วันเสาร์-อาทิตย์ (20-21 พฤษภาคม 2549) ที่ผ่านมา ตอนผมเขียนบันทึกนี้
วันจันทร์ที่ 22 พ.ค. 49
ในวันดังกล่าวเมื่อผมมีเวลาจากภาระกิจจำเป็นของวันหยุด
ผมก็จะเตร่มานั่งหน้ากระจกวิเศษ (คอมพิวเตอร์)
ตู้กระจกที่มีความหลากหลายอย่างมหาศาลให้เรียนรู้
สามารถตอบสนอง ตอบคำถามเมื่อเรามีคำถามในใจ
เราแค่สงสัยกดนิ้วเพียงไม่กี่ครั้งคำตอบจะเกิดขึ้นอย่างมากมายให้เราเลือกและเปรียบเทียบ
ซึ่งคำตอบจะแตกต่างกันไป
เราผู้ถามก็คัดเลือกเอาให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่ถามก็แล้วกัน
ช่างวิเศษอะไรอย่างนี้ตู้กระจกเล็ก ๆ นี่
ในขณะเดียวกันก็สามารถให้โทษกับใครก็ได้ที่ใช้มันโดยไม่เข้าใจให้ลึกซึ้ง
เพราะทุกอย่างในโลกมีคู่กันเสมอถ้ามีบวกก็มีลบ
ถ้ามีดีก็ต้องมีเลว
ผมเดินทางท่องไปกับกระจกวิเศษนี้
เพื่อค้นหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับ KM
เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับตัวเองให้มากขึ้น
เพราะผมจะคิดเสมอว่าผมยังไม่รู้ดีพอจะต้องรู้ให้มากว่าที่เป็นอยู่นี้และรู้แบบเข้าใจและลึกซึ้งด้วย
ไม่เช่นนั้นจะนำไปใช้ยากและเป็นภาระ
แล้วในที่สุดจะมีความรู้สึกที่เป็นลบกับ KM ทันที่
เหมือนดังที่หลายท่านบันทึกไว้ว่า "มีบางคนมองว่า
KM
เป็นงานที่เข้ามาแทรกงานประจำกลายเป็นภาระที่ต้องทำ"
ผมได้เรียนรู้จากบันทึกบอกเล่าของหลาย ๆ ท่าน ว่า KM เป็นเครื่องมือที่มาช่วยในการทำงานให้บรรลุตามเป้าที่วางไว้ได้โดยง่าย (ไม่ใช่เป็นงานที่ต้องทำ ) อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ประสิทธิผล ผมได้เรียนรู้ว่าความสว่างในความมืดงงของผมมากขึ้นเรื่อย ๆ
โมเดลปลาทู หลายท่านได้บันทึกอธิบาย ให้ผมเรียนรู้แจ้งขึ้นว่า เป็นเครื่องมือในการสื่อเพื่อความเข้าใจใน KM โดยได้แบ่งตัวปลาทู(หนึ่งตัว) เป็น 3 ส่วน
ส่วนหัว
ส่วนตา : ( KV)
เพ่งมองไปข้างหน้าว่าจะไปทางไหน ไปทำไมเพื่ออะไร
ซึ่งก็คือมองเป้าของงานในองค์กรว่าเป้าหมายอยู่ที่ไหนคืออะไร
ส่วนกลางลำตัว : (KS)
เป็นส่วนสำคัญยิ่งเพราะต้องหาความรู้
วิธีการที่จะไปที่เป้าหมายนั้นให้ถึง
โดยต้องค้นหาความรู้และใช้ความรู้จากคนที่เกี่ยวข้องในองค์กรนั้น ๆ
มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันเพื่อนำพาทุกคนไปสู่จุดหมายให้ได้
คนที่รู้เรื่องวิธีการมากว่าคนอื่นก็ต้องช่วยคนที่รู้น้อยกว่าให้รู้ด้วย
ต่างคนต่างรู้ก็เอามาแบ่งปัน
หากต่างคนต่างไม่รู้ก็มองหาจากข้างนอกเข้ามาซึ่งมีหลายวิธีการ ในการให้ได้มา
ส่วนหางปลาทู : (KA)
เมื่อรวบรวมความรู้และวิธีการที่มีมากพอที่จะเดินทางไปเป้าหมายแล้ว
ก็สรุปเป็นวิธีการสร้างพลังเพื่อการขับเคลื่อนผลักดันในการเดินทาง
ซึ่งแน่นอนว่าปลอดภัย
ถึงที่หมายอย่างมีประสิทธิภาพตามที่ส่วนหัวได้มองไว้
โมเดลปลาตะเพียน ผมเรียนรู้ว่า แม้ว่าลำเรือ "ปลาทู" พร้อมที่จะเดินทางแล่นไปหาเป้าหมายที่มองไว้ แต่หากคนบนเรือปลาทูยังไม่มีความสามัคคีในการเดินทาง และยังหาผู้นำที่ดีไม่ได้ก็จะขาดพลัง การเดินทางอาจไปไม่ถึง หรืออาจถึงช้ากว่ากำหนด แต่หากสามัคคีมุ่งเป้านั้นแน่ ๆ ใจทุกดวงประสานเป็นหนึ่งแล้วจะถึงทันตามกำหนด และมีประสิทธิภาพ
มุมมองของผมมองว่า KM
เป็นเครื่องมืออย่างดีที่จะฉุดคนที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออก
หรือคนที่เขาไม่มีโอกาสได้แสดงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาสามารถแสดงออกมาได้ซึ่งแน่นอนว่าความรู้ที่ซ่อนเร้นที่ถูกปกปิดอยู่จะค่อย
ๆ ไหลออกมาให้กับองค์กร
ผมได้ค้นคว้าหาบันทึกเรื่อง
KM มาได้นิดหน่อยเท่านั้นเพราะในบันทึกของหลาย ๆ
ท่านยังไม่ได้อ่าน มีอีกมากมาย
ในความเข้าใจที่ผมถ่ายทอดออกมาจากบันทึกนี้ไม่แน่ใจว่า
ที่เข้าใจอยู่ถูกหรือผิด
อยากให้ท่านที่ได้เข้ามาอ่านแล้วช่วยแสดงความคิดเห็นต่อยอดด้วยครับ
ผมจะค้นหา เรียนรู้ KM ต่อไป ทั้งจากการทำงาน(ทั้งทบทวนงานเก่า งานใหม่) การอ่านบันทึก การสังเกต ฯลฯ เพราะแก้วน้ำผมเติมไม่เคยเต็ม