อยคะ พอลล่ามีสองรุปเองค่ะ อิอิ
แวะมาเยี่ยมค่ะ
สบายดีนะคะ
บันทึกนี้ได้เนื้อๆ เลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
เเวะมาหาเเม่ต้อยด้วยความคิดถึงค่ะ การปฏิบัติงานคือการปฏิบัติธรรม กุ้งชอบประโยคนี้จังค่ะเเม่ต้อย เพราะทุกวันนี้ที่ทำงานก็คิดว่าตัวเองได้ปฏิบัติในสิ่งที่ดีเสมอมา เหมือนว่าได้ปฏิบัติธรรม พรุ่งนี้กุ้งก็นัดคนไข้ระยะสุดท้ายถวายสังฆทานค่ะเเม่ต้อย ทุกวันพุธกุ้งนิมนต์พระมาบิณฑบาตรที่ตึกค่ะ ถ้ามีคนไข้ระยะสุดท้าย admit อยู่กุ้งก็จะพาทำสังฆทาน น้องเเซมเป็นคนไข้มะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย กุ้งบนว่าถ้าน้องดีขึ้นจะพาน้องทำสังฆทานเพราะสองวันก่อนหอบ ซีดเกือบจะได้ใส่ท่อช่วยหายใจ ตอนนี้น้องดีขึ้นเเล้วกุ้งเลยจะพาทำบุญค่ะเเม่ต้อย ภารกิจนี้กุ้งอยากขอยืมประโยคที่อาจารย์หมอโกมาตรเคยพูดไว้มาพูดค่ะว่า "งานคือความดีที่หล่อเลี้ยงชีวิต" เพราะงานของกุ้งพรุ่งนี้จะเป็นความดีที่หล่อเลี้ยงชีวิตเเละจิตใจเราให้คงมั่นเเละทำงานต่อไปด้วยความสุขค่ะ
วันนี้กุ้งเเวะมาบอกข่าวดีเเม่ต้อยด้วยค่ะ
สวัสดีค่ะแม่ต้อย
***แวะมาอ่านบันทึกเสริมปัญยา
*** ขอบคุณค่ะ
เห็นด้วยมากครับ
การทำงาน ด้วยการปล่อยวาง
ทำตามหน้าที่ ด้วยสติ
ลด ละ อัตตา มีสมาธิ จดจ่อ กับงาน
ถือว่า การปฏิบัติงานคือการปฏิบัติธรรม ครับ
แม่ต้อยคะ
เดือน พฤศจิกายน แก้วมีโอกาสจะได้เข้าประชุม SHA ที่ขอนแก่นด้วย
คงได้พบแม่ต้อยแน่นอนค่ะ
ดีใจจัง
สวัสดีครับ แม่ต้อย
คิดถึงแม่ต้อยครับ
เข้ามาชื่นชมด้วยค่ะ เลยไม่ได้เห็นพี่โย่งเลย รูปหายปายหนาย? น้องพอลล่า คิดถึงนะ 10-11นี้เจอกันนะคะ
ดูรูปทีมแก่งคอยก่อนละกัน คริคริ
ปฏิบัติงานด้วยการปฏิบัติธรรมนำพาความสุขจริงๆค่ะ